ตอนที่ 293 ครอบครัวลุงใหญ่ฉินมาเมืองหลวง(2)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ตอนที่ 293 ครอบครัวลุงใหญ่ฉินมาเมืองหลวง(2)

ตอนที่ 293 ครอบครัวลุงใหญ่ฉินมาเมืองหลวง(2)

ฉินมู่หลานยิ้มแล้วพยักหน้า หลังอาบน้ำเรียบร้อยแล้วก็เริ่มออกไปวิ่งเหยาะบนสนาม หลังจากนั้นก็ได้ลองต่อยมวยภายใต้คำแนะนำของเซี่ยเจ๋อหลี่ นอกจากนี้ยังได้เรียนรู้ศิลปะป้องกันตัวอีกหลายท่า เนื่องจากเธอพอจะมีพื้นฐานอยู่แล้ว จึงเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว กระทั่งเจ๋อหลี่เองก็ยังแปลกใจ

“คุณภรรยา ไม่คิดเลยนะว่าคุณจะเรียนรู้ได้เร็วขนาดนี้”

ฉินมู่หลานรู้สึกเขินนิดหน่อยที่ได้รับคำชม “ก็เพราะคุณสอนดีด้วยแหละค่ะ”

ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน ซูหว่านอี๋ก็เดินเข้ามา เมื่อเห็นว่าลูกสาวตื่นแล้ว ก็รีบกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “แม่ก็ว่าอยู่ว่าทำไมพวกลูกถึงยังไม่ไปหน้าบ้านสักที ที่แท้ก็มาทำธุระกันอยู่ตรงนี้นี่เอง ใกล้เสร็จหรือยัง จะได้กินข้าวเช้า”

“แม่ ใกล้เสร็จแล้วค่ะ หนูหิวมากแล้ว รีบไปกันเถอะค่ะ”

เมื่อสองสามคนมาถึงห้องกินอาหาร เหยาจิ้งจือก็กำลังป้อนอาหารให้เด็กทั้งสองอยู่ “มู่หลาน อาหลี่ พวกเธอมากันแล้วสินะ รีบมากินข้าวเช้าเร็ว”

เมื่อเห็นเจี่ยงสือเหิงไม่อยู่ ฉินมู่หลานก็อดถามไม่ได้ “พ่อบุญธรรมล่ะ เขากินข้าวหรือยังคะ?”

พูดถึงเจี่ยงสือเหิง ซูหว่านอี๋ก็อดส่ายหัวพลางพูดขึ้นเสียไม่ได้ “พ่อบุญธรรมของลูกกินข้าวเช้าเรียบร้อยแล้ว วันนี้ก็ออกไปที่สถาบันวิจัย เห็นว่าเขาหายดีแล้ว ก็เลยจะไปทำงาน พวกเราพยายามเกลี้ยกล่อมอย่างสุดความสามารถแล้วแต่ก็เปล่าประโยชน์ ถ้าลูกตื่นเช้ากว่านี้ บางทีอาจจะพูดโน้มน้าวเขาได้”

ฉินมู่หลานได้ยินว่าเจี่ยงสือเหิงไปทำงานแล้ว ก็อดถอนหายใจไม่ได้

“แต่ละคนนี่ก็อยากไปทำงานจังเลย หนูเองก็ช่วยไม่ได้เหมือนกัน”

เหยาจิ้งจือกับซูหว่านอี๋ไม่ได้ตอบโต้อะไรในตอนแรก หลังจากนั้นเมื่อเห็นว่าฉินมู่หลานกำลังปรายตามองเซี่ยเจ๋อหลี่ สุดท้ายก็ดูออก “อะไรนะ…อาหลี่ เธอก็อยากไปทำงานเหมือนกันเหรอ”

“ใช่ครับ พรุ่งนี้ผมจะไปรายงานตัวที่สถาบัน”

“นี่…แกยังใช้ไม้เท้าอยู่เลยไม่ใช่เหรอ ไม่ต้องรีบร้อนขนาดนั้นหรอก”

ซูหว่านอี๋ที่อยู่อีกด้านก็เอ่ยขึ้นเช่นกัน “ใช่แล้ว พักผ่อนต่ออีกสักหน่อยเถอะ”

เซี่ยเจ๋อหลี่ไม่ได้พูดอะไรมาก ได้แต่บอกว่าเขาเปลี่ยนงานแล้ว จึงอยากจะไปรายงานตัวที่ที่ทำงานใหม่ให้เร็วที่สุด

หลังจากเหยาจิ้งจือกับซูหว่านอี๋ได้ยินเช่นนั้น ก็ได้แต่รู้สึกเป็นกังวลมาก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

เย็นวันนั้น ทันทีที่เจี่ยงสือเหิงกลับถึงบ้าน เขาก็เห็นฉินมู่หลานยืนอยู่ตรงนั้น จึงรู้สึกประหม่าขึ้นทันที “มู่หลาน พ…พ่อรู้สึกดีแล้ว วันนี้ก็เลยเริ่มไปทำงานแล้วน่ะ”

ฉินมู่หลานเอาแต่มองไปที่เจี่ยงสือเหิงอยู่อย่างนั้น แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะยื่นขวดแก้วใบเล็กไปให้ แล้วบอกกล่าว “พ่อคะ นี่เป็นยาเม็ดที่ฉันปรุงให้พ่อ กินทุกวันเช้าเย็นนะคะ”

“ได้ พ่อจะกินให้ตรงเวลา”

เจี่ยงสือเหิงเห็นว่าฉินมู่หลานไม่ได้โกรธ สีหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะรีบหยิบยา แล้วเอ่ยให้คำมั่น

“เฮ้อ…พวกพ่อนี่แปลกกันจัง ถึงจะอดใจไปทำงานกันแทบไม่ไหว แต่ก็ต้องใส่ใจตัวเองด้วยสิคะ”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เจี่ยงสือเหิงก็รับปากทันที “ไม่ต้องห่วง พ่อจะใส่ใจให้มากขึ้นนะ”

เมื่อถึงวันรุ่งขึ้น เซี่ยเจ๋อหลี่ก็ไปรายงานตัวที่สถาบันวิจัย โดยมีโหยวหย่งกับหวังหู่ไปรายงานตัวพร้อมกับเขาด้วยเช่นกัน ตอนแรกฉินมู่หลานไม่รู้ มาทราบเรื่องนี้ก็ตอนที่โหยวหย่งกับคนอื่นมาหา

เหยาจิ้งจือดีใจมากที่ได้เจอโหยวหย่งกับหวังหู่ ก่อนจะเอ่ยทักทายอย่างกระตือรือร้น “เสี่ยวหย่ง หวังหู่ ไม่เจอกันนานเลย ทำไมพวกเธอถึงกลับไปกันเร็วจังล่ะ ตอนแรกคิดว่าพวกเธอจะอยู่กับพวกเราต่อ”

หลังจากพูดจบก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ทำไมไม่เห็นเหวินเชี่ยนเลย หล่อนไปไหนล่ะ?”

โหยวหย่งได้ยินแบบนี้ ก็รีบกล่าวด้วยรอยยิ้ม “วันนี้เหวินเชี่ยนมีธุระครับ เดี๋ยวจะมาพรุ่งนี้”

เมื่อได้ยินแบบนี้ เหยาจิ้งจือก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นด้วยความดีใจ “พวกเธอจะกลับมากันเหรอ?”

“ใช่ครับคุณป้า หลังจากนี้เหวินเชี่ยนจะคอยคุ้มกันคุณป้ากับพี่สะใภ้ ส่วนหวังหู่กับผมตอนนี้ไปเข้าทำงานในแผนกรักษาความปลอดภัยที่สถาบันวิจัยครับ”

ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ ไม่คิดว่าโหยวหย่งกับหวังหู่ก็จะเข้าทำงานที่สถาบันวิจัยด้วย

เหยาจิ้งจือไม่ได้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก รู้สึกเพียงแค่ว่าเป็นเรื่องบังเอิญ “พวกเธอก็ไปทำงานที่สถาบันวิจัยด้วยเหรอ อาหลี่ของเราก็ไปเข้ารายงานตัวที่สถาบันวิจัยวันนี้เหมือนกัน ต่อไปเขาก้จะทำงานที่นั่นด้วย”

“คุณป้าครับ วันนี้พวกเราได้มาเจอกัน เพราะฉะนั้นพวกเราคงมีชะตาร่วมกันครับ”

“ใช่แล้ว มีโชคชะตาร่วมกันเยอะ จริงสิ พวกเธอกินข้าวมาหรือยัง วันนี้ก็อย่าลืมมากินข้าวที่บ้านด้วยกันนะ”

โหยวหย่งกับหวังหู่ยิ้มแล้วพยักหน้าก่อนจะเอ่ย “ได้ครับ ขอบคุณครับคุณป้า”

ทั้งสองอยู่ร่วมกินข้าวด้วยกัน หลังจากนั้นก็กลับไป

ฉินมู่หลานอยากจะถามเพิ่มเติม แต่เมื่อนึกถึงงานของเซี่ยเจ๋อหลี่ จึงไม่คิดจะเอ่ยถามอะไรอีก

แต่สิ่งที่เธอคิดไม่ถึงก็คือ วันรุ่งขึ้นเหวินเชี่ยนได้มาหา แต่คราวนี้หล่อนมาพร้อมกับพวกลุงฉิน

“ลุงใหญ่ ป้าใหญ่ ทุกคนมากันเร็วจัง”

หลังจากฉินเจี้ยนหัวได้เจอหลานสาว ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “มู่หลาน ในที่สุดพวกเราก็มาถึงสักที ตอนแรกพวกเรากลัวว่าจะหลงทางเสียแล้ว”

ซุนฮุ่ยหงเอ่ยตาม “ใช่แล้ว ไม่คิดเลยว่าที่เมืองหลวงผู้คนจะพลุกพล่านขนาดนี้ ถ้าไม่ได้เหวินเชี่ยน พวกเราคงหาบ้านที่พวกเธออยู่ไม่เจอแน่” หลังจากพูดจบ หล่อนก็เริ่มมองสำรวจไปทุกทิศทางด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น พิจารณาเห็นบ้านตระกูลเจี่ยงอย่างชัดเจนแล้ว สายตาก็เต็มไปด้วยความตกใจและริษยา “บ้านหลังนี้ใหญ่จังเลย ได้อยู่ในบ้านแบบนี้ ทุกวันคงตื่นมาได้เหมือนฝัน”

ตอนแรกซูหว่านอี๋ค่อนข้างเป็นมิตรกับทุกคนในบ้านใหญ่ แต่เมื่อเห็นซุนฮุ่ยหงทำตัวแบบนี้ หล่อนก็ขมวดคิ้วขึ้นนิดหน่อย ก่อนจะเดินตรงไปข้างหน้าแล้วบอกกล่าวว่า “พี่สะใภ้ เอากระเป๋าเดินทางเก็บ แล้วไปดื่มน้ำก่อนเถอะ”

“อ๋อ ได้”

ในตอนนี้ หวังจาวตี้กับซ่งอวี้เฟิ่งก็เดินเข้ามาพร้อมกับอุ้มลูกเอาไว้ในอ้อมแขน ทั้งสองกล่าวขอบคุณพร้อมกัน ก่อนจะมองไปที่ฉินมู่หลานแล้วเอ่ยถามทันที “มู่หลาน แล้วพวกพี่ใหญ่พี่รองของเธอล่ะ?”

“ตอนนี้พวกเขากำลังทำงานอยู่ค่ะ ก็เลยไม่ได้อยู่ที่นี่”

ทั้งสองได้ยินแบบนี้ก็รู้สึกผิดหวังนิดหน่อย แต่ก็ทราบว่าสามีมาที่นี่เพื่อทำงานหาเงิน ก็เลยไม่เอ่ยถามอีก

และในที่สุดเหวินเชี่ยนก็สบโอกาส เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้กับฉินมู่หลาน “พี่สะใภ้ วันนี้ฉันเพิ่งมาถึงปักกิ่ง ไม่คิดว่าจะบังเอิญได้เจอครอบครัวคุณลุงของพี่สะใภ้ที่สถานีรถไฟ พวกเขาเคยเจอฉันที่หมู่บ้านชิงซานมาก่อน จึงจำฉันได้ในทันที หลังจากรู้ว่าฉันกำลังจะมาหาพี่สะใภ้ ก็เลยมากับฉันค่ะ”

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ในสถาบันวิจัยของพ่อบุญธรรมมันต้องมีสายลับแฝงอยู่แน่เลย พี่หลี่ถึงเลือกจะเข้าไปทำงานที่นี่แถมเอาคนของตัวเองเข้าไปด้วย

ไหหม่า(海馬)