บทที่ 272 เขาคือกษัตริย์ไม่ใช่นักบุญเสียหน่อย

พลิกชะตาหมอยา

พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 272 เขาคือกษัตริย์ไม่ใช่นักบุญเสียหน่อย

เฟิ่งชิงหัวพูดว่า : “ในตอนแรก ซีหลันเป็นฝ่ายชื่นชอบท่านอ๋องเจ็ดจริง และด้วยเหตุนี้ก็เคยขอเขาแต่งงานต่อหน้าธารกำนัลมาแล้ว ถึงขั้นยอมยินดีเป็นพระสนม ดังนั้นภายหลัง ฝ่าบาทจึงทรงมั่นใจว่าหม่อมฉันไม่อาจตัดใจจากท่านอ๋องเจ็ดได้ และพยายามเข้าใกล้เขาอยู่ตลอดเวลาใช่ไหมเพคะ ?”

“ข้าไม่เคยคิดไปเอง ดูตามความจริงเท่านั้น”

“ช่างบังเอิญจริง ๆ หม่อมฉันเองก็เช่นกัน ดูตามความจริงเท่านั้น สิ่งที่ตาเห็นอาจไม่ใช่เรื่องจริง สิ่งที่ได้ยินก็อาจไม่ใช่เรื่องจริง” เฟิ่งชิงหัวกล่าว

“อ้อ ? เช่นนั้นไหนเจ้าลองบอกมาซิว่า อะไรคือความจริง ?”

เฟิ่งชิงหัวกล่าว : “พระองค์สามารถตรัสถามบรรดาอำมาตย์ได้ว่า ในตอนแรก เป็นองค์หญิงเหออานที่เชิญให้ท่านอ๋องเจ็ดมานั่งร่วมโต๊ะกับหม่อมฉันใช่หรือไม่ หรือว่าซีหลันเป็นฝ่ายที่เข้าไปพูดคุยอย่างไร้ยางอายด้วยตนเอง ?”

บรรดาอำมาตย์ต่างพยักหน้า เหออานเองก็พูดขึ้นเบา ๆ ว่า : “ใช่เพคะ องค์หญิงซีหลันกล่าววา นางไม่สนใจในตัวท่านพี่อีกแล้ว แต่เป็นเหออานเองที่รู้สึกว่า องค์หญิงกำลังสงวนท่าที จึงขอร้องให้ท่านพี่เจ็ดนั่งลงเพคะ”

ฮ่องเต้เซวียนถ่งเหลือบมองเหออานด้วยความเบื่อหน่าย แล้วเอ่ยตำหนิว่า : “เหลวไหลจริง ๆ !”

เหออานหดคอ ไม่กล้าส่งเสียง

เฟิ่งชิงหัวพูดขึ้นอีกว่า : “ส่วนภายหลัง ทำไมซีหลันจึงด่าอ๋องเจ็ดนั้น ก็เป็นเพราะว่าอ๋องเจ็ดทรงต่อว่าซีหลันก่อนเพคะ”

ฮ่องเต้เซวียนถ่งได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกหน้าตึงขึ้นมาทันที ความรู้สึกนี้ ทำไมดูเหมือนว่าลูกชายนิสัยเสียของตนเอง เป็นฝ่ายรังแกผู้อื่นอย่างไรอย่างนั้น และตอนนี้ก็ถูกพ่อแม่ของอีกฝ่ายตามมาถามหาความผิดถึงบ้าน

ไม่มีใครรู้ดีกว่าเขาอีกแล้ว ลูกชายผู้ไม่ชอบเจรจาปราศรัยของตนเองคนนั้น มีความสามารถอยู่อย่างหนึ่งก็คือ เวลาที่ไม่พูดจาก็ทำให้คนอื่นรู้สึกเหงาจับใจ แต่หากพูดขึ้นมา ก็ทำให้คนอื่นโกรธจัดได้

ในตอนแรก สามารถทำให้องค์หญิงผู้สูงศักดิ์อย่างนางยอมลงนามในสัญญาขายตัวได้ ดังนั้นเรื่องการด่าทอผู้หญิงเช่นนี้ นับว่าเป็นความสามารถที่เล็กน้อยมาก

ฮ่องเต้เซวียนถ่งเอ่ยปากพูดขึ้น : “ถ้าเช่นนั้นในภายหลังทำไมเจ้ายังลวนลามเขาอีกล่ะ ?”

“ไม่เลวนี่ ! องค์หญิงซีหลัน ท่านอาศัยโอกาสที่อ๋องเจ็ดไม่อยู่ที่นี่ กลับผิดเป็นชอบเช่นนี้ ท่านไม่รู้สึกละอายใจบ้างหรือ ? พวกเราต่างก็เห็นอย่างชัดเจนว่า น้ำนั่นท่านเป็นคนจงจสาดใส่เขา ต่อให้ท่านอ๋องด่าทอท่าน แล้วทำไมมือทั้งสองข้างของท่านถึงเอาแต่ลูบไล้ไปมาอยู่บนร่างกายของท่านอ๋องล่ะ ?”

“ใช่ หม่อมฉันก็เห็นด้วยตาตนเอง”

“หม่อมฉันเองก็เห็น”

มุมปากของเฟิ่งชิงหัวกระตุก อำมาตย์เหล่านี้แสดงได้เก่งจริง ๆ

เห็นนางลูบไล้จ้านเป่ยเซียวก็ต้องตื่นเต้นขนาดนั้นเลยหรือ ?

เช่นนั้นหากเห็นนางบังคับจูบจ้านเป่ยเซียวละก็ จะไม่เป็นลมล้มพับไปเลยหรือ ?

ทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูมจริง ๆ

ต่อให้จ้านเป่ยเซียวจะเผด็จการเช่นไร แต่เขาก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง พวกท่านเห็นเขาเป็นพวกบำเพ็ญเพียรหรืออย่างไร ?

ไม่แน่ว่าตอนที่นางลูบไล้เขาเมื่อครู่ ในใจของเขาอาจรู้สึกมีความสุขอย่างมากก็ได้

เฟิ่งชิงหัวยืนอยู่ตรงนั้นแล้วเริ่มใจลอย ภาพที่ปรากฏขึ้นในสายตาของทุกคนคือ นางกำลังรู้สึกผิด หมดคำพูดที่จะแก้ต่างแล้ว

ฮ่องเต้เซวียนถ่งรู้สึกโล่งใจ : “องค์หญิงซีหลัน ตอนนี้เจ้าคงไม่มีอะไรจะพูดแล้วสินะ ?”

“ทูลฝ่าบาท ถ้าหากมีคนเหยียบเท้าของพระองค์ ท่านไม่ตอบสนอง ซ้ำยังตอบกลับด้วยรอยยิ้ม เขาจึงตบหน้าพระองค์อย่างแรงอีกครั้ง พระองค์ก็ทรงตักเตือนด้วยความหวังดี หลังจากนั้นเข้าก็เตะพระองค์ให้ล้มลงกับพื้นอย่างแรงอีกครั้ง อีกทั้งยังถ่มน้ำลายใส่พระองค์ด้วย พระองค์จะยังทรงให้อภัยด้วยรอยยิ้มได้อีกหรือไม่เพคะ ?” เฟิ่งชิงหัวถามอย่างจริงจัง ดวงตาทั้งสองข้าง จ้องเขม็งไปที่ฮ่องเต้เซวียนถ่ง

“สามหาว ! นี่ท่านกล้านำฝ่าบาทมาเปรียบเทียบเชียวหรือ !” อำมาตย์ชี้นิ้วไปที่เฟิ่งชิงหัวและพูดขึ้นด้วยความโมโห

เฟิ่งชิงหัวหันหน้า : “ฝ่าบาททรงมีฐานะสูงศักดิ์ หรือว่าองค์หญิงอย่างข้ามีฐานะต้อยต่ำอย่างนั้นหรือ ? เดิมทีหม่อมฉันปฏิบัติต่อเขาด้วยความหวังดี แต่เขากลับไม่เห็นข้า แล้วไฉนเลยซีหลันจะต้องนำศักดิ์ศรีของตนเองไปให้เขาเหยียบย่ำตามอำเภอใจล่ะเพคะ ?”

“ฝ่าบาท พระองค์คือเทพเจ้าผู้ดูแลผืนดินของเทียนหลิง แสวงหาความผาสุกให้ประชาชน แต่หากประชาชนไม่รู้สึกสำนึกในบุญคุณของพระองค์ ในใจของพระองค์ จะกว้างใหญ่เหมือนอย่างเช่นในตอนต้นหรือเพคะ ?”

คำถามนี้ที่ออกมาจากปากของเฟิ่งชิงหัว ทำให้บรรดาอำมาตย์ต่างรู้สึกตกใจจนไม่กล้าพูดอะไร ยิ่งไม่กล้าหันมองสีหน้าของฮ่องเต้ซึ่งอยู่บนที่ประทับเบื้องสูง

ฮ่องเต้เซวียนถ่งถูกเฟิ่งชิงหัวถามขึ้นเช่นนี้จนทำอะไรไม่ถูก มีเสียงเสียงหนึ่งกำลังพูดอยู่ในสมองว่า จะเป็นไปได้อย่างไร เขาคือกษัตริย์ไม่ใช่นักบุญเสียหน่อย

มุมปากของเฟิ่งชิงหัวปรากฏรอยยิ้มจาง ๆ ขึ้นมา แววตาแฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์ที่สื่อความหมายว่ามองความคิดของเขาออก

“หากฝ่าบาทไม่อาจทำได้ แล้วจะบังคับให้ผู้หญิงอย่างซีหลันรู้จักปล่อยวางได้อย่างไรเพคะ ? อย่างไรเสียซีหลันก็เป็นถึงองค์หญิงของประเทศประเทศหนึ่ง ถึงแม้จะไม่ได้มีใบหน้าที่งดงามที่สุด แต่ก็จัดอยู่ในลำดับต้น ๆ การชื่นชอบวีรบุรุษก็ถือเป็นความรักที่ลึกซึ้งระหว่างชายหนุ่มกับหญิงสาว แต่ทว่าอ๋องเจ็ดกลับดูถูกองค์หญิงซีหลันหลายต่อหลายครั้ง หากซีหลันยังคงยึดมั่นความรู้สึกเดิมที่มีให้ต่อเขาได้โดยไม่เสื่อมคลาย ก็คงเป็นเพราะมีจุดประสงค์อื่นอย่างแน่นอน”

“ที่เจ้าพูดมามากมายเช่นนี้ ก็เพื่อที่จะยืนยันว่า เจ้าไม่มีความรู้สึกใด ๆ ต่ออ๋องเจ็ดแล้วอย่างนั้นหรือ ?” ในที่สุดฮ่องเต้เซวียนถ่งก็ดึงความน่าเกรงขามของตนเองกลับมาได้ ดวงตาทั้งสองข้างจ้องมองไปที่นางอย่างดุดัน

เฟิ่งชิงหัวมีแววตาที่แน่วแน่ ไม่มีความเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย นางพยักหน้าแล้วพูดว่า : “ความจริงเป็นเช่นนี้ หากหม่อมฉันรักใครสักคน ย่อมปล่อยให้เขาเหยียบย่ำหัวใจได้ตามอำเภอใจ นั่นคืออำนาจที่หม่อมฉันมอบให้กับเขา แต่ถ้าหากไม่รัก เช่นนั้น…”

“หากเจ้าไม่รักแล้วจะทำไม ?” มีเสียงทุ้มของชายหนุ่มดังขึ้นมาเบา ๆ จากด้านหลังของเฟิ่งชิงหัว

เสียงนี้ ทำให้ทุกคนตกตะลึง และต่างจับจ้องไปยังอ๋องเจ็ดที่เดิมทีเดินออกจากงานเลี้ยงไปด้วยความโกรธ ที่ตอนนี้ยืนอยู่ประตูทางเข้าสวน ด้วยท่าทางที่น่าเกรงขามดั่งพายุที่โหมกระหน่ำ

“เจ้าเจ็ด องค์หญิงซีหลันกล่าวว่านางไม่ได้ตอแยเจ้า เป็นเรื่องจริงหรือไม่ ?” เมื่อฮ่องเต้เซวียนถ่งเห็นเขาเดินเข้ามา ก็รีบเอ่ยถามขึ้น และส่งสายตาให้กับเขา เพื่อเป็นการส่งสัญญาณให้เขาจากที่ไกล ๆ

รีบเข้ามาช่วยกู้สถานการณ์เร็วเข้า ! คนชราอย่างเขาแทบจะหาทางออกให้ตัวเองไม่ได้แล้ว

เดิมทีมั่นใจว่าความหลงใหลขององค์หญิงซีหลันนั้นยังไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงหมกมุ่นอยู่กับลูกชายของตนเอง แต่เมื่อฟังนางร่ายยาวออกมาเช่นนี้ ทำให้เขาแทบรู้สึกว่า ใครหลงรักลูกชายของเขาสมองคงต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน

จ้านเป่ยเซียวกลับไปหันมองสายตาของเขา แต่กลับจ้องมองไปที่เฟิ่งชิงหัวด้วยแววตาอันลึกซึ้ง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า : “ว่ามาสิ หากเจ้าไม่รัก จะทำเช่นไร ?”

จ้านเป่ยเซียวรู้ดีกว่าใคร ถึงแม้เฟิ่งชิงหัวจะปลอมตัวเป็นซีหลัน แต่คำพูดนี้ของนาง ล้วนมาจากมุมมองของตัวนางเองโดยแท้จริง

ทั้งสองสบตากัน มีระยะห่างระหว่างกันสองสามเมตร คนหนึ่งดำคนหนึ่งขาว ให้ความรู้สึกที่ลงตัวเป็นอย่างยิ่ง

ผู้คนที่อยู่รอบข้างราวกับเป็นเพียงภาพลวงตา ในโลกนี้ มีเพียงแค่พวกเขาสองคน

เฟิ่งชิงหัวเป็นฝ่ายหลบสายตาก่อน จากนั้นจึงหันมองไปยังทิวทัศน์ที่งดงามในสวน แล้วเอ่ยชื่นชมขึ้นว่า : “ถ้าหากไม่รัก ก็จะอยู่ห่างเขาให้ไกล เป็นตายก็ไม่พบหน้ากันอีก”

เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ หัวใจของจ้านเป่ยเซียวก็รู้สึกว่างเปล่าทันที และรู้สึกราวกับว่าเฟิ่งชิงหัวที่ยืนอยู่ตรงนั้น กำลังจะแปลงกายเป็นสายลมแล้วหายไปในทันที

จ้านเป่ยเซียวเม้มปากเล็กน้อย หมัดทั้งสองข้างกำไว้แน่นอยู่ภายใต้แขนเสื้อ แล้วจึงถามซ้ำอีกครั้ง : “แล้วถ้ารักล่ะ”

ไม่มีใครคดคิดว่า อ๋องเจ็ดผู้เงียบขรึมและไร้หัวใจมาแต่ไหนแต่ไร จู่ ๆ กลับถามคำถามเช่นนี้ออกมาได้ อีกทั้งฝ่ายตรงข้ามยังเป็นองค์หญิงซีหลันอีกด้วย

รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ แต่ก็ไม่อาจอธิบายได้

หากจะพูดว่าอ๋องเจ็ดชอบพอองค์หญิงซีหลัน ต่อให้ตีพวกเขาจนตาย พวกเขาก็ไม่มีวันเชื่อเด็ดขาด

เฟิ่งชิงหัว : “หากรัก ก็จะฝ่าฟันอุปสรรคไปด้วยกัน เป็นตายไม่มีวันแยกจาก”

ร่างกายที่แข็งทื่อของจ้านเป่ยเซียวค่อย ๆ ผ่อนคลายลงเล็กน้อย และไม่พูดอะไรต่ออีก จากนั้นจึงค่อย ๆ เดินเข้าไปในตำหนักใหญ่ ชายของชุดคลุมยาวดำกวัดแกว่งไปมา ไหมสีทองพลิ้วไหวราวกับกำลังเต้นรำอยู่

ทุกคนต่างรู้สึกซาบซึ้งใจกับคำพูดที่เป็นเหมือนคำมั่นสัญญาขององค์หญิงซีหลัน และมีประโยคนี้ดังก้องอยู่ภายในหัวตลอดเวลา : “จะฝ่าฟันอุปสรรคไปด้วยกัน เป็นตายไม่มีวันแยกจาก”

คนที่เดิมทีคิดว่านางเป็นคนไร้ยางอาย ล้วนเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อนาง

บางที นี่อาจเป็นเพียงความรู้สึกภายในใจของผู้หญิงที่มีจิตใจเร่าร้อน ร้อนแรงจนไม่กล้าจ้องมองโดยตรง และไม่กล้าที่จะพูดให้ร้าย