บทที่ 202.2 เปิดโปง (2)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 202 เปิดโปง (2)
กำแพงเรือนของนางเชื่อมต่อกับห้องครัว หากถล่มลงมามีหวังคนที่ทำอาหารอยู่คนครัวต้องเป็นอันตรายไปแน่ๆ

กู้เจียวครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยกับนาง “รอประเดี๋ยว”

กู้เจียวกลับมาที่เรือนของตัวเอง นางหาข้าวเหนียวในครัว ก่อนจะต้มน้ำแกงข้าวเหนียวหม้อหนึ่ง หลังจากนั้นก็เทน้ำข้าวเหนียวข้นคลั่กลงไปผสมกับปูนขาว

“ท่านพี่กำลังทำอะไรหรือ” กู้เสี่ยวซุ่นถามอย่างสงสัย

กู้เหยี่ยนเองก็ย่อตัวลงนั่ง มองนางตาปริบๆ “เหตุใดถึงเทน้ำต้มข้าวลงไปด้วยเล่า”

กู้เจียวยื่นแท่งไม้ให้กับทั้งสองคนละแท่ง พร้อมทั้งบอกให้ทั้งสองคนเคี่ยวไปเรื่อยๆ “นี่คือปูนข้าวเหนียว ใช้ดีกว่าอิฐดินเหนียวนัก เหมาะแก่การซ่อมกำแพงเป็นที่สุด”

ขั้นตอนการทำอิฐดินเหนียวนั้นยากลำบากนัก ต้องใช้วัสดุสามอย่างผสมเข้าด้วยกัน หลังจากนั้นยังต้องใช้เครื่องมือทุบ ยิ่งทุบมากเท่าไหร่ อิฐดินเหนียวก็จะยิ่งทนทาน

แต่ปูนข้าวเหนียวไม่ได้ซับซ้อนถึงเพียงนั้น แต่มีความแข็งแรงทนทานกลับมากกว่าเป็นหลายเท่า นั่นเป็นเพราะภายในน้ำต้มข้าวเหนียวนั้นมีส่วนประกอบของแป้งมันคอยยืดเกาะ คือตัวประสานชั้นเลิศจากธรรมชาติ หากพูดให้เกินจริงหน่อย ก็คงเรียกได้ว่าแรงยืดนั้นแข็งแรงกว่าปูนขาวหลายเท่า หรืออาจจะแข็งแรงยิ่งกว่าปูนซีเมนต์ในชาติก่อนด้วยซ้ำ

“พวกเจ้าตั้งใจล่ะ อย่าให้เปรอะเนื้อตัวเชียว” กู้เจียวเอ่ย

“ได้เลย!” ทั้งสองพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียง

เมื่อกู้จิ่นอวี๋มาถึงตรอกปี้สุ่ย ก็เห็นภาพขณะที่พี่สาวน้องชายสามคนกำลังผสมปูน

กู้จิ่นอวี๋หัวใจกระตุกวูบ

ในภาพจำของนาง กู้เหยี่ยนคือเด็กขี้โรคที่เพียงแค่เดินเหินก็หายใจหอบมาโดยตลอด นางนึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะทำเรื่องแบบนี้ แถมยังเป็นงานใช้แรงงานอีกต่างหาก

แม่นางเหยานั่งอยู่อีกฝั่ง กำลังเย็บซ่อมเสื้อผ้าด้วยท่วงท่าแสนสง่างาม ราวกับว่าการที่กู้เหยี่ยนทำงานหนักไม่ใช่เรื่องผิดแปลกแต่อย่างใด

กู้จิ่นอวี๋ตั้งสติ ก่อนจะเดินเข้ามาในเรือน “ท่านแม่ ท่านพี่ น้องชาย พวกท่านทำอะไรกันอยู่หรือเจ้าคะ”

กู้เหยี่ยนหันไปมองนางแวบหนึ่ง แต่ไม่สนใจนาง

กู้เหยี่ยนเกลียดนาง

เกลียดมาตั้งแต่ตอนที่ยังไม่รู้ชาติกำเนิด หลังจากรู้แล้วก็เกลียดยิ่งกว่าเดิม

กู้เจียวเองก็ไม่สนใจนาง ยังคงทำปูนข้าวเหนียวของตัวเองต่อไป

นางไม่แม้แต่จะพูดคุยกับกู้จิ่นอวี๋สักคำ และแน่นอนว่ากู้เสี่ยวซุ่นก็ไม่แยแสนางเช่นกัน

แม่นางเหยาเหลียวไปมองนาง “จิ่นอวี๋เองหรือ เจ้ามาที่นี่ทำไมหรือ”

กู้จิ่นอวี๋เอ่ยเสียงเย็น “ข้าไม่เห็นท่านแม่ที่จวน เดาว่าท่านแม่ต้องมาที่นี่แน่นอน ข้าเอาของมาฝากท่านพี่กับน้องชายนิดหน่อยเจ้าค่ะ”

กู้เหยี่ยนกลอกตา “ใครอยากได้กัน”

ไม่นานปูนข้าวเหนียวก็เสร็จสมบูรณ์ กู้เจียวหาถังใบใหญ่มาก่อนจะเทปูนลงไป

“ข้าช่วยเอง!” กู้เสี่ยวซุ่นหิ้วถังใบใหญ่ไปที่เรือนของท่านป้าจาง

กู้เหยี่ยนเองก็อยากจะหิ้ว แต่น่าเสียดายที่หิ้วไม่ไหว เขาจึงทำได้เพียงหอบพลั่วอันน้อยมาด้วย

สามพี่น้องช่วยกันซ่อมกำแพงให้ท่านป้าจาง

แม่นางเหยาระบายลมหายใจออกมา

กู้จิ่นอวี๋มองน้ำปูนที่สกปรกเลอะเทอะกับน้ำต้มข้าวเหนียวที่ยังไม่หมดหม้อนั้น ก่อนจะขมวดคิ้วอย่างนึกรังเกียจ นางหันไปหาแม่นางเหยา “ท่านแม่ เหตุใดท่านพี่ถึงให้น้องชายทำงานสกปรกเช่นนั้นเล่าเจ้าคะ น้องชายอ่อนแอจะตายไป”

“ก็เพราะร่างกายอ่อนแอถึงต้องทำงานออกแรงอย่างไรเล่า เจ้าไม่เห็นหรือว่าน้องชายเจ้ากระปรี้กระเปร่ากว่าแต่ก่อนนัก” หากกู้เหยี่ยนไม่ต้องกินยาอยู่ทุกวัน แม่นางเหยาคงนึกว่าลูกชายของตัวเองหายเป็นปกติแล้ว

กู้จิ่นอวี๋เบ้ปาก “แต่หมอหลวงบอกว่า น้องชายห้ามทำงานหนัก ต้องพักผ่อนให้มากไม่ใช่หรือเจ้าคะ”

แม่นางเหยาเอ่ย “พี่สาวเจ้าเป็นหมอ นางรู้ดีว่าทำอย่างไรถึงดีที่สุดต่อเหยี่ยนเอ๋อร์!”

กู้จิ่นอวี๋อ้าปากพะงาบ ก็แค่เด็กหยิบยาไม่ใช่หรือ ใช่หมอเสียที่ไหน

สายตาของกู้จิ่นอวี๋หยุดลงที่น้ำต้มข้าวเหนียวและปูนขาว ก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ น้ำต้มข้าวเหนียวเป็นของกิน แต่กู้เจียวกลับเอาไปผสมกับปูน

จะโทษก็ไม่ได้สินะ เพราะเติบโตมาในบ้านนอกคอกนา ความรู้ทั่วไปก็ไม่มีแม้แต่นิด

กู้จิ่นอวี๋ทนดูต่อไปไม่ไหว แต่ก็ยังฝืนทนไม่พูดออกไป “ท่านแม่”

“เป็นอะไรไป” แม่นางเหยาถาม

กู้จิ่นอวี๋หัวเราะ ก่อนจะหยิบตราประทับทองคำและราชโองการแต่งตั้งออกมาจากแขนเสื้อแล้วยื่นให้แม่นางเหยา

แม่นางเหยาชะงักไป “นี่คือ…”

“ท่านแม่เปิดดูสิเจ้าคะ” กู้จิ่นอวี๋เอ่ยอย่างภาคภูมิใจ

แม่นางเปิดกล่องตราประทับทองคำ พลิกไปมามองดู ปรากฏว่าเป็นตราประทับประจำตัวท่านหญิง

กู้จิ่นอวี๋รอคำชมของแม่นางเหยา

แม่นางเหยาพอจะได้ยินเรื่องเครื่องสูบลมมาบ้าง แม่นางเหยาไม่รู้กฎเกณฑ์การแต่งตั้งของราชสำนักเท่าใดนัก แต่อย่างไรเสียการได้เป็นท่านหญิงก็นับว่าเป็นเกียรติยศชื่อเสียง

แม่นางเหยาพยักหน้าอย่างปลื้มอกปลื้มใจ “จิ่นอวี๋ของแม่ช่างเก่งกาจเสียจริง”

เมื่อได้รับการยอมรับจากแม่นางเหยา กู้จิ่นอวี๋ดีใจเป็นอย่างมาก

ไม่นาน พี่สาวน้องชายสามคนก็กลับมา ทั้งสามก่อกำแพงจนเนื้อตัวมอมแมมไปหมด บนเส้นผมมีแต่เศษฝุ่น

ป้าจางอุ้มไหผักดองเดินเข้ามาแล้วเอ่ยกับแม่นางเหยา “อาเหยาเอ๋ย ลูกเจ้านี่ช่างเก่งกาจนัก! เดี๋ยวเดียวก็ซ่อมให้ข้าเสร็จแล้ว!”

ความปลื้มใจและภูมิใจในแววตาของแม่นางเหยาเปล่งประกายออกมา ดีใจเสียยิ่งกว่ายามที่ได้เห็นตราประทับทองท่านหญิงของกู้จิ่นอวี๋เสียอีก “ใช่แล้ว พวกเขาล้วนแต่เก่งกาจนัก”

แค่ก่อกำแพงมีอะไรน่าชื่นชมกัน

กู้จิ่นอวี๋เบ้ปาก

กู้จิ่นอวี๋ขนของกำนัลมาไม่น้อย ก่อนจะบอกข่าวดีที่ตนได้เป็นท่านหญิงให้ทุกคนรับรู้ ทว่านอกจากคำชมอันแสนน้อยนิดของแม่นางเหยาในตอนแรกแล้ว กู้เจียวและน้องชายทั้งสองกลับมองเห็นของกำนัลล้ำค่าของกู้จิ่นอวี๋เป็นเพียงอากาศธาตุ

กู้จิ้นอวี๋ไม่ได้สัมผัสถึงความดีใจจากการโอ้อวดนี้เลยแม้แต่นิด

อัญมณีเงินทองที่นางนำมา ยังเทียบไม่ได้กับผักดองไร้ราคานั้น

คนบ้านนอกก็คือคนบ้านนอกอยู่วันยังค่ำ ไม่รู้จักของดี!

ตกดึก กู้จิ่นอวี๋กลับมายังจวนโหว

สาวใช้บอกกับนางว่า สองชั่วยามที่นางออกไปข้างนอกนั้น มีคุณหนูตระกูลร่ำรวยมากมายมาเยี่ยมเยียน ทั้งยังฝากของขวัญไว้ให้ ทั้งหมดเป็นของที่นำมาแสดงความยินดีกับนางที่ได้รับแต่งตั้งเป็นท่านหญิง

กู้จิ่นอวี๋รู้สึกดีขึ้นมาบ้างเล็กน้อย

ท่านโหวกู้กลับมาถึงจวน กู้จิ่นอวี๋ก็เล่าเรื่องราวที่ตรอกปี้สุ่ยให้เขาฟัง เมื่อเอ่ยถึงเรื่องที่กู้เจียวซ่อมกำแพงให้กับเพื่อนบ้าน นางก็จงใจเอ่ยชมอีกฝ่าย “อันที่จริงพี่สาวก็เก่งกาจไม่น้อยเลยนะเจ้าคะ”

หากท่านโหวอยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้นเช่นกัน คงรู้สึกว่าสามพี่น้องกู้เจียวนั้นเก่งกาจ แต่หากนำมาเทียบกู้จิ่นอวี๋ที่คิดค้นเครื่องสูบลมแล้ว ก็แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

ท่านโหวกู้ส่งเสียงฮึดฮัด “กับอีแค่ซ่อมกำแพงจะนับว่าเก่งกาจอย่างไร นางก็ทำได้เท่านั้นแหละ! วันวันให้ไปเรียนหนังสือก็ไม่ยอมไป! ทำแต่เรื่องไม่มีเกียรติไม่มีศักดิ์ศรี! ไม่รู้จักเอาเยี่ยงอย่างเจ้าเสียบ้าง ตั้งใจเรียนหนังสือ ตั้งใจดีดฉิน ตั้งใจเป็นคุณหนูใหญ่แห่งจวนโหว!”

กู้จิ่นอวี๋เอ่ยเสียงนุ่มนวล “หากท่านพี่สุขใจ ก็ย่อมดีที่สุดแล้วเจ้าค่ะ”

ท่านโหวกู้ส่งเสียงฮึดฮัด “นางย่อมสุขใจอยู่แล้ว!”

แถมพาลูกชายเขาไปเล่นซนอีกต่างหาก!

คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล กังวลเหลือเกินว่าเหยี่ยนเอ๋อร์อยู่กับนางนานวันเข้า จะกลายเป็นลิงทโมนไปด้วย

กู้เหยี่ยนที่เขากำลังกังวลว่าจะกลายเป็นลิงทโมน ยามนี้กำลังเล่นหมากรุกกับเสี่ยวจิ้งคงเด็กอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งแคว้นเจา และพ่ายแพ้อย่างราบคาบเป็นตาที่สิบแปดในค่ำคืนนี้

เขาหน้าบึ้งตึงเดินเข้าไปในห้องหนังสือของเจ้าหนูอัจฉริยะแห่งแคว้นเจา ชวนพี่เขยเล่นหมากห้าตัวเพื่อปลอบใจตัวเอง กลับกลายเป็นว่าแพ้ห้าตารวด

เจ้าหนูน้อยเหยี่ยนพาดวงใจอันบอบช้ำไปยังห้องของหญิงชรา เล่นไพ่ใบไม้กับท่านย่าและขาไพ่ของนางอีกสองคนได้สักพัก ก็ถูกจี้จิ่วอาวุโสเรียกตรวจการบ้าน ก่อนคืนวันอันเต็มเปี่ยม (ไปด้วยความพ่ายแพ้) ของเขาจะจบลง

ยาห้ามเลือดชุดแรกที่ส่งเข้ามาในค่ายทหารนั้นได้เสียงตอบรับค่อนข้างดี ไม่นานค่ายทหารก็สั่งจองยาชุดที่สอง

กู้เจียวหัวหมุนกับการหาเงินหาทอง

กู้จิ่นอวี๋เองก็ไม่ปล่อยตัวเองให้ว่าง

การคิดค้นเครื่องสูบลมนั้นกวนใจนางในระดับหนึ่ง นางชาญฉลาดเกินกว่าใคร นางไม่เชื่อว่าคนอื่นจะคิดค้นสิ่งนี้ขึ้นมาได้ เพราะลำพังสมองของนางไม่มีทางคิดออกได้เช่นกัน

ยิ่งไปกว่านั้นเครื่องสูบลมก็เป็นเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่ง

แยบยลก็แยบยลอยู่หรอก แต่หลักการนั้นช่างเรียบง่ายนัก

ก็แค่เพิ่มแรงลมให้ไฟแรงขึ้นมิใช่หรือ

มีอะไรซับซ้อนกัน

ความคิดแล่นวาบเข้ามาในหัวกู้จิ่นอวี๋ ก่อนจะหยิบพู่กันและกระดาษออกมา ปรับปรุงอัตราส่วนของเตาเผาและเครื่องสูบลม

นางเพิ่มแรงเครื่องสูบลมอีกเท่าหนึ่ง แบบนี้ไฟจะแรงขึ้น ผลผลิตจากการตีเหล็กก็จะเพิ่มสูงขึ้น

กู้จิ่นอวี๋ถือแบบร่างเข้าวังหลวงไป เล่าความคิดของตนให้กับซูเฟยฟัง “… อันที่จริงเดือนเดียวก็ทำสำเร็จแล้ว หลังจากปรับปรุงอีกสักครึ่งเดือนก็ถือว่าเสร็จงานแล้ว!”

“สวรรค์ เร็วขึ้นขนาดนี้เชียวหรือ” ซูเฟยตกใจ

“เพคะ!” กู้จิ่นอวี๋พยักหน้าอย่างมั่นใจ “สิ่งนี้ดียิ่งกว่าท่อน้ำที่ราชสำนักใช้มาตั้งแต่ก่อนหน้า เพราะแรงลมไม่มากพอ ผลที่ได้จึงไม่สูงมาก”

ซูเฟยไม่ค่อยเข้าใจเรื่องนี้สักเท่าไหร่ แต่พอได้ยินว่าใช้งานได้ดีกว่าเตาเผาในตอนนี้ ย่อมเป็นคุณงามความดีอย่างหนึ่ง

ซูเฟยไม่พูดพร่ำทำเพลงพากู้จิ่นอวี๋ไปที่หออาลักษณ์หลวงเพื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้