บทที่ 242 ทะเลาะกันครั้งแรก

ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ

หลานเสี่ยวถางได้ยินคำพูดของสือมูเฉิน เธอเงยหน้าอย่างตกตะลึง

เขามองดูเธอ แล้วพูดซ้ำ “ในเมื่อไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ที่แน่ชัด ถ้างั้นพวกเราก็เก็บเขาไว้”

หลานเสี่ยวถางดูเหมือนจะรู้สึกว่าชีวิตเล็ก ๆ ในท้องน้อยกำลังเคลื่อนไหวอยู่ เธอกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่อีกแล้ว

สือมูเฉินโอบเธอไว้ในอ้อมกอด ช่วยเธอเช็ดน้ำตาไปด้วย พูดไปด้วย “เสี่ยวถาง ผมเชื่อในวิทยาศาสตร์ คุณไม่ต้องทำงานแล้ว พวกเราดูแลรักษาร่างกายอยู่ที่บ้าน ตรวจร่างกายเป็นประจำ ถ้าหาก ผมแค่พูดว่าถ้าหาก ถึงตอนสุดท้าย พบความผิดปกติของทารกในครรภ์ พวกเราค่อย…”

หลานเสี่ยวถางเข้าใจความหมายของเขา เธอพยักหน้า “ค่ะ ขอบคุณนะคะมูเฉิน!”

สือมูเฉินกระชับแขนของเขา “เป็นผมที่ควรจะขอโทษคุณ หลังจากช่วงที่แม่ผมกลับมา เป็นเพราะเธอเกลียดผม จึงทำร้ายคุณไม่หยุด ตอนนี้แม้กระทั่งลูกของพวกเราก็ถูกทำร้ายด้วย ทำให้คุณเสียใจขนาดนี้ เรื่องพวกนี้เกิดจากผมทั้งหมด”

หลานเสี่ยวถางส่ายหน้า เธอน้ำตาคลอเบ้ามองดูสือมูเฉิน “มูเฉิน นี่ไม่ได้เกี่ยวกับคุณ ทั้งหมดเป็นเพราะความบิดเบือนทางจิตใจของเธอในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา คุณก็เป็นผู้เคราะห์ร้าย อีกอย่างเธอทำแบบนั้น คุณต้องเจ็บปวดมากกว่าฉันแน่ ดังนั้นอย่าโทษตัวเอง ต่อไป พวกเราใช้ชีวิตอย่างดีก็พอแล้ว!”

“ครับ” สือมูเฉินตอบอย่างหนักแน่น “ผมจะรักคุณและลูกตลอดไป!”

เวลานี้ที่ตระกูลซู หลังจากซูสือจิ่นนอนหลับกลางวัน ก็รู้สึกดีขึ้นเยอะ

เธอเดินออกมาจากห้องนอน เห็นหยานชิงเจ๋อจัดการธุระอยู่ในห้องหนังสือ ก็อดยิ้มไม่ได้

หยานชิงเจ๋อเงยหน้าขึ้น ก็เห็นเธอ เขายิ้มเล็กน้อย “เสี่ยวจิ่น ตื่นแล้วเหรอ? ดีขึ้นแล้วยัง?”

ซูสือจิ่นพยักหน้า “อืม ดีขึ้นเยอะแล้ว”

หยางชิงเจ๋อพูด “อ่อใช่ ตอนบ่ายโมงกว่า ลั่วฝานหวามาที่นี่ เห็นว่าเธอกำลังนอนกลางวันอยู่ จึงบอกว่าจะรอเธออยู่ที่ห้องรับแขก”

ซูสือจิ่นเห็นว่าเขาพูดเรื่องนี้กับเธออย่างเฉยเมย ก็รู้สึกหดหู่นิดหน่อยในทันที “เขามาหาฉันทำไม?”

หยานชิงเจ๋อวางเอกสารในมือลง แล้วลุกขึ้นยืน “เมื่อวานเขาส่งข้อความหาเธอ เธอไม่ตอบ วันนี้น่าจะมาขอโทษด้วยตัวเอง เธอจะออกไปพบเขาไหม?”

ซูสือจิ่นอดถามไม่ได้ “พี่ชิงเจ๋อ งั้นพี่คิดว่าฉันควรจะไปพบเขาไหม?”

หยานชิงเจ๋อพยักหน้า “อืม ในเมื่อเรื่องนี้เป็นเหตุสุดวิสัยจริง ๆ เขาขอโทษจากใจจริง เธอออกไปรับมือก็ถือว่าเป็นมารยาท”

“ตกลง งั้นฉันไป” ซูสือจิ่นสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ จัดแจงเสื้อผ้า แล้วเดินไปที่ห้องโถงใหญ่

ด้านนอก ลั่วฝานหวากำลังเล่นหมากรุกกับซูเผิงฮวา เมื่อเห็นว่าซูสือจิ่นออกมา ดวงตาของเขาเป็นประกาย แต่เป็นเพราะซูเผิงฮวาอยู่ตรงนี้ ดังนั้นจึงทำได้แค่ยืนขึ้นอย่างเป็นมารยาท แล้วพูด “สือจิ่น คุณตื่นแล้วเหรอ?”

ซูสือจิ่นพยักหน้า แล้วเดินเข้ามา

ซูเผิงฮวารู้ว่าลูกสาวตัวเองทนต่อการถูกรังแกไม่ได้ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เรื่องเมื่อวาน ตอนนั้นเขาโมโหมาก แต่หลังจากเกิดเรื่อง เขายังคงต้องดูแลสถานการณ์โดยรวม ดังนั้นเกรงว่าซูสือจิ่นจะไม่ไว้หน้า จึงรีบพูดเพื่อให้เรื่องจบลงด้วยดี “สือจิ่น ฝานหวารอลูกสองชั่วโมงแล้ว พวกเธอวัยรุ่นคุยกันเถอะ!”

ขณะที่พูด เขาก็ลุกขึ้นยืน เห็นหยางชิงเจ๋อเดินมา จึงโอบบ่าหยางชิงเจ๋อแล้วพูด “ชิงเจ๋อ ธุรกิจของฉันมีจุดที่อยากจะขอคำแนะนำจากนายพอดี…” พูดจบก็พาหยางชิงเจ๋อไปที่ห้องหนังสือที่อยู่ด้านหลัง

ในห้องรับแขก ซูสือจิ่นยิ้มให้ลั่วฝานหวา “ฉันไม่เป็นไรแล้วค่ะ ขอบคุณที่คุณเป็นห่วงนะคะ”

สายตาของลั่วฝานหวามองไปที่ลำคอของซูสือจิ่น จึงหยิบขวดเล็ก ๆ ในมือออกมา “ซื่อจิ่น อันนี้มีประสิทธิภาพมากสำหรับการลดรอยจาง ถึงแม้รอยนั่นบนคอของคุณเมื่อเวลาผ่านไปนานก็หายไปอย่างแน่นอน แต่ว่าทำให้หายไปเร็ว ๆ ก็จะดีกว่า”

เด็กผู้หญิงรักสวยรักงามกันทั้งนั้น โดยเฉพาะมีรอยบนคอก็จะทำให้ขัดสง่าราศี ซูสือจิ่นจึงไม่ได้ปฏิเสธ เธอรับยามาแล้วพูด “ขอบคุณค่ะ!”

“ซื่อจิ่น คุณยังโทษผมไหม?” ลั่วฝานหวามองหน้าซูสือจิ่น เพิ่งผ่านไปแค่วันเดียว เขารู้สึกเหมือนเธอผอมกว่าเดิม เดิมทีใบหน้าเล็กเท่าฝ่ามือ ตอนนี้ยิ่งดูน่าสงสารกว่าเดิม

“ไม่แล้วค่ะ” ซูสือจิ่นส่ายหน้า “อันที่จริง เมื่อวานควรจะขอบคุณคุณ ถ้าหากไม่ใช่คุณตามมาทัน ฉัน…”

เวลานี้ หยางชิงเจ๋อที่เดิมทีเดินไปถึงห้องหนังสือแล้ว แต่เป็นเพราะรับสายโทรศัพท์ จึงเดินออกมาที่ทางเดิน แต่กลับได้ยินประโยคนี้ของซูสือจิ่นโดยบังเอิญ

เขาอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ในใจเกิดความรู้สึกผิดขึ้นมาอย่างมาก

ใช่ เขาเคยพูดว่าจะปกป้องเธอ แต่ว่าเมื่อวานกลับไม่ได้ตามไปได้ทันเวลา ถ้าหากลั่วฝานหวาไม่ได้สังเกตได้ถึงความไม่ปกติ เช่นนั้น…

หยางชิงเจ๋อตัวสั่น ความรู้สึกกลัว ไม่กล้าที่จะคิดต่อไป

ดังนั้นปลายสาย เจียงซีหยู่หลังจากได้ยินเขาพูดฮัลโหล ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เธอหงุดหงิดในทันที จากนั้นก็เอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง “ชิงเจ๋อ?”

หยางชิงเจ๋อยังคงเฝ้าดูสถานการณ์ในห้องรับแขก สมองไม่ทำงาน แล้วตอบรับแบบลวก ๆ “เสี่ยวจิ่น?”

ได้ยินตัวเองโทรหาเขา แต่หลังจากที่ตัวเองพูดกับเขาเยอะแยะมากมาย เขากลับเรียกชื่อของซูสือจิ่น เจียงซีหยู่รู้สึกเหมือนมีมีดนับไม่ถ้วนทิ่มแทงหัวใจ แม้แต่ศักดิ์ศรีก็ยังถูกเหยียบย่ำอย่างแรง!

ในที่สุดเธอควบคุมอารมณ์ไว้ไม่ได้แล้ว เธอมองดูกระเป๋าเดินทางที่อยู่ตรงหน้า จึงพูดอย่างโมโห “ชิงเจ๋อ คุณรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร?!”

เสียในลำโพงดังขึ้นทันที หยางชิงเจ๋อตอบสนอง เขารีบพูดขึ้น “ซีหยู่ ทำไมเหรอ?”

“ทำไมเหรอ?” เจียงซีหยู่ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ เสียงของเธอสั่นแล้วจี้ถาม ดูก้าวร้าวนิดหน่อย “วันนี้ฉันออกแสดงที่ต่างประเทศ หนึ่งอาทิตย์ถึงจะกลับไป คุณพูดไว้แล้วว่าจะไปส่งฉัน แต่ก็ไม่ไป ไม่เป็นไร แต่ว่าฉันโทรหาคุณเพื่อรายงานว่าฉันปลอดภัยหลังจากที่ฉันมาถึง ฉันพูดเยอะแยะมากมายขนาดนั้น คุณกลับเรียกฉันว่าเสี่ยวจิ่น? คุณเห็นฉันเป็นอะไรกันแน่? แล้วเห็นเธอเป็นอะไร?!”

หยางชิงเจ๋อได้ยินน้ำเสียงของเจียงซีหยู่ที่แตกต่างจากปกติ จึงขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้

แต่ว่าเขามีความผิดก่อน จึงพูดอย่างเรียบเฉย “ซีหยู่ ขอโทษ เมื่อครู่มีธุระนิดหน่อย ดังนั้นผมจึงได้ยินไม่ชัด”

“ธุระ?” เจียงซีหยู่ร้องไห้ไปด้วยยิ้มไปด้วย “เรื่องของซูสือจิ่นก็คือธุระใช่ไหม? เรื่องของฉันไม่ใช่ธุระ? เพียงแค่เรื่องเกี่ยวกับเธอ คุณก็สูญเสียจิตวิญญาณของคุณ เมื่อวานฉันเรียกคุณ คุณไม่สนใจฉัน วันนี้ฉันโทรหาคุณคุณก็เหม่อลอย! ถ้าคุณชอบเธอขนาดนั้น งั้นคุณก็คบกับเธอดีแล้ว ทำไมตอนแรกถึงเป็นฝ่ายเข้าหาฉัน?!”

หยางชิงเจ๋อได้ยินประโยคหลัง เขาขมวดคิ้วแน่น ข่มเสียงต่ำ “ซีหยู่ ตอนนี้คุณอารมณ์ไม่ดี รอให้คุณกลับมาผมค่อยอธิบายให้คุณฟัง”

“คุณอธิบายให้ฉันฟังตอนนี้!” เจียงซีหยู่พูดอย่างบ้าคลั่ง “คุณพูดมา ว่าในใจของคุณ เธอสำคัญที่สุดใช่ไหม?”

หยางชิงเจ๋อรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย แต่ก็ยังพูดอย่างใจเย็น “ซีหยู่ เสี่ยวจิ่นก็เหมือนกับน้องสาวแท้ ๆ ของผม เมื่อวานเธอเกือบจะตาย ผมจะไม่สนใจเธอได้ยังไง? ดังนั้น อย่าพูดคำทำนองที่ว่าใครสำคัญกว่าใครอีก คุณคือแฟนของผม เธอคือน้องสาวของผม สำคัญเหมือนกันทั้งหมด!”

“หึหึ สำคัญเหมือนกันเหรอ?” เจียงซีหยู่พูด “ฉันได้ยินมาว่าแต่ไหนแต่ไรคุณไม่ให้เธอดื่มเหล้าสักนิด แต่สำหรับฉัน แต่ไหนแต่ไรคุณไม่ค่อยจะปกป้องฉัน เมื่อวานเกิดเรื่องกับเธอ แต่ว่าคุณเป็นแค่เพื่อนของเธอ ข้างกายเธอยังมีคนในครอบครัวคนอื่น ทำไมถึงต้องเป็นคุณ?! คุณรู้ไหม ฉันต่างหากที่เป็นแฟนคุณ คนที่คุณควรดูแลควรจะเป็นฉัน!”

หยางชิงเจ๋อนวดขมับอย่างปวดหัว เขาไม่ชอบการต่อล้อต่อเถียง อีกอย่างคบเจียงซีหยู่นานขนาดนั้น ถึงแม้จะอึดอัดแต่ก็ไม่เคยทะเลาะกันเลย

ประการแรกเป็นเพราะนิสัยของเธอดีและใจกว้างมาตลอด ประการที่สองตราบใดที่ไม่ใช่เรื่องหลักการอะไร โดยปกติเขาจะยอมเธอ

แต่ตอนนี้…

เขาสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วพูดอธิบาย “ซีหยู่ คุณพักผ่อนไม่เพียงพอจึงอารมณ์ไม่ค่อยดีใช่ไหม? เสี่ยวจิ่นเกิดเรื่องแบบนั้น พวกเราเป็นกังวลมาก แล้วตั้งแต่เด็กเธอค่อนข้างพึ่งพาผม ดังนั้นผมจึงอยู่ดูแลเธอ แล้วเมื่อวานเสี่ยวจิ่นตกใจมากจริง ๆ ตอนหลังก็เป็นไข้ ผมจึงไม่ได้ไปส่งคุณที่สนามบิน อีกอย่างคุณไปทำงานนอกสถานที่แค่อาทิตย์เดียวก็กลับมาแล้ว ถึงเวลาผมจะดูแลคุณอย่างดี”

เจียงซีหยู่ได้ยินคำพูดใจเย็นของหยางชิงเจ๋อ จึงไม่รู้ว่าตัวเองจะสามารถพูดอะไรได้อีก

เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนใช้ความรุนแรง กำปั้นชกออกไปไม่หยุด แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร

เธอกำโทรศัพท์ แล้วถามเขา “งั้นตอนนี้คุณยังอยู่ที่บ้านของเธอเหรอ? คุณวางแผนจะดูแลเธอถึงเมื่อไหร่?”

หยางชิงเจ๋อครุ่นคิด “รอให้เธอหายดี”

เจียงซีหยู่ยิ้มเยาะมุมปาก “ชิงเจ๋อ ถ้าหากคุณจะอยู่ดูแลเธอแบบนี้ต่อไป แล้วอาจจะต้องสูญเสียฉันล่ะ? คุณก็จะทำแบบนี้เหรอ?”

หยางชิงเจ๋อไม่รู้ว่าทำไมถึงได้โยงมาถึงเรื่องเลิกกันอะไรอีก แต่ไหนแต่ไรเขาไม่ชอบที่จะจัดการกับปัญหาความสัมพันธ์ที่ยากลำบากแบบนี้ ตอนนี้เองซูเผิงฮวาเดินมาที่ทางเดินแล้วพูดกับเขา เขาจึงพูดขึ้น “ซีหยู่ ตอนนี้ผมอยู่ที่บ้านเสี่ยวจิ่น ไม่ค่อยสะดวกที่จะอธิบายกับคุณ รอให้คุณกลับมา ผมค่อย…”

เขายังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกเจียงซีหยู่ตัดสายไป

หยางชิงเจ๋อได้ยินเสียงตู๊ดตู๊ดตู๊ดดังมาจากลำโพง จึงมองหน้าจออย่างจนปัญญา จากนั้นก็เก็บโทรศัพท์ แล้วคุยซูเผิงฮวาเรื่องธุรกิจ

ในห้องรับแขก ซูสือจิ่นกับลั่วฝานหวาถือว่าคืนดีกันแล้ว

ลั่วฝานหวากลับมาสดใสอีกครั้ง เขายิ้มให้เธอแล้วพูด “ซื่อจิ่น วันพุธหน้าจะมีนิทรรศการภาพวาด เพื่อนของผมเป็นคนจัดงานพอดี คุณเรียนการออกแบบ ไปดูด้วยกันไหม?”

ซูสือจิ่นไม่ได้มีความสนใจอะไร แต่ก็ถามตามมารยาท “นิทรรศการภาพวาดของใครคะ?”

ลั่วฝานหวาพูด “ตี๋ซือ คุณอาจจะไม่เคยได้ยินมาก่อน ภาพวาดของเขาค่อนข้างแตกต่าง ยังไม่ได้รับการยอมรับจากผู้คน จึงไม่ได้มีชื่อเสียงมากนัก”

แต่ว่า ซูสือจิ่นกลับนั่งตัวหลังตรงในทันที “คุณหมายถึงตี๋ซือที่ได้รับเข้าแผนกการเงินของฮาร์วาร์ดตอนอายุ 17 แต่กลับลาออกเพื่อไปวาดภาพ?!”

ลั่วฝานหวาพยักหน้า “ใช่ ตอนอยู่ที่เมืองนอก ครั้งหนึ่งเขายากจน ผมพบเข้าพอดี เคยช่วยเขาไว้ ดังนั้นจึงมีมิตรภาพบางอย่างอยู่”

“ลั่วฝานหวา คุณเก่งมาก คิดไม่ถึงว่าจะรู้จักตี๋ซือ!” ซูสือจิ่นดวงตาเป็นประกาย เหมือนกับร่างกายหายเป็นปลิดทิ้ง “ฉันชอบสไตล์ของเขามาก! วันนั้นเขาจะไปที่งานไหม? ช่วยฉันแนะนำหน่อยได้ไหม?”

ลั่วฝานหวาคิดไม่ถึงว่าไม่ได้ตั้งใจหว่านเมล็ดแต่กลับได้ผล เขาพยักหน้าทันที “ได้แน่นอนอยู่แล้ว วันนั้นเขาไปแน่นอน เพียงแต่น่าจะไม่ใช่ที่งาน แต่ที่ห้องทำงานด้านหลัง ถึงเวลาผมพาคุณไป!”

ตอนนี้ซูสือจิ่นเต็มไปด้วยความตื่นเต้นที่จะได้เจอกับไอดอล แม้แต่มองดูลั่วฝานหวาก็ยังรู้สึกสะดุดตาเป็นพิเศษ “ดีจังเลย ลั่วฝานหวา ขอบคุณนะคะ! ฉันดีใจมาก!”