บทที่ 252 แรงดึงดูดอันแข็งแกร่ง
บทที่ 252 แรงดึงดูดอันแข็งแกร่ง
สุ่ยเวยโทรศัพท์มาบอกให้เธอเข้าไปที่บริษัทและบอกเพียงแค่ว่ามีงานโฆษณาตัวใหม่ที่ต้องการเซ็นสัญญากับเธอ ซึ่งซูโย่วอี๋ไม่รีรอรีบออกไปที่บริษัททันที
เธอเห็นเหมยเหมยยืนรอเธออยู่ที่หน้าห้องทำงานของสุ่ยเวย “พี่เวยพาสปอนเซอร์ไปที่ห้องประชุมแล้วค่ะ”
เธอพูดพร้อมกับนำทางให้ซูโย่วอี๋ไปด้วย
“อีกฝ่ายเป็นใครเหรอ?”
ดูจริงจังกันจัง
เหมยเหมยส่ายหน้า “พี่เวยไม่ได้บอกรายละเอียดมาเลยค่ะ”
นั่นทำให้ซูโย่วอี๋ยิ่งสงสัยมากยิ่งขึ้น จึงรีบก้าวเดินไปยังห้องประชุม
พอผลักประตูออก แผ่นหลังของผู้ชายสองสามคนที่ใส่ชุดสูทปรากฏขึ้น พอพวกเขาได้ยินเสียงเปิดประตูต่างก็หันหน้ามา
ซูโย่วอี๋จำคนตรงหน้าได้ในทันที นั่นก็คือเหลยเช่า ผู้จัดการแบรนด์น้ำหอมดอร่าของประเทศจีน
ในตอนแรกซูโย่วอี๋ได้รับเชิญให้เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของน้ำหอมดอร่าในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก คิดไม่ถึงว่าเรื่องการหย่าร้างของเธอจะเกิดขึ้นในวันที่เซ็นสัญญาพอดี ทำให้สำนักงานใหญ่ของดอร่ายกเลิกสัญญาไป
ไม่แปลกใจที่สุ่ยเวยไม่กล้าตัดสินใจโดยพละการในเรื่องของการทำสัญญา ก็คงเพราะไม่แน่ใจในการตัดสินใจของเธอ
ใบหน้าของเหลยเช่าปรากฏรอยยิ้มอย่างเป็นมิตร “คุณซู ไม่เจอกันตั้งนาน คุณสวยขึ้นจนจำไม่ได้เลยนะครับ ดูมีความมั่นใจขึ้นเยอะเลย”
“ไม่นานมานี้ตอนที่คุณพึ่งถ่ายละครรักในฝันไป คุณแสดงได้ดีมากเลยครับ ผมเป็นแฟนคลับตัวยงของคุณเลยนะ”
เขาพูดชื่นชม
ซูโย่วอี๋พยักหน้าอย่างตรงไปตรงมา “ชมเกินไปแล้วค่ะ”
“นั่งลงก่อนสิ”
มันฟังดูเหมือนคำสั่งของเจ้านาย
ได้ยินเช่นนั้น เหลยเช่าและคนของเขาก็นั่งลง ซูโย่วอี๋และสุ่ยเวยนั่งลงฝั่งตรงข้าม
“คุณซูน่าจะรู้ถึงสาเหตุที่พวกเรามาที่นี่ใช่ไหมครับ?”
“น่าจะเป็น… เรื่องสัญญา?”
เหลยเช่าส่งสัญญาณให้กับผู้ช่วยของเขา ผู้ช่วยหยิบเอกสารสัญญาออกมาจากกระเป๋าอย่างรู้งาน “คุณซู วันนี้พวกเรามาด้วยความจริงใจอันเต็มเปี่ยม เพื่อเชิญให้คุณมาเป็นแอมบาสเดอร์ของน้ำหอมดอร่าในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกน่ะครับ”
ซูโย่วอี๋มองดูเอกสารบนโต๊ะด้วยดวงตาเรียบนิ่ง “ประธานเหลย ถ้าหากว่าฉันจำไม่ผิด สัญญานี้เคยถูกพวกคุณยกเลิกไปแล้วนี่คะ”
ฉันเองก็แค้นเป็นเหมือนกันนะ เข้าใจไหม?
สีหน้าของเหลยเช่าไม่เปลี่ยนไป “คุณซู วันนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนครับ ครั้งที่แล้วเกิดสถานการณ์ไม่คาดคิดขึ้นมาขัดจังหวะสัญญาของพวกเรา แน่นอนว่าทางสำนักงานใหญ่ของดอร่าจัดการกับเรื่องนี้ได้ไม่ดีพอ ดังนั้นเงื่อนไขสัญญาในครั้งนี้ พวกเราได้ทำสัญญาครั้งใหญ่ที่สุดมาให้แล้วครับ คุณดูได้ในสัญญาเลยครับ”
สุ่ยเวยหยิบสัญญาขึ้นมาและส่งให้ซูโย่วอี๋หนึ่งชุด ก่อนที่ตัวเองจะลองเปิดดู
สัญญาฉบับนี้ลดข้อจำกัดของซูโย่วอี๋ลงไปเยอะมาก และเพิ่มภาระให้กับทางบริษัทมากยิ่งขึ้น อีกทั้งค่าตอบแทนยังมากกว่าเดิมถึงสามเท่า ค่าตอบแทนในครั้งนี้คือสามสิบล้าน!
สายตาของซูโย่วอี๋หยุดลงอยู่ที่ค่าตอบแทนนานมาก หลังจากนั้นจึงเปิดอ่านต่อไป
เธอไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายจึงเห็นแค่เพียงส่วนที่ชัดเจน อย่างไรก็ตามเงื่อนไขพวกนี้สามารถอธิบายปัญหาได้
ตอนนี้บริษัทดอร่ากำลังให้ความสนใจในตัวของซูโย่วอี๋มาก
ซูโย่วอี๋เงยหน้าขึ้นมองเหลยเช่า “ประธานเหลย ฉันอยากรู้เหตุผลว่าทำไมพวกคุณถึงยังอยากร่วมงานกับฉันอีก?”
“ผมได้ยินมาว่า น้ำหอมเฮอรัลได้ส่งต้นมะกอก*[1]มาให้พวกคุณ?”
ข่าวไปไวจริง ๆ
เหลยเช่าเอนตัวของเขาไปพิงเบาะของเก้าอี้ นิ้วมือทั้งสิบประสานเข้าหากัน ทั้งตัวของเขาดูผ่อนคลายมาก “เรื่องพวกนี้ไม่สามารถรอดพ้นพวกเราไปได้หรอก รวมถึงราคาที่พวกเขาเสนอมาให้ด้วย ผมรู้หมดครับ”
“ราคาที่เฮอรัลเสนอคือสิบห้าล้านใช่ไหมครับ?”
ซูโย่วอี๋นิ่งไป “โปรดให้อภัยในคำพูดของฉันด้วยนะคะ ประธานเหลย ไม่ว่าจะในแง่ระดับประเทศหรือแง่อิทธิพลของแบรนด์สินค้า เฮอรัลก็สูงส่งมากกว่าดอร่าอยู่ดี”
พูดอีกอย่างนึงก็คือการรับรองของแบรนด์ก็ยังคงเป็นกระบวนการของความสำเร็จร่วมกันอยู่ดี ไม่สามารถมองแค่ค่าตอบแทนได้
เหลยเช่ายิ้มขึ้น “แน่นอน ดังนั้นพวกเราถึงได้เสนอค่าตอบแทนที่มากกว่าให้ และก็หวังว่าจะสามารถเอาชนะใจของคุณซูและบริษัทใหญ่นี้ได้ ให้คุณยอมปล่อยเฮอรัลไปและเลือกพวกเรา”
ซูโย่วอี๋และสุ่ยเวยสบตากัน “เรื่องแบบนี้ควรปรึกษากับตัวแทนของฉันก่อนแล้วค่อยตัดสินใจนะคะ”
“แน่นอนครับ”
เหลยเช่ารีบพาเหล่าผู้ช่วยของเขาออกไปจากห้องประชุมในทันที
น้ำเสียงนิ่งสงบของสุ่ยเวย “ซูโย่วอี๋ สัญญาฉบับนี้ให้คุณเป็นคนตัดสินใจเอาด้วยตัวเองเลย ฉันจะไม่เข้าไปก้าวก่ายความคิดของคุณ”
แม้จะเลือกดอร่า เทียนฉีเอนเทอร์เทนเมนต์ก็ยังได้เปอร์เซ็นต์ที่เพิ่มขึ้น แต่ลู่เฉินคงไม่สนใจงานเล็ก ๆ ที่มีมูลค่าไม่กี่สิบล้านนี้หรอก
ไม่สู้ตามใจซูโย่วอี๋ไปเลยดีกว่าเหรอ
“ความเห็นของคุณล่ะ?”
“ฉันไม่มีความเห็นอะไร ถ้าหากว่าคุณยังตัดสินใจไม่ได้ ตอนนี้ฉันจะออกไปบอกพวกเขาว่าให้พวกเขากลับไปรอข่าวคร่าว รอให้คุณคิดทบทวนให้ดีก่อนแล้วค่อยมาคุยกัน”
ซูโย่วอี๋ลดสายตาของเธอลง “ไม่ต้องค่ะ ให้พวกเขาเข้ามาเลย ฉันคิดดีแล้ว”
สุ่ยเวยประหลาดใจเล็กน้อย ไวขนาดนั้นเลย?
สถานการณ์บนโต๊ะของทั้งสองฝ่ายเกิดขึ้นอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
เหลยเช่าดูมีการวางแผนมาก่อนแล้ว “คุณซู พวกเราได้แสดงความจริงใจไปอย่างเต็มที่แล้วจริง ๆ ครับ”
“ฉันเข้าใจค่ะ แต่ฉันคงไม่สามารถเข้าร่วมสัญญากับบริษัทที่มีชื่อเสียงด้านการเปลี่ยนใจอย่างกะทันหันได้”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเหลยเช่านิ่งค้างไป ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเหลือเชื่อ “คุณซู นี่มันเพราะอะไรกันครับ? เป็นเพราะคุณไม่พอใจกับค่าตอบแทนหรือเพราะอะไรกันแน่?”
ซูโย่วอี๋ส่ายหน้า “ไม่ใช่ค่ะ แต่เป็นเพราะไม่ว่าฉันจะคิดทบทวนยังไงก็ไม่เห็นเหตุผลที่จะต้องทำสัญญากับพวกคุณเลย”
“หมายความว่ายังไงกัน?”
“พวกคุณผิดสัญญาในครั้งแรก ตอนที่ฉันยากลำบากมากที่สุด พวกคุณทอดทิ้งฉัน แม้จะเป็นเพียงสัญญาทางธุรกิจ แต่มันก็ดูใจร้ายมากเกินไป”
“ฉันอยากเลือกคู่สัญญาที่พึ่งพาได้มากกว่าค่ะ”
เหลยเช่าขมวดคิ้ว “คุณซู เฮอรัลเองก็ไม่ใช่คู่สัญญาที่น่าพึ่งพาอย่างที่คุณคิดหรอก”
ซูโย่วอี๋ตั้งใจแน่วแน่ “แน่นอนค่ะ ฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าพวกเขาใช้คู่สัญญาในแบบที่ฉันต้องการหรือเปล่า แต่ดอร่าไม่ใช่อย่างแน่นอนค่ะ”
เหลยเช่าเข้าใจถึงเรื่องราวที่กำลังวนกลับมาทำร้ายเขาเอง “ถ้าคุณตัดสินใจไปแล้ว พวกเราก็ไม่รบกวนแล้วครับ”
พูดจบก็ลุกขึ้นและเดินออกไปทางประตู
ซูโย่วอี๋และสุ่ยเวยมองดูอยู่ด้านหลัง
เดิมทีเหลยเช่าไม่อยากพูดอะไร แต่พอเดินออกมาจากประตูแล้วก็อดหันหน้ากลับไปไม่ได้ เขาพูดด้วยน้ำเสียงเสียใจ “คุณซู คาดเดาได้เลยว่าการเสียคุณไปจะทำให้บริษัทของพวกเราสูญเสียครั้งใหญ่ในด้านการพัฒนากลยุทธ์ในระยะยาวเลยครับ”
“แต่ผมชื่นชมคุณจริง ๆ นะครับ”
เหลยเช่าจ้องมองเธออย่างจริงใจ ในที่สุดก็กลับไปและไม่หันกลับมาอีก
สุ่ยเวยเลิกคิ้วขึ้น “ยินดีด้วยที่คุณได้ปฏิเสธคนขี้ขลาดไป”
เธอชื่นชมในการตัดสินใจของซูโย่วอี๋ และไม่ต้องถูกบีบบังคับด้วยกำไรเล็กน้อย เพราะเธอรู้ว่าอะไรที่สำคัญมากกว่า
ยังมีอีกสิ่งหนึ่ง ซูโย่วอี๋คนนี้มีจิตใจที่หนักแน่น
“อื้ม ฉันมีความสุขมากจริง ๆ”
ซูโย่วอี๋ยิ้มอย่างเบิกบานราวกับดอกไม้ ถือเป็นการปลดปล่อยเรื่องก่อนหน้านี้ออกไป
“พี่เวย ตอนนี้ยังมีแผนอื่นอีกไหมคะ?”
“คุณมีธุระอะไรหรือเปล่า?”
“ตอนนี้พวกเราไปเอาสัญญาของเฮอรัลมาเซ็นกันเถอะ”
เหลยเช่าและคนของเขาเดินออกมาจากเทียนฉีเอนเทอร์เทนเมนต์และขึ้นรถ ผู้ช่วยจึงกล้าเปิดปากถามถึงสิ่งที่สงสัยอยู่ในใจขึ้น “ประธานเหลย คุณมองอิทธิพลของคุณซูสูงมากเกินไปหรือเปล่า?”
ก็แค่แบรนด์แอมบาสเดอร์คนเดียว จะทำให้เกิดความร้ายแรงต่อบริษัทได้ยังไง?
“พวกเราหาแบรนด์แอมบาสเดอร์ที่โด่งดังกว่าคุณซูมาก็ได้”
เหลยเช่าส่ายหน้า “แจ็ค คุณพึ่งมาประเทศจีน ไม่รู้หรอกว่าตอนนี้ซูโย่วอี๋โด่งดังมากแค่ไหน ความโด่งดังของละครรักในฝันผลักดันให้เธอขึ้นแท่นดาราหญิงแถวหน้าไปแล้ว”
รางวัลหลากหลายประเภท การเชิญชมภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ สัญญาของแบรนด์แอมบาสเดอร์…
มูลค่าทางธุรกิจของเธอยังไม่ปรากฏให้เห็น บางทีการเซ็นสัญญาของน้ำหอมเฮอรัลอาจจะทำให้นักลงทุนที่กำลังรออยู่ได้เห็นว่าแรงดึงดูดของนักแสดงหญิงคนนี้นั้นมีอิทธิพลมากแค่ไหน!
“แต่สิ่งที่คุณพูดอาจเป็นแค่เพียงการประเมินเบื้องต้น ผมควรจะต้องรีบทำหนังสือแนะนำมอบให้กับสำนักงานใหญ่แล้วล่ะ”
ควรจะต้องไปหาแบรนด์แอมบาสเดอร์ที่สามารถแข่งขันกับซูโย่วอี๋ได้ถึงจะดี
…
คฤหาสถ์ตระกูลฮัวที่ปกคลุมไปด้วยเมฆอึมครึม
ความซึมเศร้าปกคลุมไปทั่วทั้งบ้าน
อวิ๋นจิ้งหว่านทุกข์ทรมานจากการนอนไม่หลับอย่างรุนแรง สภาพจิตใจเธอแย่ลงไปเรื่อย ๆ เธอเอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ไม่ยอมก้าวออกจากประตูห้องไปไหนเลย
มีบางครั้งที่เธอออกมากินข้าวด้วยใบหน้าซีดเผือดราวกับผี แตกต่างจากเดิมที่อ่อนโยนและสุภาพราวกับเป็นคนละคน
จนกระทั่งครั้งหนึ่งอวิ๋นจิ้งหว่านเฉือนนิ้วของตัวเองและหยดเลือดลงในแก้วน้ำ หลังจากนั้นก็เอาไปให้ฮัวจิงดื่ม
คนรับใช้แอบอยู่อีกด้านหนึ่ง เธอเห็นการแสดงออกด้วยใบหน้าอันร่าเริงอย่างบ้าคลั่งของอวิ๋นจิ้งหว่าน ทำให้เธอตกใจจนเกือบจะร้องออกมา
รอจนอวิ๋นจิ้งหว่านกลับไปที่ห้อง คนรับใช้จึงรีบวิ่งเข้าไปในห้องหนังสือและพูดเสียงสั่น “คุณฮัว คุณนายเธอ…ดูมีอารมณ์และท่าทางที่ผิดปกติ”
เธอพูดเรื่องเลือดในแก้วน้ำให้เขาฟัง
ฮัวจิงหยุดปากกาในมือลง “ผมรู้แล้ว คุณไปดูเธอต่อเถอะ ถ้ามีพฤติกรรมอะไรแปลก ๆ ให้รีบมารายงานผม”
พูดว่าให้ดู จริง ๆ คือให้ไปเฝ้าระวังต่างหาก
หลังจัดการงานเรียบร้อย ฮัวจิงจึงเข้าไปในห้องนอนของอวิ๋นจิ้งหว่านอย่างเงียบ ๆ
และนั่งลงบนเก้าอี้ด้านหน้าหน้าต่าง พร้อมกับมองดูร่างอันบอบบางบนเตียง
“จิ้งหว่าน ผมรู้ว่าคุณยังไม่หลับ พวกเรามาคุยกันหน่อยสิ”
เสียงนิ่งเฉยของฮัวจิงราวกับไม่ได้มีอารมณ์ความรู้สึกใด ๆ
อวิ๋นจิ้งหว่านบีบผ้าห่มในมือแน่น ตอนนี้แม้แต่การเสแสร้งก็คงเหนื่อยที่จะทำแล้วใช่ไหม?
ผ่านไปสักพักก็ยังคงไม่ได้ยินคำตอบรับใด ๆ ฮัวจิงไม่ได้รีบร้อน “คุณเครียดมากเกินไป นี่มันมากเกินกว่าขอบเขตที่คุณจะรับได้ไหวแล้ว ผมนัดหมอไว้ พรุ่งนี้คุณลองไปพบหมอดูนะ”
อวิ๋นจิ้งหว่านลุกขึ้นมาจากเตียงด้วยสีหน้าดุร้าย “หมอ? หมออะไร? คุณคิดว่าฉันป่วยทางจิตเหรอ? ฉันจะบอกคุณให้นะ ฉันสบายดีมาก ๆ”
เสียงถอนหายใจดังขึ้น
“ผมจะไปเป็นเพื่อนคุณเอง”
หมอนใบหนึ่งลอยมาโดนหัวของฮัวจิงและตามมาด้วยเสียงตะโกน “คุณไสหัวไปซะ! ใครจะไปต้องการคนเสแสร้งแบบคุณกัน ฉันไม่ได้ป่วย!”
“ลูกของฉันจากไปแล้ว คุณเคยมีน้ำตาสักหยดเพื่อเขาออกมาบ้างหรือเปล่า? คุณเอาแต่ทำตัวเฉยชาอยู่ตลอด ราวกับว่าไม่ว่าอะไรก็ไม่สามารถทำอะไรหัวใจของคุณได้เลย คุณเป็นเหมือนเครื่องจักรที่ไม่มีข้อผิดพลาด ถ้าฉันเป็นบ้า ก็คงเป็นเพราะถูกคุณบีบบังคับให้บ้าไง”
แต่ถ้าหากว่าคุณมีความจริงใจอยู่สักนิด หัวใจของฉันก็คงจะไม่เจ็บปวดมากขนาดนี้!
“ฮัวจิง ฉันต้องการให้ผู้หญิงคนนั้นชดใช้ ฉันต้องการให้เธอชดใช้ให้กับชีวิตของลูก”
ดวงตาของอวิ๋นจิ้งหว่านเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
คิ้วของฮัวจิงขมวดขึ้นเล็กน้อย “จิ้งหว่าน มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเธอเลย”
“เรื่องลูก พวกเราจะมีใหม่ก็ยังได้”
พอคิดถึงรายงานการตรวจร่างกายเกี่ยวกับภาวะการมีบุตรยากของอวิ๋นจิ้งหว่านที่ถูกใส่ไว้ในลิ้นชัก ฮัวจิงก็ตัดสินใจที่จะปกปิดเรื่องนี้เอาไว้ชั่วคราว
เพราะการพูดออกไปก็มีแต่จะเป็นการทำลายฟางเส้นสุดท้ายในชีวิตของอวิ๋นจิ้งหว่าน
หัวใจของอวิ๋นจิ้งหว่านเต้นแรง
ลูกรัก
เธอยังสามารถมีลูกได้
อารมณ์ของเธอสงบลงอย่างอธิบายไม่ถูก
ฮัวจิงเดินไปที่เตียง “นอนได้แล้ว รอให้คุณดูแลตัวเองให้ดี ลูกก็จะกลับมาหาคุณเองนะ”
“คุณคงไม่อยากให้ลูกมีแม่อารมณ์ร้ายใช่ไหม ถ้าคุณยังเป็นแบบนี้ คงทำให้ลูกตกใจจนวิ่งหนีไป”
อวิ๋นจิ้งหว่านนอนลงบนเตียงอย่างว่าง่าย ฮัวจิงดึงผ้าห่มให้เธอ “คุณทำได้ดีมาก”
เมื่อเห็นว่าเขาจะออกไป อวิ๋นจิ้งหว่านดึงชายเสื้อของฮัวจิงเอาไว้ “พวกเรายังจะสามารถมีลูกได้จริง ๆ เหรอ?”
ฮัวจิงก้มลงจูบที่หน้าผากของเธอ “แน่นอน”
[1] สัญลักษณ์แห่งมิตรภาพ