ตอนที่ 102: เสียงหัวเราะเยาะ 2

“ฉันรู้น่า แต่นอกจากการสอบสวนอีกฝ่ายอย่างเปิดเผยแล้ว ฉันเองก็ยังมีเจตนาอื่นด้วย” เสี่ยวเฉิงพลันตบไหล่หวู่กัง “คาสิโนห้าแห่งกับตัวแทนทางกฎหมายห้าคน… พวกนายต้องจับตาดูตัวแทนทุกคน และถ้าจําเป็นจ้างนักสืบส่วนตัวไปเลยก็ย่อมได้”

ทันใดนั้น หรานจิงก็พลันจ้องมองมายังเสี่ยวเฉิง “นายบ้าไปแล้วหรือยังไงกัน? พวกนักสืบเอกชนส่วนใหญ่ก็รับใช้แต่คนรวยเท่านั้นแหละ และถ้านักสืบพวกนั้นรู้ว่าคนจนอย่างเจ้าหน้าที่ตํารวจพยายามเข้ามาจุ้นจ้าน พวกเขาต้องขายข้อมูลของหน่วยสองให้กับนายทุนแน่!”

เสี่ยวเฉิงพลันเผยยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอกน่า เพราะทํายที่สุดแล้ว คนในทีมของฉันก็ไม่ได้มีเยอะแยะอะไรมากมาย เพราะแบบนั้น ฉันเลยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องให้นักสืบส่วนตัวเข้ามาช่วย”

อันที่จริง เสียวเฉิงพลันมีแรงจูงใจบางอย่าง นักสืบเอกชนอาจจะขายข้อมูลของหน่วยสองให้กับนายทุนได้อย่างง่ายดายก็จริง แต่นั่นก็จะทําให้แก๊งพยัคฆ์ขาวเผลอคิดไปแค่ว่าฝ่ายตรงข้ามก็เป็นแค่คู่ต่อสู้กระจอก

หลังจากนั้น ตราบใดที่อีกฝ่ายเริ่มระมัดระวังตัว ทั้งหลี่เชาว์และคนอื่นก็จะปลอดภัย อีกฝ่ายจะไม่มาเสี่ยงกับตํารวจสมัครเล่นแต่สองสามนายเป็นแน่ เสี่ยวเฉิงต้องการให้อีกฝ่ายหละหลวมและตกหลุมพราง

แต่ทว่า ในสายตาของหรานจิง เธอดูจะทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว

“แล้วนายจะสืบบ้าอะไรโจ่งแจ้งขนาดนั้นล่ะ?”

ในตอนนี้ แม้แต่หวู่กัง หลี่เชาว์และคนอื่นต่างก็รู้สึกสงสัยเช่นกัน “ใช่ครับหัวหน้า นี่เป็นภารกิจที่ต้องจริงจังนะ พวกเราควรทําตัวให้เหมือนกับคนที่กําลังเก็บความลับสุดยอดมากกว่าทําตัวเปิดเผยอะไรแบบนั้นนะครับ คือว่า..”

เสี่ยวเฉิงพลันส่ายหัว “ไม่ ฉันมีแผนแล้ว”

ทว่า ถ้าหวู่กังและสมาชิกคนอื่นยังคงมีความคิดเฉกเช่นเมื่อตอนเช้า พวกเขาก็คงจะเริ่มสบถใส่เสี่ยวเฉิงไป แล้วว่าทําไมแผนการถึงโง่เขลาขนาดนี้ ทําไมหัวหน้าต้องปฏิบัติกับคดีร้ายแรงเช่นนี้เหมือนการเล่นของเล่นเด็กด้วย… อะไรทํานองนั้น

แต่แล้ว เสี่ยวเฉิงก็ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก เขาเพียงแค่มอบหมายงานให้กับลูกน้องทั้งสิบ หลังจากนั้น เสี่ยวเฉิงก็เริ่มหันไปคุยโวเรื่องชีวิตของตัวเองพร้อมกับดื่มฉลองกับหรานจิงและเซินเหยา

หลังจากที่หวู่กังและหลีเชาว์กลับไป พวกเขาก็เริ่มเขียนรายงานแผนปฏิบัติการส่งให้กับเบื้องบน แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง สมาชิกของทีมอื่นก็ล่วงรู้เรื่องรายงานแผนปฏิบัติการของทีมสองเข้า ทีมอื่นจึงเริ่มซุบซิบนินทา และแอบหัวเราะเยาะกันลับหลังทันทีที่เห็นสมาชิกทีมสองเดินเข้ามาในโรงอาหาร

หวู่กังและหลี่เชาว์พลันสัมผัสได้ถึงคํานินทาและเสียงหัวเราะเยาะที่มาจากทีมอื่น แต่ทว่า พวกเขาก็ทําได้เพียงแค่กัดฟันและกินข้าวไปทีละคําเท่านั้น” พวกนายว่าเราจะเชื่อใจเขาได้จริงเหรอ?”สมาชิกคนอื่นต่างก็สงสัยและถามขึ้น

หวู่กังพลันตอบกลับ “เชื่อหรือไม่เชื่อ ตอนนี้เราทุกคนก็อยู่บนเรือลําเดียวกันแล้ว และเมื่อเราลงมาอยู่ในเรือลำเดียวกัน ก็อย่าลืมที่จะพายเรือไปให้ถึงฝั่งด้วย! นั่นก็เพื่อพิสูจน์ว่าพวกเราตัดสินใจถูกหรือเปล่า…”

ทันทีที่เสียวเฉิงเดินเข้ามาในโรงอาหารและยืนต่อแถว กัปตันทีมเจ็ดที่กําลังยืนรออาหารอยู่ข้างเสียวเฉิงก็แทบจะกลั้นขําไม่อยู่ “กัปตันเสี่ยวเฉิง… คุณเป็นคนคิดแผนการพวกนั้นจริงเหรอ? คุณทําผมขำแทบตายแหนะ ฮ่าฮ่าฮ่า”

“แล้วมันหนักส่วนไหนของคุณไหมล่ะ?” เสี่ยวเฉิงพลันเลิกคิ้วและถามขึ้นพร้อมกับเผยยิ้ม “ใช่ ผมเป็นคนบอกให้ลูกน้องเขียนแผนการพวกนั้นและส่งให้เบื้องบนเอง”

“ถามจริง?! คดีใหญ่ขนาดนั้น แต่คุณกลับสั่งให้พวกลูกน้องไปสืบสวนแก๊งพยัคฆ์ขาวอย่างโจ่งแจ้งแบบนั้นเนี่ยนะ? ฮ่าฮ่าฮ่า ให้ตายเถอะ! ฮ่าฮ่าฮ่า ฉันขำจนกล้ามเนื้อหน้าท้องเกร็งไปหมดแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า อันที่จริง ถ้าคิดจะทําอะไรแบบนั้น คุณเดินไปถามพวกแก๊งพยัคฆ์ขาวโดยตรงเลยก็ได้นะ มันก็คงไม่ต่างอะไรกันมากหรอก”

ทันทีที่กัปตันทีมเจ็ดพูดจบ ผู้คนทั้งโรงอาหารก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

ถึงแม้ว่าเพื่อนร่วมงานที่มอื่นกําลังหัวเราะเยาะหน่วยสอง แต่เสี่ยวเฉิงเองก็ไม่ได้รู้สึกโกรธอะไรเลย อันที่จริง มันเป็นเรื่องปกติเสียด้วยซ้ําที่เด็กใหม่มักจะโดนดูถูกหรือล้อเลียนแบบนี้ อีกอย่าง เสี่ยวเฉิงเองก็เป็นเด็กใหม่คนหนึ่งที่มีชื่อเสียงโด่งดังด้วย หลายต่อหลายคนคงกําลังรอให้เขาท่าผิดพลาดครั้งใหญ่อยู่อย่างแน่นอน

นี่ถือเป็นข้อบกพร่องพื้นฐานตามธรรมชาติของมนุษย์ทุกคน “ความอิจฉาริษยา” ด้วยเหตุนั้น เสี่ยวเฉิงจึงเผยยิ้มออกไปอย่างสุภาพให้กับหัวหน้าทีมเจ็ดพร้อมกับถามขึ้น” กัปตันเหมา… คุณคิดว่าแผนของผมจะได้ผลไหมล่ะครับ?”ได้ผลไหม? แน่นอน! ต้องได้ผลสิ!” กัปตันทีมเจ็ดพลันหน้าแดงเพราะหัวเราะแรงเกินไป “ถ้ามันไม่ได้ผล เบื้องบนก็คงไม่อนุมัติให้ผ่านหรอก! อันที่จริง ผมว่าคงมีแค่กัปตันเสียวเฉิงเท่านั้นแหละครับที่คิดแผนการขั้นสุดยอดอะไรแบบนี้ออกมาได้…”ฮ่าฮ่าฮ่า…”

ในตอนนี้ เกือบทุกคนในโรงอาหารต่างก็พากันหัวเราะเสียงดังลั่น