“นี่กบฏแล้ว !”
ไทเฮาลุกขึ้นชี้ขุนนางทั้งหลายเบื้องหน้า ตะโกนโกรธเกรี้ยว
“พวกเจ้ายังกล้าหารืออีก!”
“พวกเจ้าลืมหน้าที่ของตนเองไปแล้วหรือ?”
“แค่สาวน้อยคนหนึ่งพูดเพ้อเจ้อถึงเรื่องสำคัญอย่างทายาทบัลลังก์ การสืบทอด?”
“พวกเจ้าบ้าไปแล้วหรือเลอะเลือน?”
ขุนนางทั้งหลายเผชิญหน้ากับคำด่าทอของไทเฮาก็คล้ายเพิ่งตื่นได้สติ
ใช่แล้ว เรื่องเช่นนี้บ้าบอเกินไปแล้วจริงๆ
ตอนนั้นพวกเขาอยู่นอกสุสานหลวง ประการที่หนึ่งถูกคำพูดกะทันหันของสตรีผู้นี้ทำให้ตื่นตะลึง ประการที่สองถูกปฏิกิริยาของฮ่องเต้ทำให้ตื่นตะลึงจึงมึนๆ งงๆ ไม่รู้ทำประการใด
“ฮ่องเต้คิดว่าพระองค์มีความผิด ถ่อมตัวน้ำพระทัยกว้างขวาง เพื่อปลอบประโลมหัวใจประชาชน เจอสตรีคนนี้บีบคั้นบังคับจึงไม่สะดวกปฏิเสธ”
ไทเฮาโกรธจนหน้าแดง ชี้ขุนนางทั้งหลายด่าทอต่อ
“พวกเจ้าเล่า? พวกเจ้าล้วนทำอันใด?”
ขุนนางทั้งหลายพากันคุกเข่า
“กระหม่อมมีความผิด” พวกเขาเอ่ย
“เรื่องนี้บ้าบอเกินไปแล้ว” ขุนนางคนหนึ่งเงยศีรษะเอ่ย “ต้องปฏิเสธ”
“นี่เป็นการทำลายระเบียบของราชสำนัก” ขุนนางอีกคนหนึ่งเอ่ยบ้าง “ยอมไม่ได้”
“ความชอบมากขมขู่นาย อ้างความชอบป่วนการปกครอง นี่เป็นการกระทำอันชั่วร้าย”
ขุนนางทั้งหลายในราชสำนักพากันตำหนิ
ไทเฮาสีหน้าผ่อนคลาย ท่าทางพอใจอยู่บ้าง แต่สายตากวาดผ่านไปก็พบว่ามีขุนนางหลายคนยังคงเงียบงันสีหน้าเหมือนคิดบางอย่าง
ส่วนใหญ่เป็นขุนนางอายุน้อย ยืนอยู่ท้ายสุดของแถว
ขุนนางหนุ่มคนหนึ่งรู้สึกถึงสายตาของไทเฮาอดไม่ได้หดคอ
“เวลานี้พวกเราไม่พูดอะไรหน่อยจริงหรือ?” เขาขยับปากนิดๆ เค้นประโยคหนึ่งกับขุนนางข้างกาย
“อวิ๋นเจาอยู่ข้างกายฮ่องเต้แน่ะ ” ขุนนางข้างกายสีหน้าเป็นการเป็นงาน ดวงตาจ้องตรงไม่เหล่มอง เพียงขยับปากเล็กน้อยเท่านั้น “ความหมายของฮ่องเต้ย่อมเป็นเจตนาของอวิ๋นเจา”
ในใจฮ่องเต้ย่อมไม่เห็นด้วย จุดนี้พวกเขารู้กระจ่างแก่ใจ แต่ในเวลาเดียวกันฮ่องเต้ก้ไม่ได้คัดค้านตรงๆ เห็นชัดยิ่งว่าต้องการให้เรื่องนี้ถูกถกเถียง
ในเมื่อเป็นการถกเถียง ย่อมไม่อาจคัดค้านทั้งหมดได้ ถ้าเช่นนั้นยังมีอันใดให้หารืออีก
แต่จะก้าวออกมาเห็นด้วยจริงๆ พวกเขาก็ทำไม่ได้เช่นกัน ถ้าเช่นนั้นก็รักษาความเงียบไว้เถอะ
อย่างไรในท้องพระโรง เงียบบางครั้งก็เป็นการแสดงท่าทีแบบหนึ่ง
คนหนุ่มที่เพิ่งเข้าสู่วงขุนนางเหล่านี้ใจแอบคิดร้ายได้ง่ายที่สุด ไทเฮามองพวกเขาอย่างเย็นชา สายตากวาดผ่านแล้วจับอยู่บนร่างคนผู้หนึ่ง อดไม่ได้ขมวดคิ้ว
คนผู้นี้ไม่ใช่คนหนุ่มแล้ว แม้เขาไม่ได้ปรากฏตัวในท้องพระโรงนานแล้วก็ตาม
“ใต้เท้าหนิง” ไทเฮาตรัส “ท่านคิดว่าอ่างไร?”
สายตาของทุกคนจับอยู่บนร่างหนิงเหยียน เวลานี้ถึงเพิ่งพบว่าหนิงเหยียนไม่เอ่ยวาจามาตลอด
หรือเขามีความคิดที่ต่างออกไป?
สีหน้าของไทเฮาเคร่งขรึม
“ข้าจำได้ว่าครั้งนั้นใต้เท้าหนิงเคยพูดถึงเรื่องสายเลือดอันชอบธรรมกับอดีตฮ่องเต้มาก่อน” นางเอ่ย “หรือตอนนี้อดีตฮ่องเต้ไม่อยู่แล้ว ใต้เท้าหนิงก็เปลี่ยนความคิดแล้วหรือ?”
ตอนนั้นเรื่องแต่งตั้งฉีอ๋องเป็นองครัชทาทยาท เขาไม่เหมือนขุนนางที่ต่อต้านเหล่านั้นซึ่งยืนยันจะให้แต่งตั้งพระราชนัดดาสายตรง เขาสนับสนุนให้แต่งตั้งฉีอ๋อง
เหตุผลคือแต่งตั้งคนอายุมากไม่แต่งตั้งคนอายุน้อย
องค์รัชทาทยาทสิ้นพระชนม์แล้ว พระราชนัดดาอายุยังน้อย ไม่อาจแบกรับการใหญ่ของแว่นแคว้นได้ ถ้าเช่นนั้นก็มีแต่ฉีอ๋องเหมาะสมที่สุด
ก็อาศัยจุดนี้ หนิงเหยียนจึงได้รับความสำคัญจากอดีตฮ่องเต้กับฉีอ๋องอย่างลึกซึ้ง ตำแหน่งขุนนางก้าวหน้ายิ่งขึ้น ท้ายที่สุดกลายเป็นขุนนางคนสำคัญในสภาอำมาตย์
แต่ตอนนี้เขาจะกลับคำแล้วหรือ?
ถ้าเช่นนั้นที่ว่าแต่งตั้งคนอายุมากไม่แต่งตั้งคนอายุน้อยก็แค่อุบายที่ใช้มาประจบเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งหรือ?
ขุนนางเช่นนี้คนหนึ่งนับเป็นขุนนางสะอาดมีคุณธรรมอันใด!
หนิงเหยียนสีหน้าเคร่งขรึม
“กระหม่อมยังคงไม่เห็นด้วยกับสนับสนุนสายเลือดอันชอบธรรมประโยคนี้” เขาเอ่ย “การกระทำของคุณหนูจวินกบฏทั้งยังบ้าบอจริงๆ”
ได้ยินเขาเอ่ยเช่นนี้สีหน้าไทเฮาพลันผ่อนคลาย
ขุนนางทั้งหลายที่เหลือก็พากันพยักหน้าด้วย
“ดังนั้นกระหม่อมหวังว่าฝ่าบาทจะก้าวออกมาตำหนิเรื่องนี้” หนิงเหยียนเอ่ยต่อ “คุณหนูจวินมีความชอบใหญ่หลวง แต่รางวัลและบทลงโทษย่อมแยกจากกัน นางมีความชอบต้องได้รางวัล แต่เหิมเกริมหมายอ้างความชอบยุ่งกับการปกครอง ฝ่าบาทต้องตำหนิอย่างเข้มงวด ปฏิเสธคำวิจารณ์ไร้สาระ แสดงให้เห็นสิ่งที่ชอบธรรม”
ไทเฮามุ่นพระขนงเล็กน้อย
“ฮ่องเต้เห็นแก่ความชอบใหญ่หลวงของนาง ต้องการประทานการปลอบประโลม” นางตรัส “นิสัยของฝ่าบาทเมตตาน้ำพระทัยกว้างขวาง พวกเจ้าก็ไม่ใช่ไม่รู้”
“การปลอบประโลมที่ว่าควรต้องชาญฉลาด” หนิงเหยียนเอ่ย “ฝ่าบาทเป็นโอรสสวรรค์ เป็นบิดาของแผ่นดิน เป็นเจ้าเป็นบิดา ควรชมก็ชม ควรตำหนิก็ตำหนิ ยอมไปเสียหมดคือการสังหารด้วยคำชม นี่ไม่ใช่การปลอบประโลมและชมเชยที่แท้จริง”
นี่มีเหตุผลจริงๆ
ฮ่องเต้น่าจะก้าวออกมาตำหนิลงโทษเป็นการเตือนคุณหนูจวิน แสดงต่อชาวบ้านว่าเขาเป็นสายเลือดอันชอบธรรมจุดนี้อย่างเต็มเปี่ยมด้วยเหตุผล สง่าผ่าเผยไม่มีสิ่งใดให้สงสัย
“ครั้งนี้คุณหนูจวินผิดแล้วจำต้องตำหนิ”
“ไม่ผิด ตำหนิอย่างเปิดเผยโจ่งแจ้ง”
“ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องหลบเลี่ยง”
ขุนนางทั้งหลายที่นั่นพากันพยักหน้าเอ่ย
มือที่วางอยู่บนหัวเข่าของไทเฮากำแน่น เหตุผลก็เป็นเหตุผลนี้ ทว่าฮ่องเต้ตัวไร้ประโยชน์คนนี้…
นางมองหนิงเหยียน ชั่วขณะไม่รู้ว่าควรโกรธเขาหรือชมเขา
แต่ขุนนางทั้งหลายโดยทั่วไปล้วนคิดว่าคุณหนูจวินคนนั้นเอ่ยถึงสนับสนุนสายเลือดอันชอบธรรม แต่งตั้งไหวอ๋องเป็นองค์รัชทายาทอะไร เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง จุดนี้ไทเฮายังคงปลื้มปิติยิ่ง
คุณหนูจวินคนนี้ก็ไม่รู้โชคดีหรือโชคร้าย ทุกครั้งเมื่อได้ความชอบครั้งใหญ่จนทำให้คนวิตก นางก็จะทำบางอย่างที่ทำลายชื่อเสียงของตนเองออกมา
นี่เป็นนางรนหาที่ตายเอง โทษราชสำนักไร้หัวใจไม่ได้
ไทเฮาหยัดร่างสง่างงาม
ถ้าเช่นนั้นก็ให้ชาวบ้านล้วนรู้ว่าคุณหนูจวินคนนี้พูดอะไรทำอะไร ให้ทุกคนดูซิว่าสตรีคนนี้เหิมเกริมกบฏมากเพียงไร ถึงกับกล้ายุ่งกับเรื่องใหญ่ของราชสำนัก
ก็ดีให้ฮ่องเต้ตัวไร้ประโยชน์คนนั้นอาศัยความคิดของประชาชนกำจัดคุณหนูจวินคนนี้ หลังจากนั้นรีบไสหัวกลับมา
นางยังมีหนี้ต้องคิดบัญชีกับเขาดีๆ
คำพูดของคุณหนูจวิน เอ่ยขึ้นนอกสุสานหลวง ผนวกกับการอนุญาตเงียบๆของไทเฮา จึงแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วยิ่ง เมืองหลวงฮือฮาไปหมด
สำหรับชาวบ้านทั้งหลายแล้ว แต่งตั้งองค์รัชทายาทเป็นเรื่องใหญ่ของราชสำนัก คุณหนูจวินเอ่ยออกมาเช่นนี้น่ากลัวเกินไปแล้วจริงๆ
“ก่อนหน้านี้เรื่องเช่นนี้ก็ไม่น้อยนะ พระญาติข้างนอกเหล่านี้สนับสนุนองค์ชายที่ตนเองเห็นความสำคัญ บีบบังคับฮ่องเต้ให้แต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาทอะไรๆ ก่อเรื่องจนพ่อลูกพี่น้องเข้าใจผิดกันเท่าไร”
“แต่งตั้งคนอายุมากไม่แต่งตั้งคนอายุน้อย นี่เป็นเหตุผลที่ทุกคนล้วนรู้”
“กระทั่งบัณฑิตทั้งหลายในสภาอำมาตย์เอ่ยถึงการแต่งตั้งรัชทายาทยังจำต้องระวัง คุณหนูจวินสตรีคนนี้ทำไมทำเช่นนี้ได้?”
“ทำไมทำได้? ก็ไม่ใช่เพรานางความชอบใหญ่หลวงรึ”
“ความชอบใหญ่หลวงก็บงการราชสำนักได้หรือ? ถ้าเช่นนั้นนางกลายเป็นใครไปแล้ว”
“เป็นใครได้เล่า ขุนนางมีอำนาจชั่วช้าเหล่านั้นไม่ใช่ล้วนเป็นเช่นนี้หรือ”
“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าคุณหนูจวินจะเป็นคนละโมบหมายอำนาจเช่นนี้เหมือนกัน”
คำวิพากษ์วิจารณ์สารพัดแพร่ออกไปที่หัวถนนท้ายซอย โรงหมอจิ่วหลิงก็เงียบเหงากว่าก่อนหน้านี้เช่นกัน ชนชั้นสูงเศรษฐีเหล่านั้นไม่มีใครมาที่นี่รับยาแล้ว
พวกเขามาโรงหมอจิ่วหลิงรับยาเพื่อรักษาชีวิต แต่การกระทำของคุณหนูจวินตอนนี้เป็นกบฏ ต้องโทษหนักตัดศีรษะอย่างไม่ต้องสงสัย พวกเขาย่อมไม่อยากถูกพันพันจนเสียชีวิตไปด้วย
“คุณหนูจวิน เจ้า เจ้าทำไมทำเช่นนี้เล่า?” เฉินชีเดินวนเวียนหลายรอบแล้วเอ่ยขึ้น
เรื่องดีชัดๆ ผลสุดท้าย…
“คุณหนูจวิน ข้ารู้ว่าท่านดีกับไหวอ๋องยิ่ง” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วที่อยู่ด้านข้างเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเปิดปากเอ่ย “แต่เรื่องนี้ไม่ควรเอ่ยออกมาเช่นนี้”
คุณหนูจวินยิ้มแล้ว
“ไม่ เรื่องนี้สมควรเอ่ยออกมาเช่นนี้” นางว่า “ด่าข้าไม่เป็นไร ยิ่งด่ามาก ยิ่งดี”
ยิ่งดี?
นี่มีสิ่งใดดี?
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วกับเฉินชีมองนาง
การกระทำของคุณหนูจวินคนนี้ตั้งแต่เริ่มแรกก็มักจะแปลกประหลาดเช่นนั้นเสมอ
“ด่าข้า ย่อมต้องเล่าว่าทำไมด่าข้า” คุณหนูจวินเอ่ยพลางมองนอกประตู ผ่านบานประตูที่เปิดอ้าอยู่มองดูฝูงชนที่รวมตัวอยู่บนถนนชี้มือชี้ไม้มาข้างในเป็นระยะ “พูดมากเข้า ทุกคนก็จะยิ่งพูดถึงคนผู้นั้นมากขึ้น และในที่สุดก็จะมีคนเริ่มคิดได้ว่าคำพูดของข้ามีเหตุผลหรือไม่”
……………………………………….
……………………………………….
“ใช่แล้ว เสนอให้ไหวอ๋องเป็นองค์รัชทายาทอะไร ฝ่าบาทก็ไม่ใช่ไม่มีลูก”
ชาวบ้านคนหนึ่งเบ้ปาก
“น่าขำแท้”
รอบด้านเสียงหัวเราะดังขึ้น แต่มีชาวบ้านคนหนึ่งไม่ได้หัวเราะ ทว่าจับปลายคาง
“แต่ หากว่าเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นตอนนั้นก็ไม่ควรตั้งฉีอ๋องเป็นฮ่องเต้สิ” เขาเอ่ยขึ้นมา “องครัชทายาทก็ไม่ใช่ไม่มีลูกนี่”
คำนี้เอ่ยออกมา เสียงหัวเราะของชาวบ้านรอบด้านฉับพลันชะงักเงียบหาย