เจียงจั้นไม่นึกว่าบิดาจะเอ่ยถึงเรื่องนี้ ครั้นหันไปเห็นตาแดงก่ำของผู้เป็นบิดาจึงอดห้ามไม่ได้ “ท่านพ่อคงจะล้ามาทั้งวัน ท่านกลับไปพักผ่อนก่อนเถิดขอรับ ข้ากับพี่อวี๋ชีสนิทกัน เขาไม่มีทางคิดเล็กคิดน้อยเป็นแน่”
ใบหน้าเจียงอันเฉิงเคร่งขรึม และตะเบ็งเสียงออกไปว่า “นำทางไป!”
เจียงอันเฉิงเป็นคนกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ แม้ว่าตอนนี้จะเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ แต่เขามองว่าตนเองควรไปขอบคุณเจ้าตัวถึงที่ ไม่ควรส่งพ่อบ้านไปตามคำสั่งเฝิงเหล่าฮูหยิน
เจียงจั้นหดคอแล้วรีบนำทางไปทันที
ในครั้งนี้บิดามิได้โดนตัวเขาแม้แต่ปลายนิ้ว ส่วนเขาเองก็ไม่มีทีท่าเหิมเกริมเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว หรืออาจพูดได้ว่า เมื่อก่อนเขาไม่รู้จึงไม่มีความกลัว ทั้งหมดทั้งมวลเป็นเพราะความโง่เขลาโดยแท้
เมื่อไปถึงปากทางตรอกเชวี่ยจื่อ สองพ่อลูกก็บังเอิญพบกับพ่อบ้านจากจวนปั๋วที่นำของกำนัลมาให้
“พ่อบ้านหวัง เอาของมาให้ข้า” เจียงจั้นยื่นมือไป
พ่อบ้านหวังรีบบอกทันควัน “ให้บ่าวถือเถอะขอรับ เฝิงเหล่าฮูหยินกำชับให้บ่าวนำเงินนี้มามอบให้ผู้นั้นขอรับ”
เจียงจั้นไม่ได้เอ่ยต่อให้มากความ เพียงแต่เดินนำทางไป
ทั้งสามเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูที่มีต้นพุทราคอคดขึ้นอยู่
“ท่านพ่อ พี่อวี๋ชีอาศัยอยู่ที่นี่ขอรับ”
เจียงอันเฉิงก้าวเข้าไปเคาะประตูด้วยตนเอง
“ใครกัน” ประตูฝั่งหนึ่งถูกเปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าที่แสนจะเป็นเอกลักษณ์ของเหล่าหวัง
เจียงจั้นรีบตอบ “เหล่าหวัง นี่คือบิดของข้า วันนี้อยากมาขอบคุณพี่อวี๋ชีเสียหน่อย”
เหล่าหวังรีบหันศีรษะกลับไปพลางตะโกน “เจ้านาย บิดาของคุณชายเจียงมาหาขอรับ”
อวี้จิ่นที่กำลังดื่มชาและลูบเอ้อร์หนิวอยู่ใต้ต้นไม้ได้ยินดังนั้นก็รีบกระเด้งตัวขึ้นมา จนขาข้างหนึ่งเผลอเหยียบหางของเอ้อร์หนิว
เอ้อร์หนิวที่กำลังเพลิดเพลินอยู่กับสัมผัสของเจ้านายไม่คิดไม่ฝันว่าจู่ๆ จะมีโชคร้ายลอยมา มันครางหงิงก่อนจะรีบวิ่งหนีไป
เจียงอันเฉิงเห็นสุนัขตัวใหญ่วิ่งตรงเข้ามาก็ตกใจ
นี่เป็นการต้อนรับแขกแบบไหนกัน
โชคดีที่สุนัขตัวใหญ่วิ่งผ่านเขาไปราวกับลมกระโชกแรง แต่มิได้แสดงอาการไม่เป็นมิตรแต่อย่างใด
เจียงอันเฉิงสงบสติลง และสาวเท้าก้าวใหญ่เข้าไปกลางลานพลางยกมือขึ้นคารวะอวี้จิ่น “ขอบคุณคุณชายมากที่ช่วยชีวิตไอ้ลูกหมาเอาไว้”
อวี้จิ่นที่ยังตกอยู่ในอาการมึนงงรีบชำเลืองไปที่เจียงจั้นทันที
บิดาของอาซื่อมาได้อย่างไร นี่มันกะทันหันเกินไป!
แต่อวี้จิ่นก็มิใช่คนซื่อบื้อที่เมื่อเห็นบิดาของสตรีที่ชอบแล้วจะกลายเป็นใบ้ไม่พูดไม่จา เขาทราบดีว่านี้คือโอกาสดีในการเอาชนะใจว่าที่พ่อตา
อวี้จิ่นควบคุมสติตนเองได้ในเวลาอันรวดเร็ว และหันไปโค้งรับคำขอบคุณนั้น “ท่านเกรงใจเกินไปแล้วขอรับ ไม่ว่าใครตกลงไปในน้ำ ผู้น้อยก็ต้องยื่นมือเข้าไปช่วย ในตอนนั้นผู้น้อยเองก็ไม่ทราบว่าเป็นน้องเจียงเอ้อร์ จึงมิอาจรับคำขอบคุณไว้ได้ขอรับ”
เจียงอันเฉิงได้ฟัง ความรู้สึกดีที่มีต่อเด็กหนุ่มผู้นี้ก็เพิ่มขึ้นกว่าก่อน
เดิมทีเขารู้สึกต่อเด็กคนนี้ไม่ต่างจากเด็กทั่วๆ ไป เพราะก็ช่วยไม่ได้ ใครให้เขาเป็นสหายลูกชายตัวดีล่ะ
ในมุมมองของเจียงอันเฉิง คนที่เข้ากับลูกชายของตนได้ย่อมเป็นพวกไม่เอาถ่านเหมือนๆ กัน โดยเฉพาะตอนที่เอาม้าของเขาไปขี่เมื่อคราวก่อน!
ยามนี้เขาจึงรู้สึกละอายใจยิ่งนัก
เมื่อพิจารณาจากลักษณะนิสัยของเขาแล้ว ช่างเป็นคนจิตใจงามเหลือเกิน
จุ๊ๆ สมัยนี้หาคนหนุ่มแบบนี้ได้ยากจริงๆ
เจียงอันเฉิงคิดเช่นนั้นพลางเหลือบไปมองที่ลูกชายของตน ในใจพลางคิดว่าไอ้ลูกคนนี้ก็ยังถือว่าตาดีอยู่บ้าง เขาไม่น่าไปยึดติดกับความอคติครั้งแรกนั้นเลย
“นี่คือของตอบแทนจากจวนปั๋วขอรับ” พ่อบ้านส่งกล่องของกำนัลไปให้
อวี้จิ่นยิ้มอย่างสุภาพ ทว่าปฏิเสธเสียงแข็ง “ของกำนัลนี่คงไม่อาจรับไว้ เพราะสิ่งที่ทำข้าแทบมิได้ออกแรงเลยขอรับ”
“คุณชายรับไปเถิดขอรับ มิฉะนั้นแล้วบ่าวจะกลับไปรายงานที่จวนอย่างไร”
อวี้จิ่นทำหน้าจริงจัง “น้องเจียงเอ้อร์และข้ารู้สึกดีต่อกัน ข้าเป็นสุขใจที่ได้ช่วยชีวิตเขาไว้ หากข้ารับของกำนัลนี้แล้วข้าจะดูเป็นคนอย่างไร”
เขาหันไปพูดพลางส่งยิ้มให้เจียงอันเฉิง “ท่านลุงว่าจริงหรือไม่ขอรับ”
เจียงอันเฉิงเผลอพยักหน้า ก็สมเหตุสมผล หากเขาช่วยชีวิตสหาย แล้วครอบครัวของสหายผู้นั้นเสนอของกำนัลตอบแทน เขาคงโกรธจนโยนเงินนั้นทิ้งไป
พ่อบ้านทำทีจะพูดต่อ ทว่ากลับถูกสายตาของเจียงอันเฉิงปรามไว้เสียก่อน พ่อบ้านจึงได้แต่ยืนถือกล่องนั้นเงียบๆ
เจียงอันเฉิงรู้สึกถูกชะตาเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างยิ่งจึงถามออกไปว่า “ไม่ทราบว่าคุณชายอวี๋รู้จักกับไอ้ลูกหมาได้อย่างไรหรือ”
อวี้จิ่นรีบบอก “ท่านลุงเรียกข้าเสี่ยวอวี๋เหมือนที่ใต้เท้าเจินเรียกเถอะขอรับ”
เจียงอันเฉิงมิได้เป็นผู้ถือเคร่งในประเพณี ได้ยินดังนั้นก็หัวเราะร่า “ได้ เช่นนั้นต่อไปนี้ข้าจะเรียกเจ้าว่าเสี่ยวอวี๋แล้วกัน”
เจียงจั้นที่เหมือนไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้นเกรงว่าอวี้จิ่นจะเล่าฉากเหตุการณ์ที่พบกันครั้งแรกที่หอโคมเขียวให้บิดาฟังจึงรีบเอ่ยแทรก “ตอนนั้นลูกกำลังมีเรื่องวิวาทกับคนกลุ่มหนึ่ง สถานการณ์เข้าขั้นวิกฤต พี่วอี๋ชีผ่านมาพอดีจึงคว้ามีดออกมาช่วยลูกไว้ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็ไปมาหาสู่กันตลอด”
ยิ่งเจียงอันเฉิงมองอวี้จิ่นก็ยิ่งรู้สึกพอใจ “ถ้าเช่นนั้นนี่ก็เป็นครั้งที่สองที่เสี่ยวอวี๋ช่วยชีวิตเจ้าไว้สินะ”
มิน่าถึงได้แตกต่างกับสหายเกเรพวกนั้น วิธีการพบปะของทั้งคู่ถึงได้แตกต่างไปจากพวกลูกผู้ดีมีเงินโดยสิ้นเชิง
แน่นอนว่าเด็กหนุ่มที่เติบโตมาด้วยตัวเองอย่างเสี่ยวอวี๋ย่อมพึ่งพาได้มากกว่า เด็กหนุ่มแบบนี้ต่อให้สถานะทางครอบครัวจะบกพร่องไปบ้าง แต่ก็ดีกว่าพวกลูกผู้ดีมีเงินที่เอาแต่ก่อเรื่องร้อยเท่าพันเท่า
“เสี่ยวอวี๋ หากวันหน้าว่างๆ เจ้าก็มาเล่นที่จวนบ่อยๆ จะว่าไปแล้วก็อยู่ใกล้กันนิดเดียว” สายตาของเจียงอันเฉิงที่มาไปยังอวี้จิ่นเปี่ยมไปด้วยความเมตตา
อวี้จิ่นปีติยินดียิ่งนัก อาศัยจังหวะนั้นเอ่ยขึ้นว่า “ตราบที่ท่านลุงไม่รังเกียจ หลานก็จะขอไปรบกวนที่จวนนะขอรับ” ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าการช่วยเหลือเจียงจั้นจะเป็นประโยชน์มากมายมหาศาลเช่นนี้ ช่างเป็นความสุขใจที่คาดไม่ถึงจริงๆ
เจียงอันเฉิงหน้าตึงทันที “พูดอะไรเช่นนั้น! เจียงจั้นมีสหายอย่างเจ้า ข้าก็สบายใจ”
ทั้งคู่ลืมเจียงจั้นที่ยืนหัวโด่ไปเสียสนิท หลังจากสนทนากันอย่างยาวนาน เจียงอันเฉิงก็ขอตัวลากลับ
อวี้จิ่นเดินไปส่งเจียงอันเฉิงที่หน้าประตู และเฝ้ามองจนเขาเดินไปไกลลิบ
เจียงจั้นที่ยังอยู่ถอนหายใจออกมา “พี่อวี๋ชี หากเทียบกับข้าแล้ว ดูเหมือนว่าท่านพ่อจะอยากได้พี่เป็นลูกชายเสียมากกว่า”
อวี้จิ่นยิ้มกริ่ม
ลูกเขยก็นับว่าเป็นลูก เขามั่นใจว่าตนเองจะสามารถเป็นลูกที่ดีได้อย่างแน่นอน
เหอะๆ แน่นอนว่าที่สำคัญที่สุดคือ ต้องขอบคุณลูกชายอย่างเจียงจั้นที่ช่วยทำให้เขาเด่นยิ่งขึ้น
อวี้จิ่นคิดอย่างไร้ความปรานี
ทั้งคู่เดินกลับเข้าไปที่ลานกลางเรือน เจียงจั้นรินชาใส่ถ้วยสองใบ
อวี้จิ่นยิ้มพลางเอ่ย “ดื่มสุรามากไป ตอนนี้เปลี่ยนมาดื่มชาแล้วงั้นรึ”
เจียงจั้นถลึงตามองอวี้จิ่นและกล่าวอย่างจริงจังว่า “พี่อวี๋ชี ข้าไม่อยากกลับไปเหลวไหลเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว พี่ช่วยชี้แนะข้าหน่อยเถิด”
“เจ้าวางแผนไว้อย่างไร”
เจียงจั้นเกาหัว เพราะตนเองก็ยังไม่แน่ใจนัก “เรื่องเรียนคงมิใช่ทางของข้าเท่าไหร่ การไปที่นั่นทุกวันเป็นการเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ แต่ถึงกระนั้นก็ยังคิดไม่ตกว่าควรทำอย่างไร พี่อวี๋ชี พี่ก็รู้ว่าข้าเป็นคนเช่นไร หากข้าไปทำมาค้าขายคงได้มีเรื่องวิวาทจนกิจการพังยับเยินเป็นแน่”
“ไฉนน้องเจียงเอ้อร์ไม่ไปทำงานในหน่วยทหารองครักษ์เล่า”
เจียงจั้นดวงตาเป็นประกาย แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นหมองหม่นโดยพลัน “โดยปกติแล้วคนในตระกูลของเหล่าทหารองครักษ์มักจะไม่เห็นด้วยเวลาข้าไปสมัคร การจะเป็นทหารองครักษ์ได้จะต้องใช้เส้นสาย…”
“ถ้าเช่นนั้นไว้ข้าจะช่วยถามให้แล้วกัน”
“พี่อวี๋ชีรู้จักคนในนั้นด้วยหรือ”
อวี้จิ่นยิ้ม “บังเอิญได้รู้จักสหายสองสามคนที่พอจะช่วยได้บ้าง ไว้ข้าไปถามดูก่อนแล้วกัน”
“ขอบคุณพี่อวี๋ชีมาก” อารมณ์ที่หนักอึ้งของเจียงจั้นในตอนแรกเบาลงเล็กน้อย แต่แน่นอนว่าความรู้สึกที่ถูกผู้ชายด้วยกันปู้ยี่ปู้ยำคงยากจะฟื้นฟูให้หายดีในเร็ววัน
บทสนทนาระหว่างเจียงอันเฉิงและอวี้จิ่นทำให้เขากลับไปพร้อมอารมณ์เบิกบาน แต่ทว่ามีอีกคนที่กลับมาพร้อมอารมณ์บูดบึ้ง
นายท่านรองเจียงกลับมาจากจวนเสนาบดีกรมพิธีการพร้อมกับฝุ่นผงเปรอะเปื้อนเต็มหน้า