บทที่ 273 ข้าจะอยู่กับเจ้า

แม้ว่าเซียวเย่เจ๋อจะฟังไม่เข้าใจว่ากู่คืออะไรพิษคืออะไร แต่สิ่งไม่มีชีวิตก็ยังสามารถนำมาทำเป็นหุ่นเชิดได้ เช่นนั้นก็จะร้ายกาจเกินไปแล้ว

นั่นไม่เท่ากับหาสุสานมา แล้วทั้งหมดก็จะกลายเป็นทหารของนางหรอกหรือ?

อาชิงน้อยน่ารักเพียงนี้ ให้เขาไปทำอะไรเช่นนี้คงไม่เหมาะกระมัง

แม้ว่าจะฟังดูน่ากลัว แต่เมื่อเซียวเย่เจ๋อมองไปทางเผยยวนและภรรยา ถ้าพ่อแม่อาชิงเห็นดีเห็นงามด้วย ก็ไม่เหมาะที่เขาจะเข้าไปยุ่ง เกิดสตรีผู้นี้อารมณ์ไม่ดีโยนหนอนสักตัวสองตัวใส่เขา เขาก็สามารถไปเฝ้าบรรพบุรุษของตระกูลเซียวได้ทันที

จี้จือฮวนไม่ได้พูดอะไร ด้านหนึ่งนางกำลังวิเคราะห์เยว่พั่วหลัวอยู่ อีกด้านหนึ่งก็หวังว่าอาชิงจะได้เรียนรู้ทักษะเพิ่มเติม

ผ่านไปสักพักนางกับเผยยวนจึงเอ่ยขึ้นพร้อมกัน “พวกเราจะเชื่อเจ้าได้อย่างไร?”

เห็นได้ชัดว่าเยว่พั่วหลัวไม่เข้าใจความคิดแปลก ๆ ของชาวจงหยวน นางพูดอะไรก็ย่อมหมายความว่าอย่างนั้น ไม่เคยโกหก ยิ่งไม่มีทางทำสิ่งที่ขัดต่อความตั้งใจของนาง ยังจะไม่เชื่ออะไรกันอีก?

นอกจากอาชิง นางไม่จำเป็นต้องอธิบายให้ใครฟัง

จี้จือฮวนจ้องมองนาง “เจ้าเลือกที่จะไม่ตอบข้าก็ได้ แต่เจ้าไม่สามารถอยู่ข้างกายลูกชายของข้าได้ ข้าต้องแน่ใจว่าความจงรักภักดีของเจ้าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ และจะทำอันตรายกับลูกชายข้าหรือไม่”

เซียวเย่เจ๋อเห็นว่าในที่สุดก็มีคนแสดงความกังวลอย่างที่ตนคิด

“ใช่แล้ว เจ้าเป็นคนต่างถิ่น อยู่ดี ๆ มาพูดเรื่องราชากู่อะไรนั่น ถ้าคนเขายกลูกให้เจ้าดูแลจะเชื่อในความจริงใจของเจ้าได้อย่างไรกัน?”

เยว่พั่วหลัวคิดถึงสิ่งที่เหล่าผู้อาวุโสบอกก่อนที่นางจะออกมา เมื่อมาถึงจงหยวนแล้วเข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม

นางตัดสินใจที่จะเชื่อฟังพวกเขา

เยว่พั่วหลัวหยิบกริชออกมาและแทงเข้าที่หัวใจตัวเองอย่างแรงไปหนึ่งครั้งด้วยสีหน้าเรียบนิ่งต่อหน้าทุกคน

ทุกคนต่างก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป มีเพียงไป๋จิ่นเท่านั้นที่รู้ว่านี่คือวิธีการแสดงความจงรักภักดีของสำนักกู่ และเป็นการบูชาอย่างสูงที่สุดด้วย

เอาตัวเองเป็นเครื่องเซ่น มอบชีวิตให้กับผู้มีอำนาจ

แม้แต่ไป๋จิ่นเองก็ไม่มีทางยกเจ้าเด็กน้อยอาชิงคนนี้ให้มาคุมชีวิตของตัวเอง เขามองท่าทางดื้อรั้นของเยว่พั่วหลัวก่อนจะส่ายหัวอย่างระอา คนสำนักกู่ช่างบ้าดีเดือดจริง ๆ

เยว่พั่วหลัวรองเอาเลือดที่ไหลออกมาจากหัวใจพลางยื่นมือไปหาอาชิง “ราชากู่ ได้โปรดยื่นมือของท่านออกมาด้วย”

เมื่อครู่อาชิงน้อยยังดูดนิ้วมืออยู่ ดังนั้นเขาจึงเช็ดมือกับเสื้อเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือออกไปช้า ๆ แล้วใช้มืออีกข้างปิดตาเอาไว้ “อย่ากรีดมือของอาชิง”

เยว่พั่วหลัวเอาเลือดที่ไหลออกมาจากหัวใจของนางแตะปลายนิ้วอ้วน ๆ ของเขา จากนั้นเลือดนั่นก็ถูกดูดซึมไปทันที

“เอ๊ะ!”

อาชิงมองไปที่ปลายนิ้วของตัวเอง พลิกไปพลิกมาก็ไม่พบจุดที่ดูดเลือดเข้าไป

“ข้าใช้ตัวเองเป็นเครื่องเซ่น หากวันใดทรยศต่อราชากู่ ร่างกายจะถูกครอบงำ”

จี้จือฮวนเองก็คิดไม่ถึงว่านางจะแสดงความจริงใจเช่นนี้ จึงมองไปยังไป๋จิ่น พลางส่งสัญญาณทางสายตาว่า สิ่งนี้เชื่อถือได้หรือไม่?

ไป๋จิ่นพยักหน้าน้อย ๆ จี้จือฮวนจึงได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

มีคนใหม่เข้ามาในหมู่บ้าน ทุกคนต่างก็รู้สึกสงสัย จึงมาดูกันว่าใครคืออาจารย์คนใหม่ของอาชิงน้อย

บรรดาท่านป้านำม้านั่งมากันเอง

“ข้าได้ยินมาว่ากินเก่งพอ ๆ กับเสี่ยวไป๋ กินบะหมี่หยางชุนไปสามชามใหญ่แล้ว”

“ข้าก็ได้ยินมาเหมือนกัน และยังบอกว่าเป็นคนโง่นิด ๆ ด้วย เจ้าถามอะไรนางก็ตอบหมด ทั้งยังชอบจัดของให้เป็นระเบียบ เช่นนั้นก็ดีกว่าเสี่ยวไป๋น่ะสิ”

“เช่นนั้นจะลำเอียงไม่ได้ เสี่ยวไป๋ทำงานเก่งจะตายไป เจ้าบอกว่านางชื่ออะไรนะ?”

“ไม่รู้สิ ฟังดูแล้วเหมือนคำด่า พ่อหลัวซางจื่ออะไรนี่แหละ”

“ใครเขาจะชื่อแบบนี้กัน!”

หนึ่งเค่อต่อมา ที่เตาด้านนอก เยว่พั่วหลัวกัดหัวไชเท้าดองไปหนึ่งคำแล้วหรี่ตาลง อืม อาหารของจงหยวนช่างอร่อยจริง ๆ

นางพิจารณาหมู่บ้านนี้ อืม นาของจงหยวนก็ปลูกได้ดีทีเดียว

“อาหลัวเอ้ย อร่อยใช่หรือไม่? ข้าทำโรยหน้าอย่างอื่นเพิ่มให้เจ้าอีกหน่อยดีหรือไม่? เห็ดหอมกับเนื้อสับเพิ่มผักดองหน่อย อร่อยอย่าบอกใครเชียว”

เยว่พั่วหลัวชำเลืองมองท้องของตัวเอง นางกินไม่ไหวแล้วจริง ๆ แต่ชามสามใบข้าง ๆ มันยังไม่ครบคู่

“เอามาอีกชามก็ได้เจ้าค่ะ! นิดหน่อยก็พอนะเจ้าคะ”

“ได้เลย!” บรรดาท่านป้าจึงไปลวกบะหมี่ให้นางอย่างมีความสุข

ไป๋จิ่นมองหน้านางด้วยสีหน้าราวกับจะบอกว่า บ้าบอสิ้นดี “ข้าว่าสุดท้ายเจ้าไม่ได้ตายเพราะราชาร้อยกู่หรอก แต่จะตายเพราะกินบะหมี่จนท้องแตกมากกว่า”

ถ้าเขารู้ว่าสำนักกู่ไร้ประโยชน์เพียงนี้ เขาคงจะพาคนสำนักพิษไปสังหารนานแล้ว

เยว่พั่วหลัวปรายตามองไปยังขนมเปี๊ยะต้นหอม และเสี่ยวหลงเปาสองเข่งทางฝั่งเขา

“เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาว่าข้าล่ะ?”

เป็นพวกกินจุเหมือนกัน ก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรแตกต่างกันที่ตรงไหน!

พวกท่านป้าเดินเข้ามาและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อาหลัว เจ้าคิดได้หรือยังว่าจะอยู่ที่ไหน? ตอนนี้พวกเรามีบ้านหลายหลัง บ้านเก่าบ้านใหม่ก็มี”

เยว่พั่วหลัวเอามือเท้าคาง “ไม่เลือกดีกว่าเจ้าค่ะ เพราะข้าจะอยู่กับเขา”

ไป๋จิ่นพ่นขนมเปี๊ยะที่อยู่ในปากออกมาทันที ท่าทางของผู้สูงส่งลึกลับอะไรนั่นหายไปหมดแล้ว

เยว่พั่วหลัวปัดเศษขนมบนหน้าทิ้ง “ไม่เห็นต้องดีใจขนาดนั้นเลย”

ไป๋จิ่นรีบดื่มน้ำไปหนึ่งอึก เขาสูดลมหายใจเข้าหนึ่งทีแล้วเอ่ยขึ้นมา “เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาพักกับข้า ข้าไม่เอาด้วย! เจ้าอย่าคิดจะมาฉวยโอกาสกับข้า”

เยว่พั่วหลัวหรี่ตาลง “หึ ข้ารู้ว่าเจ้าปิดประตูอยู่ในบ้านคนเดียวต้องอยากทำเรื่องไม่ดีเป็นแน่ ข้าจะไปจับตาดูเจ้าอย่างใกล้ชิดอย่างไรเล่า!”

“เจ้าจับตาดูข้า? เจ้าไม่กลัวถูกพิษตายก็มาสิ!”

บ้านหลังนั้น เขาไม่อนุญาตให้คนในหมู่บ้านเข้าใกล้ ไม่ต้องพูดถึงรั้วไม้ที่ประตู แม้แต่หญ้าที่ประตูบ้านก็มีพิษเช่นกัน

เยว่พั่วหลัวกลอกตามองบน “แค่เล่ห์เหลี่ยมเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเจ้า ยังคิดจะเอามาสอนคน กลับไปฝึกที่สำนักพิษอีกสักแปดถึงสิบปีเถอะ!”

ทั้งสองจ้องตากัน ท่าทางเหมือนจะตีกันอีกแล้ว

ทันทีที่พวกท่านป้านำขนมเปี๊ยะกับบะหมี่ออกมา ทั้งสองก็หันไปกินข้าวอย่างพร้อมเพรียง เรื่องกินสำคัญที่สุด กินเสร็จแล้วค่อยสู้กันก็ยังได้

ทว่าสิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ เมื่อพวกเขาเริ่มก้มหน้าลงกินข้าว พวกท่านป้าก็เริ่มดูฤกษ์ยามทันที

“ได้ยินหรือไม่ บอกว่าจะอยู่ด้วยกันแล้ว”

“คิดไม่ถึงเลย เสี่ยวไป๋แม้แต่นาก็ทำไม่เป็นกลับสามารถขอเมียได้ ข้าจะบอกเจ้าให้ ห้ามให้แม่นางผู้นี้หนีไปเชียวนะ พวกเราต้องให้นางเห็นความจริงใจของหมู่บ้านตระกูลเฉินของเรา”

“ข้าเห็นว่าเดือนหน้ามีวันดีอยู่ ฝ่ายหญิงเป็นคนเอ่ยปากว่าจะอยู่ด้วยกันแล้ว พวกเราจะเอาเปรียบนางไม่ได้นะ!”

“ใช่ ๆ ๆ พรุ่งนี้ข้าจะเข้าตำบลไปตัดผ้า ต้องเลือกผ้าดี ๆ เพราะตอนนี้เงินเรามีไม่ขาดแล้ว”

“ไปตำบลอะไรกัน เราขนผ้าดี ๆ กลับมาจากจวนจี้กั๋วกงตั้งเยอะ สีแดงสดลูบแล้วเรียบลื่น สวยจะตายไป”

พวกท่านป้ากำลังกระซิบกระซาบกันอยู่ ส่วนอาอินก็ม้วนแขนเสื้อขึ้น กำลังจะยกชามและตะเกียบออกไป แต่มีแขนข้างหนึ่งยื่นมาจากข้าง ๆ ยกอ่างไม้ใส่ชามใบนั้นไปเสียก่อน

อาอินเงยหน้าขึ้นมอง เป็นเซียวเซวียนจิ่น

นางเดินตามหลังไป “เจ้ามาได้อย่างไรกัน?”

ท่านแม่บอกว่าชีวิตในวังของเขาลำบากไม่ใช่หรือ? ยังจะมาที่นี่ทำไมอีก ไม่กลัวคนในวังจะยิ่งไม่พอใจเขาหรืออย่างไร?

“องค์ชายสิบมาที่นี่ ข้าก็เลยมากับเขา ไม่เป็นอะไรหรอก พวกนี้จะเอาไปล้างใช่หรือไม่?” เซียวเซวียนจิ่นหันมาถามพร้อมรอยยิ้ม

ยังจะหัวเราะเช่นนั้นอีก อาอินจึงผลักเขาออก “เจ้าล้างจานไม่เป็น ข้าล้างเองดีกว่า”

เซียวเซวียนจิ่นขมวดคิ้ว เขาไม่สนใจหรอก เขาจะล้างกับนางด้วย

“ไม่ได้ยากเสียหน่อย ข้าล้างเป็น”

อาอินแปลกใจมาก เขามาหมู่บ้านตระกูลเฉินไม่ได้มาหาพี่ใหญ่ แต่มาหานางอย่างนั้นหรือ?

เซียวเซวียนจิ่นตอนนี้ใส่ใจเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติรอบกายตระกูลเผยมากเป็นพิเศษ เขาจึงกระซิบถาม “สตรีที่มาใหม่เป็นผู้ใดหรือ?”

“อาจารย์คนใหม่ของอาชิง รู้เรื่องกู่และในตัวเขาก็มีหนอนกู่อยู่ เป็นหนอนที่ร้ายกาจมาก ท่านพ่อท่านแม่ข้าไม่รู้เรื่องกู่จะได้มีคนสอนเขาพอดี”

.

.

.