บทที่ 201 พยานบุคคล

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 201 พยานบุคคล
คำพูดนั้นไม่ต่างอะไรกับการยอมรับ

สายตาที่ทุกคนจับจ้องไปที่นางยิ่งเปี่ยมไปด้วยความเทิดทูนเสียยิ่งกว่าเดิม

กู้จิ่นอวี๋ก้าวย่างเข้าไปในสำนักบัณฑิตสตรีพร้อมกับผู้คนล้อมหน้าล้อมหลัง ก่อนจะก้าวเข้าประตูไปนั้น นางเหลือบมองไปทางโรงหมอ พยายามมองหาวี่แววของการปรากฏตัวของกู้เจียว

ทว่าวันนี้กู้เจียวกลับไม่ได้ไปที่โรงหมอ

นางไปที่ศาลาพักม้าเพื่อส่งจดหมายให้กับเซวียหนิงเซียง มีจดหมายของนางเอง ทั้งยังมีจดหมายของโจวเอ้อร์จ้วงที่กู้ฉังชิงนำมาให้จากค่ายทหาร แล้วก็ถือโอกาสส่งของเล่นเล็กๆ น้อยๆ จากเมืองหลวงไปให้โก่วหวาด้วย

ปีนี้โก่วหวาอายุสองขวบแล้ว เดินได้แล้ว วิ่งได้แล้ว แถมยังเต้นเป็นอีกต่างหาก ทั้งยังเรียกชื่อคนเก่งเสียด้วย โดยเฉพาะเรียกพ่อ

ในจดหมายกู้เจียวถามเซวียหนิงเซียงว่ามีความคิดที่จะหาพ่อสักคนให้กับโก่วหวาหรือไม่

กู้เจียวไม่ได้หัวโบราณขนาดนั้น ในความคิดเห็นของกู้เจียว เซวียหนิงเซียงยังสาวนัก อายุมากกว่าตนเพียงแค่สองปี ปีนี้ก็เพิ่งจะอายุสิบเจ็ดปี

กู้เจียวไม่ได้คิดว่าผู้หญิงนั้นจำเป็นจะต้องหาผู้ชายสักคนหนึ่งถึงมีชีวิตที่สมบูรณ์ เพียงแต่คิดว่าไม่เห็นจำเป็นต้องครองตัวโสดไปตลอดชีวิตเพียงเพราะสิ่งที่เรียกว่าชื่อเสียง

นางมีสิทธิ์ไขว่คว้าหาความสุขของตัวเอง

จากการที่นางหัดคัดลายมือจนสวยขนาดนั้นก็เห็นได้ชัดว่า เซวียหนิงเซียงไม่ใช้แม่หม้ายสาวที่จะปล่อยให้ชีวิตเป็นไปตามยถากรรมหรือยอมรับในโชคชะตาอย่างแน่นอน นางอยู่ใกล้ชิดสนิทสนมกับหญิงชรามานานก็ย่อมต้องได้รับอิทธิพลมาบ้าง ไม่อย่างนั้นหญิงชราจะเอ็นดูนางหรือ

เพียงแต่เซวียหนิงเซียงนั้นกลัวเหลือเกิน กลัวว่าการไขว่คว้าหาความสุขนี้จะถูกเห็นเป็นเรื่องผิดศีลธรรม ท้ายที่สุดก็กลายเป็นเรื่องซุบซิบนินทา กลายเป็นขี้ปากชาวบ้าน

ยามที่กู้เจียวออกมาจากศาลาพักม้าได้บังเอิญเจอกับใครคนหนึ่ง

ไม่นับว่าเป็นคนคุ้นเคย แต่ก็เคยเห็นหน้ากันมาก่อน

อีกฝ่ายสวมชุดสีแดงเลือดนกแสนประณีต ท่าทางสง่าผ่าเผย เครื่องหน้าหล่อเหลา ทว่าแววตานั้นแสนชั่วร้าย

แล้วก็เป็นเพราะแววตาแสนชั่วร้ายที่ทำให้กู้เจียวรู้สึกอารมณ์เสียไม่น้อย

กู้เจียวแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น เดินผ่านเขาไปด้วยใบหน้าไร้อารมณ์

ทันทีเดินผ่านหน้าไป อีกฝ่ายก็ยื่นแขนออกมาขวางทางกู้เจียวเอาไว้

“แม่นาง ไม่ได้พบกันเสียนานเลยนะ” ริมฝีปากองค์ชายสี่ยกยิ้ม “บังเอิญยิ่งนัก เจ้าก็มาส่งจดหมายเหมือนกันหรือ”

กู้เจียวมองท่อนแขนที่ขวางทางตนเบื้องหน้า ก็นึกรำคาญไม่น้อย

หากว่ากันด้วยใจไร้อคติ องค์ชายสี่ไม่ได้มีหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ หากไม่เคยเห็นนักบวชรูปงามผู้นั้นมาก่อน เขาก็คงจะพอถูไถติดอันดับชายงามของกู้เจียวได้

แต่พอมีคู่เปรียบเทียบแล้ว ก็ย่อมมีคนที่ต้องเจ็บปวดใช่ไหมล่ะ

ถึงจะเป็นคนชั่วรูปงามเหมือนกัน แต่นักบวชผู้หล่อเหลาคนนั้นชนะเขาขาดลอย!

กู้เจียวเริ่มหงุดหงิด

สายตาขององค์ชายสี่แสดงออกอย่างชัดเจน “อ๋อ แม่นางน้อยเป็นคนแข็งกระด้างเช่นนี้เองหรอกหรือ แต่ก็ไม่เป็นไร ม้าไม่เชื่อง ข้าเองก็ปราบพยศมาแล้ว วันนี้อากาศแห้งนัก แม่นางมีเวลาว่างไปดื่มชากับข้าสักถ้วยหรือไม่”

กู้เจียวเหลือบตามองเขาพลางเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่ดื่ม”

องค์ชายสี่ยังคงไม่ยอมลดละ “ขนมที่หออวี้ฉงรสชาติไม่เลว แม่นางอยากไปลองชิมดูหรือไม่”

กู้เจียวตอบ “ไม่หิว”

องค์ชายสี่เอ่ยต่อ “เช่นนั้นไปดูละครไหม”

กู้เจียวหงุดหงิดจนถึงระดับหนึ่งแล้วจู่ๆ ก็สงบนิ่งลงกะทันหัน นางมองเขาหัวจรดเท้า “มีเงินติดตัวเยอะหรือไม่”

องค์ชายสี่ชะงักไป

พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน เขาเป็นถึงองค์ชายผู้ยิ่งใหญ่ ไปดูละครต้องจ่ายเงินด้วยหรือ เพียงแต่เขาก็พกมาอยู่เหมือนกัน

เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “มีสิ มีไม่น้อยเลยทีเดียว แม่นางชอบอะไร ข้าจะซื้อให้แม่นางทั้งหมด”

กู้เจียวครุ่นคิดอย่างจริงจัง “เช่นนั้นต้องไปที่ที่ไม่มีคน”

แบบนี้ค่อยลงมือสะดวกหน่อย

จะให้สามีจับได้ไม่ได้

องค์ชายสี่คิดไม่ถึงเลยว่าแม่นางน้อยจะใจกล้าถึงเพียงนี้ เขาชะงักไปครู่หนึ่ง มาคิดดูแล้วก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องธรรมดา

เขาเป็นถึงองค์ชาย ใครที่ไหนจะบ้าดีเดือดตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขากัน

“ข้ารู้จักที่หนึ่ง รับรองว่าไม่มีคนนอก” องค์ชายสี่ยิ้มอย่างลำพองใจ พลางหันหลังไปแหวกม่านรถม้าขึ้น

“เจ้าแน่ใจหรือ” กู้เจียวถาม

สามีของนางเป็นบัณฑิต วันหน้าอาจจะได้เป็นเจ้าขุนมูลนาย หากจะจี้ปล้นกันซึ่งหน้าเช่นนี้คงไม่ใช่เรื่องเหมาะสมของภรรยาก้งซื่อในอนาคต

เพราะอย่างนั้นกู้เจียวจึงตัดสินใจว่าจะให้โอกาสเขาเป็นครั้งสุดท้าย หากเขายังมาตามมารนหาที่ตายเอง เช่นนางก็คงต้องจัดการเขาให้เด็ดขาด

องค์ชายสี่หงุดหงิดไม่น้อย พูดเช่นนี้มิใช่ยอกย้อนกันหรอกหรือ เขาต่างหากล่ะที่ควรถามนาง

“แน่ใจสิ แม่นาง เชิญ…” เขาผายมือ

วินาทีที่กู้เจียวกำลังก้าวขึ้นรถม้า ก็มีรถม้าอีกคันแล่นเข้ามา

รถม้าจอดเทียบลงด้านข้างของทั้งสอง ผ้าม่านถูกแหวกออก ก่อนร่างงามดุจหยกจะเดินลงมา

“องค์ชายสี่ ไม่ได้พบกันเสียนาน”

คำเอ่ยทักทายเหมือนกัน ยามพูดออกไปไม่ได้คิดอะไร แต่หากฟังแล้วกลับรู้สึกเหมือนมีเจตนาอื่นแอบแฝง

องค์ชายสี่หรี่ตา หันไปมองชายหนุ่มฝั่งตรงข้ามแล้วเอ่ย “อันจวิ้นอ๋องรึ”

อันจวิ้นอ๋องยิ้มอย่างอ่อนโยน แววตาหยุดลงที่ร่างของกู้เจียวก่อนจะเอ่ย “นั่นคุณหนูกู้มิใช่หรือ วันนี้คุณหนูกู้ไม่ไปโรงหมอหรอกหรือ”

“พวกเจ้ารู้จักกันรึ” องค์ชายสี่ถามอย่างสงสัย

อันจวิ้นอ๋องยิ้มบาง “ตอนที่ข้ากับน้องสาวออกไปท่องเที่ยวได้เคยไปพักที่บ้านสวนของจวนติ้งอันโหวอยู่หลายวัน แม่นางคือคุณหนูใหญ่แห่งจวนติ้งอันโหว”

องค์ชายสี่ไม่ได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับติ้งอันโหวมากนัก เขาเคยพบเพียงกู้จิ่นอวี๋

อันจวิ้นอ๋องพูดต่อ “ข้าเพิ่งออกมาจากวัง ได้ยินว่าฝ่าบาทเรียกหาพวกข้า ไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใดหรือ”

ในเมื่อเขาพูดเช่นนี้แล้ว องค์ชายยังจะมีกะจิตกะใจมาเกี้ยวสาวงามอยู่อีกหรือ

องค์ชายสี่จ้องมองอันจวิ้นอ๋องและกู้เจียวอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขึ้นนั่งบนรถม้าแล้วจากไป

อันจวิ้นอ๋องเหลียวกลับมามองกู้เจียว ท่าทางแสนอ่อยโยน น้ำเสียงนุ่มนวล “นั่นคือองค์ชายสี่แห่งรัชสมัยนี้”

“อืม” กู้เจียวรู้ดี

อันจวิ้นอ๋องเห็นนางไม่มีท่าทีประหลาดใจ ก็ชะงักไปก่อนจะตัวเองจะยิ้มออกมา “นั่นสินะ”

เดิมทีนางเองก็ไม่ใช่บุปผางามในเรือนที่อ่อนต่อโลก จะถูกชายใดหลอกขึ้นรถม้าไปได้ง่ายๆ ได้อย่างไร

“จะกลับไปโรงหมอหรือ” เขาถาม

“ใช่” กู้เจียวพยักหน้า

อันจวิ้นอ๋องกำลังคิดว่าจะเสนอตัวไปส่งนาง เหนือศีรษะก็เกิดเสียงโครมคราม ปรากฏว่ามีกระเบื้องบนหลังคาแผ่นหนึ่งกำลังร่วงลงมา

กู้เจียวอยู่ฝั่งเดียวกับเขา ฝั่งตรงข้ามคือรถม้า ถัดไปคือมุมกำแพง เรียกได้ว่าไร้หนทางหลบเลี่ยง

อันจวิ้นอ๋องก้าวมาข้างหน้า ใช้ร่างสูงใหญ่คร่อมนางไว้ รับแรงกระแทกจากแผ่นกระเบื้องแทนนาง

ทว่าความเจ็บปวดที่จินตนาการไว้นั้นกลับไม่ได้แล่นริ้วขึ้นมาแต่อย่างใด เขากระพริบตาปริบ ๆ พอแหงนหน้ามองก็พบว่าแผ่นกระเบื้องถูกกู้เจียวใช้เข็มเงินในมือปักเข้ากับหลังคาของรถม้าเสียแล้ว

อันจวิ้นอ๋อง “…”

อันจวิ้นอ๋องก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว ก่อนจะหัวเราะอย่างจนใจ “แม่นางกู้ เจ้าเก่งกาจเช่นนี้ตลอดเลยหรือ ให้คนเขาเป็นอัศวินขี่ม้าขาวมาช่วยหญิงงามหน่อยไม่ได้เลยสินะ”

….

ณ กั๋วจื่อเจียน เซียวลิ่วหลังเลิกเรียนแล้ว

เขาเดินออกมาจากประตูก็เห็นกู้เจียวสะพายตะกร้าใบเล็กรอเขาอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่

ในมือของนางจะหิ้วห่อยาสองมัด ซ้ายหนึ่งมัด ขวาหนึ่งมัด

แม้ท้องฟ้าจะคงสว่างอยู่ แต่ก็ไม่ได้อบอุ่นเหมือนเช่นเคย โดยเฉพาะยามหลังอาทิตย์ลับเขาไป สายลมที่โบกโชยริมถนนยิ่งหนาวเหน็บ

เซียวลิ่วหลังถือไม้เท้ารีบเดินเข้ามา “เหตุใดถึงไม่ใส่เสื้อหนาๆ”

“ตอนออกบ้านมาไม่หนาวน่ะ” นางตอบ

นั่นก็แปลว่าตอนนี้หนาวแล้วสินะ

เซียวลิ่วหลังมีไหวพริบพอที่จะเข้าใจความหมายแฝงในคำพูดของนาง เขาปลดเสื้อคลุมกันลมที่สวมอยู่ออก ตั้งใจว่าจะยื่นให้กู้เจียว

ทว่ากู้เจียวกลับมองซ้ายขวาไปที่ห่อยาในมือ บ่งบอกอย่างชัดเจนว่า มือทั้งสองข้างนั้นไม่ว่าง

คนรอบกายต่างมองมาที่พวกนาง

แววตาของเซียวลิ่วหลังวูบไหว แต่ก็ยังห่มคลุมเสื้อกันลมลงบนร่างให้แก่นาง ปลายนิ้วเรียวยาวดุจแท่งหยกนั้นกำลังผูกเชือกให้อย่างเบามือ

“ลิ่วหลัง ภรรยาเจ้ามารับเจ้าอีกแล้วหรือ” บัณฑิตกั๋วจื่อเจียนคนหนึ่งเดินผ่านมาเอ่ยทักทาย เขาสนิมสนมกับเฝิงหลิน จึงรู้จักกับเซี่ยวลิ่วหลังด้วย

“อืม” เซียวลิ่วหลังตอบเสียงคลุมเครือ

กู้เจียวมองเขาตาเป็นประกาย

บนใบหน้าแทบจะเขียนหราว่า ข้าเป็นภรรยาของเจ้าใช่หรือไม่ ใช่ไหม ใช่ไหม ใช่ไหม

เซียวลิ่วหลังกระแอมขึ้นมา ก่อนจะเบนสายตาไปทางอื่น “กลับบ้านกัน”

กู้เจียว “อื้ม”

กู้เจียวตามหลังเขา ก่อนจะเดินเยื้องย่างออกไปอย่างเชื่องช้า

ทันใดนั้นเอง ก้อนหิมะที่สะสมอยู่บนต้นไม้ใหญ่ก็ถล่มลงมา

เซียวลิ่วหลังคว้าร่างนางออกมาด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนแขนอีกข้างหนึ่งก็ยกขึ้นบังศีรษะของนางไว้ กลุ่มหิมะร่วงหล่นลงมาจนเปรอะเต็มแขนเสื้อของเขา

นางไม่ไหวติงแม้แต่นิดในอ้อมกอดของเขา ดวงตากลมโตมองเขาปริบๆ สุดแสนว่าง่าย

ท่าทางแบบนี้หลอกลวงคนให้ตกหลุมพรางเอาได้ง่ายๆ ต่อให้เซียวลิ่วหลังที่อยู่กับนางมาตลอดก็ยังอดหวั่นไหวไม่ได้ จู่ๆ ก็เหมือนเลือดในอกสูบฉีดอย่างแรง

น่าเอ็นดูเหลือเกิน เขาทนไม่ไหวแล้ว

ลมหายใจของเซียวลิ่วหลังเริ่มผิดจังหวะ เขารีบเบือนหน้าหนีไปอีกทาง

ทว่ากู้เจียวกลับแนบศีรษะลงบนแผงอกของเขา ก่อนจะเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “หัวใจเจ้าเต้นเร็วเชียวนะ”

เซียวลิ่วหลังก้าวถอยหลังในทันใด “เปล่าเสียหน่อย!”

กู้เจียวมองเขาที่หูแดงระเรื่อไปหมด “ก็เห็นกันอยู่ชัดๆ”

เซียวลิ่วหลังเอ่ยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าบอกว่าเปล่าก็เปล่าสิ!”

พอสิ้นเสียงเขาก็ลนลานเดินหนีไป ทว่าลุกลี้ลุกลนจนเดินผิดทาง ก่อนจะชนเข้ากับต้นไม้จนเสียงดังโครม

กู้เจียว “…”

กู้เจียวหัวเราะลั่น!

การสอบชุนเหว่ยฤดูใบไม้ผลิได้ผ่านพ้นไป บรรยากาศภายในบ้านผ่อนคลายลงไปมาก หญิงชราออกไปเล่นไพ่ แต่ก็ไม่ลืมที่จะพา “ขาไพ่” ไปด้วย คนที่แพ้ก็มีแต่ “ขาไพ่” ส่วนผู้ชนะก็คือตัวนางเอง

ทุกวันหลังเลิกเรียนกู้เหยี่ยนและกู้เสี่ยวซุ่นจะไปที่เรียนงานฝีมือที่เรือนตระกูลหลี่ว์ และกินข้าวเย็นที่นั่น

ว่ากันตามตรง ฝีมือทำอาหารของอาจารย์หญิงนั้นไม่ได้ดีมากนัก พอๆ กับเซียวลิ่วหลังก็ว่าได้ แต่พออยู่ต่อหน้าอาจารย์แล้ว อาจารย์บอกว่าอร่อย พวกเขาทั้งสองก็จำต้องกล้ำกลืนฝืนทนกินลงไป

ส่วนเสี่ยวจิ้งคงนั้น ตั้งแต่มีเพื่อนรักคนแรกจากกั๋วจื่อเจียน ทุกวันหลังเลิกเรียนก็มักจะเล่นกับเพื่อน วันนี้ก็เช่นกัน

หากเทียบกับเรื่องเรียนหนังสือแล้ว กู้เจียวคิดว่าเสี่ยวจิ้งคงนั้นขาดการปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันเสียมากกว่า ด้วยเหตุนี้จึงสนับสนุนกิจกรรมหลังเลิกเรียกของเขา

ทว่าวันนี้ พวกพ้องสองคนของพวกเขากลับมีคนเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน นั่นก็คือฉินฉู่อวี๋

เสี่ยวจิ้งคงสีหน้ามึนงง “เขามาทำไมกัน”

สวีโจวโจวกระซิบ “อ๋อ พ่อข้าบอกให้ข้าพาเขามาด้วย ข้าเองก็กังวลอยู่”

อันที่จริงแล้วสวีโจวโจวกับฉินฉู่อวี๋นั้นไม่ได้รู้จักกัน ฉินฉู่อวี๋กับเสี่ยวจิ้งคงต่างหากที่อยู่ห้องเดียวกัน ส่วนเขาอยู่ห้องเรียนธรรมดา แต่เป็นเพราะว่าท่านพ่อของเขาเป็นคนแนะนำมา เขาจึงไม่อาจปฏิเสธ

เสี่ยวจิ้งคงไม่ชอบฉินฉู่อวี๋ ประการแรกเพราะฉินฉู่อวี๋ขี้ฟ้องแถมยังไม่มีเหตุผลอีก ประการที่สองเป็นเพราะหากอยู่กับฉินฉู่อวี๋แล้ว คนเหล่านั้นก็จะไม่ฟังคำพูดของเขา เสี่ยวจิ้งคงยังไม่เข้าใจว่าความรู้สึกแบบนี้คืออะไร สัญชาตญาณของเขายังไม่คุ้นเคยสักเท่าไหร่

สวีโจวโจวไม่ได้รู้สึกอะไรกับฉินฉู่อวี๋

แต่เขาสัมผัสได้ว่าเสี่ยวจิ้งคงไม่ต้อนรับฉินฉู่อวี๋สักเท่าไหร่

เขารู้สึกว่าตัวเองได้ทำเรื่องผิดพลาดลงไปจึงกระซิบว่า “ขอโทษนะ คราวหน้าข้าจะไม่พาเขามาแล้ว”

“ไม่เป็นไร เห็นแก่เจ้า ข้าจะเล่นกับเขาก็ได้” เสี่ยวจิ้งคงเป็นเด็กใจกว้าง ขอแค่ไม่แย่งเจียวเจียวไปจากเขา เรื่องอื่นก็พอเจรจากันได้

“พวกเจ้าเล่นอะไรกันอยู่หรือ” ฉินฉู่อวี๋ถาม

สวีโจวโจวตอบ “พวกข้ากำลังสร้างบ้าน”

ฉินฉู่อวี๋โอ้อวด “จะสร้างบ้านหลังเล็กแค่นี้ไปทำไมกัน ต้องสร้างวังหลวงสิ!”

“วังหลวงคืออะไรหรือ” เสี่ยวจิ้งคงไม่เข้าใจจึงเอ่ยถามเพื่อนรัก

“วังหลังก็คือที่ที่ท่านพ่อของข้า… อะแฮ่ม คือที่ที่ฮ่องเต้อยู่อย่างไรเล่า!” ฉินฉู่อวี๋เกือบจะพลั้งปากออกมา เหงื่อผุดซึมไปทั่วทั้งร่างเพราะความประหม่า

โชคดีที่เด็กทั้งสองคนยังไม่ทันได้ยิน

เสี่ยวจิ้งคงถามต่อ “ฮ่องเต้คืออะไรหรือ”

เขาเติบโตมาในวัด ไม่เคยสัมผัสกับเรื่องประเภทนี้ พอตอนนี้มาอยู่ในครอบครัว คนในบ้านก็ไม่เคยเอ่ยถึงฮ่องเต้อะไรนั่นเลย

สวีโจวโจวมาจากตระกูลขุนนางในวัง เรื่องนี้เขาพอจะเข้าใจอยู่บ้าง เขาจึงอธิบายให้เพื่อนฟัง “ก็คือเจ้าของแคว้นเจา คนที่มีอำนาจสูงสุดในแผ่นดินนี้!”

“อ๋อ” เสี่ยวจิ้งคงเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ แล้วก็ไม่อยากจะเข้าใจด้วย เขาสนใจเพียงบ้านหลังน้อยที่พวกเขากำลังสร้าง “ข้าไม่เคยเห็นวังหลวง ไม่รู้ว่าจะสร้างอย่างไร”

สวีโจวโจวโบกมือ “ข้าก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน”

แม้แต่วังหลวงก็ไม่เคยเห็น เจ้าสองคนนี้ช่างเฉิ่มเชยเสียจริง!

ฉินฉู่อวี๋ยังคงจำคำสั่งสอนของท่านพ่อได้ว่าห้ามเปิดเผยว่าตนเองคือองค์ชาย

ทว่าเขานั้นได้แอบทดไว้ในใจแล้วว่า ปิดภาคเรียนคราวหน้า เขาจะไปอ้อนพี่สะใภ้ไท่จื่อเฟย ให้พาเพื่อนสองคนนี้เข้าไปเล่นด้วยกันในวังหลวง

วันต่อมา ฮ่องเต้เรียกท่านโหวกู้มาเข้าเฝ้าเป็นการส่วนตัว เพื่อถามไถ่ข้อเท็จจริงเรื่องเครื่องสูบลม

ซูเฟยเองก็อยู่ด้วย

ซูเฟยแทบจะยิ้มอยู่ตลอดเวลา

ฝ่าบาทเองก็ท่าทางจริงจังไม่น้อยก่อนจะถาม “เราได้ยินมาว่าผู้ช่วยเจ้ากรมกู้มีลูกสาวอยู่คนหนึ่ง”

เรื่องชาติกำเนิดของกู้จิ่นอวี๋ ซูเฟยเคยเล่าให้ฝ่าบาทฟังแล้ว ก่อนหน้านั้นฝ่าบาทได้รับปากกับซูเฟยแล้วว่าจะแต่งตั้งให้นางเป็นท่านหญิง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจเพราะนางมิใช่ลูกสาวที่แท้จริงของจวนโหว

ก็แค่ท่านหญิงที่ไร้ศักดินาคนหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอันใด

แต่เรื่องเครื่องสูบลมต่างหากที่สำคัญกว่า

ท่านโหวกู้ยกมือคำนับพลางเอ่ย “ทูลฝ่าบาท ลูกสาวคนโตของกระหม่อมเติบโตในป่าเขา ไม่เคยร่ำเรียนหนังสือแต่อย่างใด”

ความหมายของคำพูดนั้นแสนชัดเจน คนที่อ่านหนังสือไม่ออกแม้สักตัว จะคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ยิ่งใหญ่เช่นนั้นได้หรือ

สีหน้าของท่านโหวกู้ไม่เหมือนคนโกหก ยิ่งไปกว่านั้นฝ่าบาทเองก็รู้สึกว่าเขาไม่มีความจำเป็นใดจะต้องโกหก ใครที่ไหนจะยกความดีความชอบของลูกสาวที่แท้จริงให้กับลูกเลี้ยงกันเล่า

ฝ่าบาทออกราชโองการ แต่งตั้งใช้กู้จิ่นอวี๋เป็นท่านหญิงฮุ่ยชั้นรอง

นางคือท่านหญิงคนแรกที่ไม่ได้มาจากราชนิกูลในรัชสมัยนี้

โดยหลักแล้ว มีเพียงลูกสาวของภรรยาเอกของอ๋องเท่านั้นที่จะได้รับแต่งตั้งเป็นท่านหญิง หากเป็นลูกชาวของชินอ๋องก็จะได้เป็นท่านหญิงชั้นรอง และหากเป็นตระกูลของไท่จื่อถึงจะได้เป็นท่านหญิงชั้นหนึ่ง

กู้จิ่นอวี๋เป็นท่านหญิงคนแรกที่ไม่ได้มากจากราชนิกูลของรัชสมัยนี้ ตำแหน่งของนางจึงต่ำกว่าท่านหญิงที่มาจากราชวงศ์ แต่ก็ต่ำกว่าเพียงแค่ครึ่งขั้น ทั้งยังได้รับศักดินาห้าร้อยไร่อีกด้วย

แม้ที่ดินพวกนั้นจะไม่มีราคามากมาย แต่ก็เป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงชนชั้น

นับแต่นี้เป็นต้นไป นางคือคนที่ราชวงศ์ยอมรับในความสามารถคนหนึ่ง

ยศถาบรรดาศักดิ์ของนาง จะบอกว่าไม่คู่ควรกับเหล่าองค์ชายก็คงไม่ได้อีกต่อไป

แน่นอนว่าฮ่องเต้นั้นก็ไม่ได้ลืมช่างไม้ที่ประดิษฐ์เครื่องเปล่าลมขึ้นมา รวมทั้งช่างเหล็กที่ทำให้เครื่องสูบลมกลายที่แพร่หลายในหมู่ชาวเมืองโดยไม่คิดค่าตอบแทน

ฮ่องเต้ตั้งใจว่าจะเรียกทั้งสองคนนั้นมารับยศตำแหน่งที่เมืองหลวงด้วย