ตอนที่ 290 ความจริงใจ

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 290 ความจริงใจ

เถาฮองเฮาถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก นางยอมรับอย่างตรงไปตรงมา “เมื่อกี้ข้าตกใจเพราะฝ่าบาทแทบแย่!”

ฮ่องเต้หย่งไท่เผยสีหน้าได้ใจจากการกลั่นแกล้ง

“ที่แท้ฮองเฮาก็มีความกลัว”

เถาฮองเฮากัดฟัน นางตักเตือนตัวเองภายในใจ อย่าถือสาฮ่องเต้ ไม่คุ้มค่า

นางยิ้มขมขื่น “ข้าไม่ใช่กำแพงเหล็กย่อมมีความกลัว ฝ่าบาททรงอย่าล้อเล่นเช่นนี้อีกได้หรือไม่เพคะ”

ฮ่องเต้หย่งไท่หัวเราะเยาะตนเอง “ข้าเหลือเวลาไม่มาแล้ว ไม่มีเวลาล้อเล่นกับเจ้าแบบนี้มากมายแล้ว ดังนั้นเจ้าวางใจได้ เป็นฮองเฮาของเจ้าอย่างสบายใจ เจ้าเป็นภรรยาของข้า หลายปีนี้สิ่งที่เจ้าทำข้าเห็นกับตา จดจำไว้ในใจ ชีวิตของข้าล้วนมีแต่การหักหลัง มีเพียงกับเจ้าที่ข้าจะไม่มีวันหักหลัง”

เถาฮองเฮาไม่กล้าเชื่อ

นางปิดปากส่งเสียงสะอื้น ขอบตาเปียกชื่น

เวลานี้ นางรู้สึกซาบซึ้งยิ่งนัก

นางพูดด้วยน้ำเสียงสะอื้น “ฝ่าบาททรงพูดคำไหนคำนั้นหรือไม่เพคะ”

ฮ่องเต้หย่งไท่ลูบไล้ใบหน้าของนางอย่างแผ่วเบา “ข้ารู้ ข้าไม่คู่ควรให้ผู้ใดเชื่อใจ แต่คราวนี้เจ้าสามารถลองเชื่อใจข้า ข้าอยู่มาครึ่งชีวิตอย่างโดดเดี่ยว มีฮองเฮาอยู่เคียงข้างข้า ข้าดีใจอย่างมาก!”

เถาฮองเฮากระโจนเข้าอ้อมกอดของฮ่องเต้หย่งไท่ “เป็นสามีภรรยากับฝ่าบาทในชาติหนึ่งได้ เป็นวาสนาของข้า”

ฮ่องเต้หย่งไท่โอบนางอย่างแผ่วเบา “ไม่แค้นที่ข้ากดขี่ตระกูลเถาหรือ”

เถาฮองเฮาส่ายหน้าระรัว “ไม่แค้นเพคะ ไม่แค้นแม้แต่น้อย ฝ่าบาททรงเป็นโอรสสวรรค์ พระองค์ย่อมมีแนวทางปฏิบัติของพระองค์”

ฮ่องเต้หย่งไท่หัวเราะ ลูบหลังของนางเบาๆ “เจ้าปฏิบัติกับข้าด้วยความจริงใจ ข้าย่อมจะตอบแทนเจ้าด้วยความจริงใจ”

เถาฮองเฮางุนงงเล็กน้อย นางเงยหน้าขึ้นพร้อมกับน้ำตา

นางอยากถามมาก ฝ่าบาท ในพระทัยของพระองค์ยังมีความจริงใจอยู่หรือ พระองค์ยังจำคำสาบานตอนที่พวกเราได้กล่าวเอาไว้เมื่อตอนเด็กได้หรือไม่

ไม่คิดว่าฮ่องเต้หย่งไท่จะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างกะทันหัน “ระยะนี้ข้ามักจะระลึกถึงตอนเด็ก ตอนนั้นจู้หยางยังไม่ออกเรือน เมืองหลวงยังคงมีแต่ความสงบสุข ทันใดนั้นวันหนึ่ง แผ่นฟ้าเหนือเมืองหลวงเปรอะเปื้อนสีเลือด คนที่คุ้นเคยต่างจากไปทีละคน”

“ฝ่าบาทอย่าทรงพูดอีกเลย!”

เถาฮองเฮาสัมผัสได้ถึงความอันตราย

เรื่องที่จะพูดต่อมาเกรงว่าจะเกี่ยวกับความลับที่ไม่ควรเอ่ยถึงอีก

นางไม่อยากฟัง นางไม่มีความอยากรู้มากมายต่อเรื่องในอดีตของราชวงศ์

ฮ่องเต้หย่งไท่ราวกับมองไม่เห็นการขัดขืนของนาง เขายืนกรานที่จะพูดต่อไป “เวลานั้นข้ายังเป็นเด็ก ไม่เคยเข้าร่วมราชสำนัก แผ่นดินเปลี่ยนสี ข้าหวาดกลัวยิ่งนัก เกรงว่าวันหนึ่งองครักษ์จินอู่จะบุกเข้าจวนอ๋องมาจับคน เกรงว่าคนในครอบครัวจะหายไปจากข้างกายทีละคน จนกระทั่งตำหนักบูรพาล่มสลาย องครักษ์จินอู่ก็ไม่ได้บุกเข้าจวนอ๋อง ข้าถึงได้เข้าใจว่า ข้าปลอดภัย ตำหนักบูรพาล่มสลาย แต่จวนอ๋องกลับผงาดขึ้น

เป็นไปตามคาด ต่อมาฮ่องเต้จงจ้งทรงแต่งตั้งเสด็จพ่อเป็นองค์รัชทายาท ไม่นานนัก ตระกูลของพวกข้าก็ย้ายจากจวนอ๋องเข้ามาในวังหลวง จนกระทั่งเวลานั้น ข้าถึงได้มั่นใจว่าการล่มสลายของตำหนักวังบูรพามีความเกี่ยวข้องอย่างตัดไม่ขาดกับเสด็จพ่อ

ก่อนเสด็จพ่อสวรรคต ข้าเคยคุกเข่าอยู่ต่อหน้าเขา ถามเขา การตายของ ‘องค์รัชทายาทจางอี้’ เป็นฝีมือของเขาหรือไม่ เจ้ารู้ว่าเสด็จพ่อตอบอย่างไรหรือไม่ เขาบอกข้าด้วยรอยยิ้ม การล่มสลายของตำหนักบูรพาเป็นเรื่องที่สำเร็จที่สุดในชีวิตของเขา มันคือจุดสูงสุดของชีวิตเสด็จพ่อ การล่มสลายของตำหนักบูรพาเป็นความยิ่งใหญ่เพียงใด ตำราประวัติศาสตร์จะจดจำปีนั้นไปตลอดกาล ชื่อของเสด็จพ่อก็จะถูกคนรุ่นหลังพูดถึงตลอดไป

เสด็จพ่อไม่ได้ทรงถูกผู้คนยกยอเพราะเป็นฮ่องเต้ ระยะเวลาที่พระองค์ทรงครองราชย์บัลลังก์นั้น ความจริงแล้วไม่มีเรื่องใดคุณค่าแก่การชื่นชม มิหนำซ้ำยังถูกคนรุ่นหลังจดจำว่าเขาถูกแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาทเพราะการล่มสลายของตำหนักวังบูรพา

ต่อมาข้าคิดเสมอว่าข้าควรทำเรื่องที่เป็นผลดีต่อบ้านเมือง หรือทำเรื่องที่สั่นคลอนบ้านเมืองให้มากตอนยังมีชีวิตอยู่ ทำเรื่องที่เป็นผลดีต่อบ้านเมืองอาจไม่ถูกคนจดจำ แต่ทำเรื่องที่สั่นคลอนบ้านเมืองย่อมจะทิ้งร่องรอยไว้บนตำราประวัติศาสตร์อย่างแน่นอน ข้าต้องการทั้งสองอย่าง! ข้าไม่เพียงจทำเรื่องที่สั่นคลอนบ้านเมือง ข้ายังจะทำเรื่องที่เป็นผลดีต่อบ้านเมือง! เฮอะๆ …”

ฮ่องเต้แสดงสีหน้าเย้ยหยัน เขากำลังหัวเราะเยาะตนเอง

เขามองเถาฮองเฮาพลันพูดต่อ “เจ้าก็เห็นสถานการณ์ในวันนี้แล้ว ข้าทำเรื่องที่สั่นคลอนบ้านเมืองจริง ๆ ข้าย่อมจะถูกคนรุ่นหลังจดจำ หลายร้อยพันปีต่อไปล้วนจะมีคนพูดถึงสิ่งที่ข้าทำ แต่หากจะบอกว่าทำเรื่องดีให้บ้านเมือง ข้าไม่คู่ควร! ข้าคิดว่าข้าคู่ควร คิดว่าตนเองเป็นกษัตริย์ที่ดี แต่ดูจากวันนี้ ข้าไม่คู่ควรแม้แต่น้อย

ข้าเคยหัวเราะเยาะเสด็จพ่อ บอกว่าเค้าเป็นฮ่องเต้ที่ไม่มีสิ่งใดดี คนรุ่นหลังอาจไม่รู้ว่ามีฮ่องเต้อย่างเขาก็เป็นได้ แต่เขาทำให้ราษฎรต้าเว้ยมีข้าวกิน มีชุดสวม ไม่ต้องอกสั่นขวัญแขวน ไม่ต้องร่อนเร่พเนจร เป็นฮ่องเต้ที่เหมาะสม ส่วนข้าที่ถึงแม้จะทำการใหญ่ได้ แต่ข้าทำให้ราษฎรต้องร่อนเร่พเนจร ไม่มีข้าวกิน กลายเป็นหมูแพะให้คนเชือดเฉือนได้ตามใจ อีกทั้งยังทำให้ตระกูลขุนนางฉวยโอกาสเป็นใหญ่ คุกคามอำนาจราชวงศ์”

“ฝ่าบาทอย่าทรงพูดอีกเลยเพคะ!”

มันเป็นการยอมรับความผิดของตนเอง!

เถาฮองเฮาอกสั่นขวัญแขวน น้ำตาไหลนองเต็มหน้า นางอ้อนวอน “ฝ่าบาทอย่าทรงพูดอีกเลยเพคะ!”

หากยังพูดต่อไปจะกลายเป็นความผิดของฮ่องเต้ทั้งหมด

ยากเหลือเกิน!

แผ่นดินกลายเป็นเช่นนี้เป็นความผิดของฮ่องเต้เพียงผู้เดียวจริงหรือ

ไม่!

ทุกคนต่างมีความผิด!

ตระกูลขุนนาง แม่ทัพ เหล่าท่านอ๋อง…ไม่มีผู้ใดบริสุทธิ์

“เหตุใดเจ้าจึงร้องไห้”

ฮ่องเต้หย่งไท่มองนางด้วยรอยยิ้ม

เถาฮองเฮาร้องไห้อย่างควบคุมไม่อยู่ ใบหน้าของนางเปรอะเปื้อน เผยให้เห็นใบหน้าที่ไม่อ่อนเยาว์เหมือนก่อน แต่นางก็ไม่สนใจ

นางปิดหน้าร้องไห้

นางไม่รู้ว่าเหตุใดนางจึงร้องไห้ แต่นางควบคุมตนเองไม่ได้ น้ำตาไหลลงมาราวกับหยาดฝน

ฮ่องเต้หย่งไท่ยื่นมือออกมาเช็ดน้ำตาให้นาง “อย่าร้องเลย! ร้องจนหน้าเปื้อนไปหมดแล้ว ไม่งามแล้ว”

เถาฮองเฮายังคงร้องไห้ “ฝ่าบาททรงชราแล้ว หม่อมฉันก็ชราแล้ว ไม่งามก็ไม่งามเถิด ข้าไม่สนใจ!”

เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดสองแก้มของเถาฮองเฮาอย่างอ่อนโยน

เมื่อเช็ดน้ำตา เช็ดคราบแป้งหมดไป เผยให้เห็นอายุ ความชรา และรอยย่น…

ฮองเฮาที่มีอายุอย่างแท้จริงองค์หนึ่ง…

แต่ฮ่องเต้หย่งไท่กลับเผยยิ้มกว้าง มันเป็นรอยยิ้มที่ลึกลงไปถึงดวงตา

เขาฉีกยิ้มดีใจราวกับเด็ก “เจ้างดงามเสียจริง!”

เถาฮองเฮาใบหน้าแดงก่ำอย่างหาได้ยาก “ข้าแก่แล้ว ไม่งามแล้ว!”

“ข้าบอกว่าเจ้างดงาม เจ้าก็คือคนที่งดงามที่สุดบนโลกนี้”

เถาฮองเฮาก้มหน้า ส่ายหน้าระรัว

นางอยากหลบซ่อนตัว นางอยากคลุมตัวเองเอาไว้

ความจริงมักโหดร้าย ใบหน้าที่แท้จริงก็โหดร้ายเช่นเดียวกัน

เพราะนางมั่นใจว่าตนเองแก่แล้ว ไม่ว่าจะแต่งตัวอย่างไรก็ไม่อาจเทียบความสดใหม่ของหญิงสาวอายุน้อยได้

ฮ่องเต้หย่งไท่กลับยกหน้าของนางขึ้น แม้จะเป็นการบังคับ แต่ท่าทางของเขากลับอ่อนโยนอย่างมาก

“เจ้าแก่แล้วก็เป็นฮองเฮาของข้า ข้าไม่รังเกียจเจ้า เจ้ากลัวอันใด”

“ข้ากลัวความอัปลักษณ์!” เถาฮองเฮาพูดด้วยความน้อยใจ

ฮ่องเต้หย่งไท่หัวเราะร่า “อายุมากเพียงนี้แล้วยังกลัวอัปลักษณ์ เจ้าน่ะ ให้ความสำคัญกับภายนอกเกินไป ให้ความสำคัญกับศักดิศรีเกินไป”

เถาฮองเฮาไม่ยอม ตอบโต้กลับไป “ข้าไม่ได้ให้ความสำคัญกับศักดิศรีเท่าฝ่าบาท”

ไม่คิดว่าฮ่องเต้หย่งไท่จะพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของนาง

“เจ้าพูดถูก ข้าให้ความสำคัญกับศักดิศรีมาก ให้ความสำคัญกับศักดิศรีมากกว่าผู้ใด ดังนั้นข้าจึงพ่ายแพ้อย่างราบคาบ”

“ฝ่าบาทไม่ได้แพ้! ฝ่าบาทยังทรงมีโอกาสกอบกู้”

เถาฮองเฮาร้อนใจอย่างมาก

เวลานี้ นางไม่ได้คิดถึงตัวเอง ไม่ได้คิดถึงเจ้าสาม ไม่ได้คิดถึงความร่ำรวยมั่งคั่ง ภายในใจและดวงตาของนางมีเพียงฮ่องเต้

นางจริงใจ ไร้ซึ่งความเสแสร้งแต่อย่างใด

ฮ่องเต้หย่งไท่หัวเราะออกมา หัวเราะด้วยความพึงพอใจอย่างมาก “ราวกับย้อนเวลากลับไปยังวัยเยาว์อีกครั้ง ทั้งดวงตาและดวงใจของเจ้ามีแต่ข้า เวลานั้นช่างดีเสียเหลือเกิน!”

เถาฮองเฮากุมมือของเขาแน่น “เวลานี้ทั้งดวงตาและดวงใจของข้าก็มีแต่ฝ่าบาท”

“ไม่เหมือนเดิมแล้ว!”

กลับไปสมัยนั้นไม่ได้อีกแล้ว

“หากข้ายังมีเวลามากพอ วันนี้ข้าจะไม่พูดเรื่องนี้กับเจ้า เสียดาย เวลาของข้าไม่พอแล้ว! ฮองเฮา เจ้าแค้นข้าหรือไม่”

เถาฮองเฮาส่ายหน้าระรัว “ไม่แค้น! บางทีข้าอาจเคยแค้นพระองค์ในเสี้ยวเวลาหนึ่ง แต่สุดท้ายข้าก็ยังเลือกที่จะให้อภัย ต่อหน้าฝ่าบาท ข้ามักจะหมดหนทาง”

ฮ่องเต้หย่งไท่หัวเราะอย่างพอใจ “ตอนที่ข้าหมดสติ ข้าฝันเห็นเสด็จพ่อ ฝันเห็น ‘องค์รัชทายาทจางอี้’ นอกจากนี้ยังฝันเห็นฮ่องเต้จงจ้ง เรื่องส่วนใหญ่ที่ข้าคิดว่าลืมไปแล้ว ไม่คิดว่าจะจำได้อีกเมื่ออยู่ในความฝัน เฮ้อ…ข้าเป็นโอรสสวรรค์ที่ล้มเหลว เป็นคนบาปของแผ่นดินต้าเว้ย ไม่รู้หลังจากตายไป ข้าจะกล้าไปพบบรรพบุรุษหรือไม่”

“ฝ่าบาททรงมีพระชนมายุยิ่งยืนนาน พระองค์จะทรงไม่เป็นอันใด!”

เมื่อเห็นเถาฮองเฮาที่ดูเป็นกังวล ฮ่องเต้หย่งไท่จึงหัวเราะออกมา พลันพูดขึ้น “เจ้าวางใจ ข้ายังไม่ตายในเวลานี้ แต่เรื่องที่ข้าอยากพูด เรื่องที่ข้าซ่อนไว้ในใจไม่เคยพูดล้วนได้พูดออกมาแล้ว ข้ากลัวว่าหากไม่พูดในเวลานี้ หลังจากนี้จะสายไป

“พระองค์ทรงพูด! ข้ากำลังฟัง!”

เถาฮองเฮาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

ฮ่องเต้หย่งไท่ลูบไล้สองแก้มของนาง “ไม่มีแป้งบนหน้า ฮองเฮาดูสมจริงขึ้นมาก กดขี่ตระกูลเถา ข้าไม่เสียใจ ตระกูลเถาเป็นญาติฝ่าบนอก อำนาจขยับขยาย ถึงแม้ไม่มีเรื่องของเหล่าท่านอ๋อง ข้าก็จะกดขี่ตระกูลเถา ญาติฝ่ายนอกทั้งหมดล้วนต้องถูกกดขี่! ภัยจากญาติฝ่ายนอกไม่อาจเกิดขึ้นในมือของข้า”

เถาฮองเฮาพยักหน้าอย่างหนัก “ข้าล้วนเข้าใจ! ฝ่าบาทอย่าได้ทรงเอ่ยถึงเรื่องนี้อีกเลย”

นางรู้สึกเสียใจอย่างมาก

แม้นางจะเข้าใจ แต่อย่างไรนางก็ยังเสียใจ

พี่สองของนาง ท่านพ่อของนางต่างต้องจ่ายด้วยชีวิต

ราคาสูงเกินไป!

ฮ่องเต้หย่งไท่พูดต่อ “เจ้าสามดีมาก เวลาที่เหลือ ข้าคิดจะให้เขาติดตามอยู่ข้างกาย สั่งสอนเขาด้วยตนเอง เจ้าสอนเจ้าสามได้อย่างดี มีน้ำใจและคุณธรรม มีแผนการ ทำงานอย่างรอบคอบ เขาไม่หัวรุนแรง ข้อนี้ดีกว่าข้า เจ้าจ้องจับตาเขาแทนข้า อย่าให้เขาทำผิดในสิ่งที่ข้าเคยทำ ไม่ว่าลงมือทำเรื่องใดอย่าได้ใช้ความรุนแรง…”

“ฝ่าบาท ทรงโปรดอย่าพูดอีกเลย! ยังไม่ถึงเวลานั้น อย่าทรงพูดต่อไปเลย”

เถาฮองเฮาร้องขออีกครั้ง

ฮ่องเต้หย่งไท่กลับพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่พูดเวลานี้ ข้ากลัวต่อไปจะไม่มีเวลาพูด เจ้าฟังเอาไว้เถิด ถือว่าข้าพร่ำบ่นอยู่ข้างหูเจ้าเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว เจ้าเป็นฮองเฮา อยู่เคียงข้างข้ามาหลายปี เจ้าต้องยอมรับนิสัยเสียของข้า ยอมรับความขี้บ่นของข้า”

เถาฮองเฮาร้องไห้พลันพยักหน้า!