บทที่ 270 โจมตีทั้งด้วยวาจาและตัวอักษร

พลิกชะตาหมอยา

พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 270 โจมตีทั้งด้วยวาจาและตัวอักษร

องค์ชายใหญ่ลุกขึ้น อยากจะเดินเข้าไปหาองค์หญิงซีหลัน แต่ทว่า ในขณะที่เพิ่งจะลุกขึ้น กลับมีเสียงของข้ารับใช้ในวังดังขึ้นภายในตำหนักใหญ่ : “ฮ่องเต้เสด็จแล้ว ฮองเฮาเสด็จแล้ว ไทเฮาเสด็จแล้ว”

ตามหลังมาด้วยชื่อของบรรดาพระสนมตามลำดับ โดยส่วนมาก พระสนมที่ได้รับความโปรดปรานเป็นพิเศษในช่วงนี้ ต่างก็เดินทางมาร่วมงานเลี้ยง โดยมีพระสนมรวมทั้งสิ้นห้าพระองค์

แต่ละคนมีใบหน้าที่งดงาม มีนางกำนัลคอยประคองไปยังที่ประทับ

ทุกคนต่างลุกขึ้นทำความเคารพ หลังจากที่ฮ่องเต้เซวียนถ่งมีรับสั่งให้ทำตัวตามสบายแล้วนั้น ทุกคนจึงค่อย ๆ ทยอยนั่งลง

หลังจากที่ฮ่องเต้เซวียนถ่งนั่งลงแล้ว ก็กวาดสายตามองไปรอบ ๆ จากนั้นสายตาก็ไปหยุดอยู่ตรงที่นั่งที่ว่างเปล่าที่หนึ่ง จึงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า : “ข้าได้ยินมาว่า วันนี้อ๋องเจ็ดก็มาเข้าร่วมงานเลี้ยงไม่ใช่หรือ ?”

ลูกชายของตนเองคนนี้ แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ชอบบรรยากาศอันวุ่นวายของงานเลี้ยง ยากนักที่จะพูดว่าจะมาเข้าร่วม เขาย่อมยินดีปรีดาแน่นอน

ในเมื่อบอกว่าจะมา จึงย่อมไม่มีทางมาสายอย่างแน่นอน

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนต่างค่อย ๆ เหลือบตาไปมององค์หญิงซีหลัน โดยไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจนนัก

ฮ่องเต้เซวียนถ่งมองตามสายตาของคนเหล่านั้นไปยังองค์หญิงซีหลัน และรู้สึกสงสัยเล็กน้อย

เฟิ่งชิงหัวมีสีหน้าเรียบเฉย เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสายตาทุกคาที่จ้องมองมาจากรอบด้าน ก็ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองเป็นต้นเหตุเลยสักนิด

ด้านข้าง มีขันทีผู้หนึ่งเดินตรงเข้าไป แล้วรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นในตำหนักใหญ่เมื่อครู่ให้ฮ่องเต้เซวียนถ่งฟัง

การแสดงออกของฮ่องเต้เซวียนถ่ง เริ่มตั้งแต่การเลิกคิ้วในตอนแรก จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นความประหลาดใจ และสุดท้ายก็กลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง

กลับกลายเป็นชูเฟยเหนียงเหนียงที่นั่งอยู่ด้านข้าง หลังจากได้ยินเช่นนั้นแล้วก็พูดขึ้นทันทีว่า : “ฝ่าบาท องค์หญิงซีหลันผู้นี้นับว่าไร้มารยาทมากจริง ๆ ไม่เพียงทำให้ท่านอ๋องเจ็ดทรงกริ้วจนเดินจากไปเท่านั้น เมื่อครู่ตอนอยู่ในสวนบุปผาหลวง ก็ทำให้หม่อมฉันต้องอับอายต่อหน้าผู้อื่น ทุบตีนางกำนัลของหม่อมฉันจนไม่เหลือชิ้นดี นับว่าไม่เห็นราชวงศ์เทียนหลิงของเราอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย พระองค์จะทรงละเว้นนางง่าย ๆ ไม่ได้นะเพคะ”

ฮ่องเต้เซวียนถ่งได้ยินดังนั้น ก็หันมองชูเฟย : “อ้อ ? เกิดเรื่องอะไรขึ้น ?”

ชูเฟยรีบยกมือขึ้นทันที ทันใดนั้นก็มีข้ารับใช้ในวังหามเปลขึ้นมา คนที่นอนอยู่ด้านบนดูอ่อนแรงอย่างยิ่ง

เมื่อเปลถูกวางลงบนพื้น ก็เกิดความโกลาหลขึ้นในหมู่ขุนนาง

นี่เรียกว่าสั่งสอนที่ไหนกัน เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเป็นการทุบตีเพื่อหวังเอาชีวิต

ดูจากอาการบาดเจ็บ บนใบหน้าแทบแยกแยะไม่ออก เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่เปียกชุ่มไปด้วยเลือด เป็นภาพที่น่าเวทนายิ่งนัก

“ทำไมถึงอาการหนักเช่นนี้ ?” ฮ่องเต้เซวียนถ่งขมวดคิ้ว

ชูเฟยปาดน้ำตาแล้วพูดว่า : “ตอนที่หม่อมฉันอยู่ในสวนบุปผาหลวง พบกับองค์หญิงซีหลันเข้าโดยบังเอิญ ยังไม่ทันจะได้เดินเข้าไปทักทาย นางก็พุ่งตรงเข้ามาลงไม้ลงมือก่อน นางกำลังผู้นี้ต้องการปกป้องผู้เป็นนาย จึงเข้าไปขวางหน้าหม่อมฉันเอาไว้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะถูกทุบตีอย่างทารุณเช่นนี้”

“หม่อมฉันรู้ดีว่า องค์หญิงซีหลันเป็นผู้ส่งสารของเป่ยเว่ย มีฐานะสูงส่ง ซ้ำกำลังจะเกี่ยวดองกับเทียนหลิง หม่อมฉันไม่อยากทำให้เป็นเรื่องใหญ่ เพียงแต่ เมื่อหม่อมฉันลองใคร่ครวญดูอีกครั้ง ตอนนี้ขนาดว่านางยังไม่มีฐานะอะไร ก็ไม่เห็นคนในวังอยู่ในสายตาเช่นนี้แล้ว ต่อไป อาจสร้างปัญหาใหญ่ขึ้นได้ จึงได้คิดว่าควรทูลรายงานให้ฝ่าบาททรงทราบเพคะ”

พูดอย่างมีนัยสำคัญเช่นนี้

หากไม่ใช่เพราะเฟิ่งชิงหัวยังมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน เกรงว่าคงคิดจริง ๆ ว่า คนผู้นี้ถูกตนเองทุบตีจนได้รับบาดเจ็บ

ชูเฟยเหนียงเหนียงผู้นี้ นับว่าเป็นคนที่จิตใจโหดเหี้ยมจริง ๆ เพื่อยัดเยียดความผิดให้กับนาง ถึงขนาดลงไม้ลงมืออย่างหนักเช่นนี้กับนางกำนัลคนสนิทของตนเอง

เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ มีเพียงเฟิ่งชิงหัวกับชูเฟยและนางกำนัลของทั้งสองเท่านั้นที่รู้ดีที่สุด ตอนนี้ ตอนนี้ชูเฟยชิงข่มขวัญคู่ต่อสู้ก่อน เมื่อประกอบกับความใจกล้าที่เฟิ่งชิงหัวแสดงออกมาในตำหนักใหญ่ก่อนหน้านี้ ทำให้บรรดาขุนนางต่างเชื่ออย่างสนิทใจ

ดังนั้น มีอำมาตย์ก้าวขึ้นไปด้านหน้าทันที : “ทูลฝ่าบาท พฤติกรรมขององค์หญิงซีหลันในครั้งนี้ นับว่าไม่เห็นเทียนหลิงเราอยู่ในสายตาจริง ๆ ทุกคำพูดทุกการกระทำของนาง ล้วนกระทบต่อความสัมพันธ์ทางการทูตของทั้งสองประเทศอย่างรุนแรง ขอฝ่าบาททรงลงโทษอย่างหนักด้วยพ่ะย่ะค่ะ !”

มีอำมาตย์ก้าวขึ้นมาอีกหนึ่งคน : “ทูลฝ่าบาท องค์หญิงซีหลันปฏิบัติต่อบรรดาพระสนมเช่นนี้ หากนางโชคดีได้กลายเป็นพระชายาจริง ๆ เช่นนั้นไม่เท่ากับว่าต่อไป ครอบครัวจะต้องลุกเป็นไฟหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ของฝ่าบาททรงลงโทษอย่างหนักด้วย”

จากนั้นก็มีอำมาตย์ก้าวขึ้นมาอีกหลายคน และต่างก็แสดงความคิดเห็นออกมา

“ทูลฝ่าบาท เมื่อครู่หม่อมฉันเองก็ได้เห็นอย่างชัดเจน องค์หญิงซีหลันแสดงพฤติกรรมที่ไม่ดีออกมาต่อหน้าธารกำนัล หยอกเย้าท่านอ๋องเจ็ดอย่างเปิดเผย หากยังไม่ลงโทษให้หลาบจำ ต่อไปหากมีคนนำไปเป็นเยี่ยงอย่าง ผลที่ตามมาอาจรุนแรงได้นะพ่ะย่ะค่ะ”

“ทูลฝ่าบาท องค์หญิงซีหลันขาดคุณธรรม สมควรถูกส่งกลับประเทศ และควรให้เป่ยเว่ยชดใช้ให้กับเรานะพ่ะย่ะค่ะ”

“ทูลฝ่าบาท องค์หญิงซีหลันคือผู้ที่เป่ยเว่ยส่งมาเพื่อทำลายวังหลัง จะปล่อยให้นางทำตามอำเภอใจไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ !”

สุดท้าย ขุนนางทั้งหมดที่อยู่ในตำหนักใหญ่ต่างก็ลุกขึ้น แล้วพูดโดยพร้อมเพรียงกันว่า : “หม่อมฉันเองก็เห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

ชูเฟยคิดไม่ถึงว่าเรื่องทุกอย่างจะราบรื่นเช่นนี้ เดิมทีคิดว่าวันนี้จะเพียงสั่งสอนบทเรียนให้กับนางเท่านั้น แต่กลับคิดไม่ถึงว่านางจะรนหาที่ตายด้วยการล่วงเกินอ๋องเจ็ด ต่อให้ฮ่องเต้อยากรักษาความสัมพันธ์ทางการทูตของทั้งสองประเทศไว้เพียงใด แต่ในเมื่อเรื่องที่เกิดขึ้น เกี่ยวพันถึงลูกชายของตนเอง ย่อมไม่มีทางปล่อยไปง่าย ๆ แน่นอน

ด้วยเหตุนี้ สายตาที่ฮ่องเต้เซวียนถ่งหันมององค์หญิงซีหลัน จึงแฝงไปด้วยความเย็นชาไม่น้อย

“องค์หญิงซีหลัน สิ่งที่พวกเขาพูดมาล้วนเป็นความจริงหรือ ?”

ตอนนี้เอง เฟิ่งชิงหัวเพิ่งจะลุกขึ้นจากที่นั่ง แล้วเอ่ยปากพูดว่า : “สิ่งที่พวกเขาพูดมาทั้งหมด ล้วนไม่เป็นความจริงทั้งสิ้นเพคะ”

สีหน้าดูถูกเหยียดหยาม น้ำเสียงสงบนิ่ง ไม่แสดงออกถึงความตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย

“ท่าน ท่านกล้ากราบทูลความเท็จต่อหน้าองค์ฮ่องเต้เชียวหรือ เป่ยเว่ยสั่งสอนท่านมาเช่นนี้หรือ ? สมแล้วที่เป็นประเทศบ้านป่าเมืองเถื่อน แม้กระทั่งศีลธรรมและความละอายใจก็ไม่มีเลยแม้แต่น้อย”

“พวกเราทุกคนล้วนเห็นเรื่องที่เกิดขึ้นในตำหนักใหญ่ หรือว่านั่งเป็นของปลอมหรือ ! ท่านกล้าพูดว่าเมื่อครู่ท่านไม่ได้ลวนลามอ๋องเจ็ดและไม่ได้กระทำการที่ไม่เหมาะสมอย่างนั้นหรือ ?”

เฟิ่งชิงหัวเลิกคิ้ว แสดงความงุนงง และหันมองฮ่องเต้เซวียนถ่งอย่างหมดความอดทน : “ฝ่าบาท หม่อมฉันอยากทูลถามว่าจะตัดสินโทษหม่อมฉันในเรื่องใดกันเพคะ ? ซีหลันฟังจนรู้สึกงุนงงไปหมดแล้ว เดี๋ยวก็ทุบตีนางกำนัล เดี๋ยวก็หยอกล้ออ๋องเจ็ด หากไม่ใช่เพราะบรรดาขุนนางเหล่านี้พูดออกมา ซีหลันคงไม่รู้เลยว่าตนเองนั้นร้ายกาจถึงเพียงนี้เพคะ”

เมื่อฮ่องเต้เซวียนถ่งเห็นว่าตอนนี้นางยังคงพูดจาเยาะเย้ยได้ ก็รู้สึกโมโหขึ้นมา

“พวกเขาต่างพูดว่าเห็นกับตาตนเอง หรือว่าเจ้ายังคิดจะปฏิเสธอีก ?”

ฮองเฮาเองก็พูดเสริมขึ้นมาจากด้านข้าง : “ทูลฝ่าบาท องค์หญิงซีหลันผู้นี้ปากคอเราะรายมาแต่ไหนแต่ไร เมื่อวานก็ทำให้เสด็จแม่ทรงกริ้วไม่น้อยด้วยเหตุนี้เพคะ”

ไทเฮาหัวเราะเยาะออกมา : “ร้ายกาจเช่นนี้ ยังต้องพูดอะไรให้มากความอีก จงรีบตัดสินโทษเสีย จับขังไว้ในคุกใต้ดิน แล้วส่งสารไปถึงเป่ยเว่ย ดูว่าคนที่พวกเขาส่งมานั้นเป็นคนประเภทไหนกัน !”

เฟิ่งชิงหัวพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม : “หรือว่าเป็นเพราะเรื่องเมื่อวาน ที่ซีหลันล่วงรู้ความลับบางอย่างของราชวงศ์เขาโดยบังเอิญ ทำให้ทุกท่ายคิดจะหาเหตุผลให้ซีหลันรับโทษ ? หากเป็นเช่นนี้ ซีหลันก็จะรอรับการลงโทษ”

คำว่าความลับสองคำนี้ ดึงดูดความสนใจของทุกคนได้ในทันที

เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้นก็หันมองหน้ากัน แววตาเต็มไปด้วยความสงสัย

ท่านรู้ไหมว่าเมื่อวานเกิดเรื่องอะไรขึ้น ?

ไม่รู้ ท่านรู้ไหม ?

คนที่รู้เรื่องนี้ หลายคนนั่งอยู่ด้านบน และยังมีอีกสองคนที่วันนี้เดินทางมาเพียงลำพังโดยไม่ได้พาสตรีที่อยู่ภายในบ้านมาด้วย ซึ่งก็คือเจียงซ่างซูและผู้อาวุโสเจียง

แต่ไหนแต่ไรมา ทั้งสองนับว่าเป็นคนเที่ยงธรรม เรื่องของบรรดาสตรีภายในบ้าน จึงไม่รู้อะไรมากนัก แต่ก็มองออกอย่างชัดเจน แน่นอนว่าเป็นเพราะเรื่องการหนีการแต่งงานในวันนั้นถูกล่วงรู้เข้า ทำให้ฮ่องเต้ทรงกริ้วอย่างหนัก

เดิมทีคิดจะส่งสารเข้ามาในวัง เพื่อให้บุตรสาวปฏิบัติตนอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว แต่ยังไม่ทันได้แสดงความสามารถ กลับคิดไม่ถึงเลยว่า จดหมายยังไม่ทันจะส่งออกไป ก็เกิดเรื่องดังกล่าวขึ้นเสียก่อน

“ในเมื่อเจ้าบอกว่าเรื่องพวกนี้ล้วนไม่ใช่เรื่องจริง เช่นนั้นความจริงเป็นเช่นไรล่ะ ?” ฮ่องเต้เซวียนถ่งตรัสอย่างจริงจัง ถึงแม้คิดจะตัดสินโทษองค์หญิงซีหลันโดยทันที แต่เป็นเพียงเพราะนางพูดคำว่า “ความลับ” สองคำนี้ออกมา เขาจึงควรให้โอกาสนางได้อธิบาย