ตอนที่ 296 ประจันหน้า(1)

ตอนที่ 296 ประจันหน้า(1)

ฉินมู่หลานได้ยินคำพูดของหลี่เสวี่ยเยี่ยน ก็อดเอ่ยถามไม่ได้ “เริ่นม่านลี่มาหาคุณนายเหยาบ่อยไหม?”

หลี่เสวี่ยเยี่ยนพยักหน้า แล้วเอ่ย “ใช่แล้ว เริ่นม่านลี่มาหาอยู่บ่อยครั้ง ทั้งสองดูเข้ากันได้ดีด้วย เพียงแต่เริ่นม่านลี่ไม่ค่อนชอบฉันนัก ทุกครั้งที่เจอกัน ก็ไม่ได้พูดอะไรด้วยเลย หลังจากรอให้ฉันออกไป ถึงจะคุยกับคุณยาย ฉันก็เลยไม่รู้ว่าพวกเขาคุยเรื่องอะไรกัน”

เหยาจิ้งจือที่อยู่ข้าง ๆ ได้ยินแบบนี้ ก็แค่นหัวเราะเย็นชา ก่อนจะพูดขึ้น “ดูเหมือนว่าทุกวันนี้พอเราไม่อยู่ ชีวิตของคุณนายก็จะดูคึกครื้นดีนะ มีแต่คนมาหามาคุยกับท่าน”

เมื่อได้ยินสิ่งที่แม่สามีพูด หลี่เสวี่ยเยี่ยนก็ยกยิ้มเจื่อน เพราะหล่อนเป็นคนที่พูดคุยกับคุณยายอยู่ทุกวัน

เหยาจิ้งจือทราบความหมายในสีหน้าลูกสะใภ้คนโตจึงคิดว่าเธออาจเข้าใจผิด จึงรีบอธิบายแก้ต่างทันที “ฉันไม่ได้หมายถึงเธอ ฉันหมายถึงเริ่นม่านลี่ หล่อนก็หย่ากับเหยาอี้หนิงไปแล้ว คุณนายยังจะผูกมิตรกับหล่อนอีก ไม่เข้าใจเลยว่าคุณนายแกกำลังคิดอะไรอยู่”

เมื่อได้ยินแบบนี้ หลี่เสวี่ยเยี่ยนก็รีบพูดพร้อมสีหน้าอยากซุบซิบ “ดูเหมือนว่าเริ่นม่านลี่จะมีแนวโน้มแต่งงานกับเหยาอี้หนิงใหม่อีกรอบค่ะ ได้ยินมาว่ากำลังหาฤกษ์อยู่”

เหยาจิ้งจือได้ยินแบบนี้ก็คิ้วขมวด

“จริงเหรอ หย่ากันไปแล้ว แล้วอยากจะแต่งกันใหม่เหรอ?”

ฉินมู่หลานก็สงสัยเช่นกัน ได้แต่รู้สึกนึกถึงความสอดคล้องกับลักษณะนิสัยของตัวเริ่นม่านลี่ที่นึกถึงแต่ตัวเองเป็นหลัก จึงไม่น่าจะเป็นไปได้ที่หล่อนจะกลับมาแต่งงานกับเหยาอี้หนิงในตอนนี้

แต่ถึงอย่างนั้น หลี่เสวี่ยเยี่ยนก็พยักหน้าแล้วบอกกล่าวต่อ “ใช่ค่ะ ไม่ผิดแน่ คุณนายกำลังพูดคุยเรื่องฤกษ์วันแต่งงานใหม่กับเริ่นม่านลี่ นั่นเป็นเรื่องที่ฉันได้ยินมาเอง”

ตอนแรกหล่อนเรียกท่านว่าคุณยาย แต่เมื่อเห็นว่าทั้งฉินมู่หลานและแม่สามีเรียกว่าคุณนาย หล่อนก็รีบหยุดเรียกทันที เพื่อให้เข้ากับพวกเขา

“ดูเหมือนว่า เริ่นม่านลี่จะเปลี่ยนใจแล้ว”

เหยาจิ้งจือได้ยินเรื่องนี้ก็ทำเพียงรับฟังเท่านั้น จากนั้นก็ไม่ได้ให้ความสนใจอีกต่อไป หล่อนไม่ต้องการได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเหยาอี้หนิงอีก

แต่ฉินมู่หลานกลับหันมองหลี่เสวี่ยเยี่ยนแล้วเอ่ยถาม “พี่สะใภ้ พี่ได้ยินมาว่าเริ่นม่านลี่จะแต่งงานกับเหยาอี้หนิงอีกรอบเหรอคะ?”

“ใช่แล้ว ฉันแน่ใจว่าได้ยินไม่ผิดแน่ ไม่อย่างนั้นคุณนายก็คงไม่ให้เริ่นม่านลี่แวะเวียนไปมา เพราะฉะนั้นเริ่นม่านลี่กับเหยาอี้หนิงคงกลับมาอยู่ด้วยกันแล้ว คุณนายเหยาจึงยอมพบก่อนอีกครั้ง” หลี่เสวี่ยเยี่ยนสนิทกับคุณนายเหยามาก จึงรู้เรื่องบางอย่างของหญิงชราได้อย่างกระจ่างแจ้ง

ฉินมู่หลานยังคงรู้สึกแปลกใจนิดหน่อย หรือว่าเริ่นม่านลี่อาจเปลี่ยนใจแล้วจริง ๆ

แต่อีกไม่นานก็จะเปิดเรียนแล้ว ฉินมู่หลานยังมีเรื่องต้องทำอีกมากมาย ดังนั้นจึงไม่ถามอะไรอีก มองไปที่ซูหว่านอี๋แล้วพูดขึ้นว่า “แม่คะ หนูจะออกไปข้างนอก จะเอาเครื่องสำอางไปให้หรูฮวนสักหน่อย ตอนวันแต่งงานหล่อนอยากได้มาก”

ซูหว่านอี๋ได้ยินเช่นนี้ ก็รีบโบกมือให้ฉินมู่หลาน แล้วพูดว่า “ได้ ถ้าอย่างนั้นลูกรีบไปเถอะ”

หลังจากฉินมู่หลานมาถึงบ้านตระกูลเสิ่นและมองสำรวจอยู่ครู่หนึ่ง ก็พบว่าเสิ่นหรูฮวนกำลังนั่งกินอะไรบางอย่างอยู่ แถมยังกินด้วยท่าทางเอร็ดอร่อยด้วย

และเมื่อเสิ่นหรูฮวนเห็นฉินมู่หลานมา สีหน้าก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น “มู่หลาน เธอมาทำอะไรเหรอ” พูดก็กวักมือพลางเอ่ยขึ้นต่อ “มู่หลาน นี่คือถั่วแดงกวนที่ฉันเพิ่งทำ อยากลองชิมดูสักหน่อยไหม”

ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ก็ไม่ปฏิเสธ พลางพยักหน้าแล้วพูดขึ้น “ได้สิ ถ้าอย่างนั้นฉันขขอลองชิมสักหน่อย”

“ได้ ๆ มาเร็ว”

เมื่อเห็นเพื่อนสนิทกับตัวเองกินด้วยกันอย่างเอร็ดอร่อย เสิ่นหรูฮวนก็ได้แต่รู้สึกสุขใจ

หลังจากทั้งสองกินของว่างเสร็จแล้ว ฉินมู่หลานก็หยิบเครื่องสำอางที่เธอทำออกมา แล้วบอกกล่าว “หรูฮวน นี่เป็นเครื่องสำอางที่ฉันทำเอง ถึงเธอจะตั้งท้องอยู่ก็ยังใช้ได้อย่างปลอดภัยหายห่วง ไม่มีส่วนผสมที่ทำให้ระคายเคืองผิว แต่จะหมดอายุง่ายหน่อย ถ้าใช้มาเกินครึ่งปีแล้วก็ให้ทิ้งไป”

เสิ่นหรูฮวนเห็นเครื่องสำอางที่อยู่ตรงหน้า แววตาก็เป็นประกาย

“มู่หลาน เธอทำของพวกนี้เองเลยเหรอ เธอเก่งเกินไปแล้ว” ขณะพูด เสิ่นหรูฮวนก็หยิบพวกมันขึ้นมาดูทีละอัน หลังจากนั้นก็หันไปถามฉินมู่หลาน “มู่หลาน เธอช่วยแต่งหน้าให้ฉันตอนนี้ได้ไหม?”

หล่อนยังจำได้จนถึงทุกวันนี้ว่าตนดูสวยมากหลังจากมู่หลานแต่งหน้าให้ตัวเองในวันงานแต่ง

เมื่อได้ยินสิ่งที่เสิ่นหรูฮวนพูด ฉินมู่หลานก็ยิ้มแล้วพยักหน้า “ได้อยู่แล้ว”

ถงทิงผิงก็อยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเครื่องสำอางพวกนี้เช่นกัน เพราะไม่เคยเห็นเครื่องสำอางครบชุดขนาดนี้มาก่อน ดังนั้นขณะที่กำลังรอลูกสาวแตงหน้าเสร็จ หล่อนก็นั่งดูอยู่ข้าง ๆ

“เสร็จแล้ว”

ฉินมู่หลานวางแปรงแต่งหน้าลง แล้วมองดูฝีมือแต่งหน้าให้เสิ่นหรูฮวนของตัวเอง ก่อนจะพยักหน้าด้วยความพอใจแล้วพูดขึ้น “หรูฮวน เธอสวยมากเลย”

ตอนแรกหน้าตาของเสิ่นหรูฮวนค่อนข้างเป็นพิมพ์นิยม ฉินมู่หลานจึงแต่งหน้าให้หล่อนแบบพิมพ์นิยม จึงทำให้ความงามบนใบหน้าของหล่อนดูโดดเด่นยิ่งขึ้น

“ว้าว…หรูฮวน ลูกสวยจังเลย แม่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าลูกสาวแม่สวยได้ขนาดนี้”

เดิมทีถงทิงผิงคิดว่าลูกสาวสวยมากอยู่แล้วเมื่อตอนวันงานแต่ง ไม่คิดเลยว่าหล่อนจะสวยได้มากขนาดนี้ เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็มองดูเครื่องสำอางที่อยู่บนโต๊ะอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความหวัง “มู่หลาน เครื่องสำอางพวกนี้ยังมีอีกไหม น้าขอใช้ด้วยได้หรือเปล่า”

ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ก็ยิ้มแล้วพยักหน้าก่อนจะบอกกล่าว “น้าถง คุณน้าใช้ได้อยู่แล้วค่ะ แต่ว่าอายุผิวของน้ากับหรูฮวนแตกต่างกัน เพราะฉะนั้นจะต้องใช้บางอย่างที่ต่างกันด้วยค่ะ”

ขณะพูดเธอก็หยิบเครื่องสำอางอีกหนึ่งชุดออกมา แล้วส่งให้ถงทิงผิงก่อนจะบอกกล่าว “น้าถง ฉันก็เอามาให้น้าหนึ่งชุดเหมือนกันค่ะ”

เมื่อเห็นว่ามีของสำหรับตัวเองด้วย ถงทิงผิงก็ได้รู้สึกตื่นเต้น

“มู่หลาน เธอใจดีมากเลย” หลังจากพูดจบ เธอก็มองฉินมู่หลานด้วยความคาดหวังอีกครั้ง

ฉินมู่หลานเห็นเช่นนี้ ก็ยกยิ้มทันที “น้าถง น้าก็อยากแต่งหน้าเหมือนกันใช่ไหมคะ เดี๋ยวฉันแต่งให้ด้วยค่ะ”

“ไอ้หยา..มู่หลาน นี่จะไม่ลำบากเธอใช่ไหม” ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ถงทิงผิงก็ยั่งลงอยู่ตรงหน้าฉินมู่หลานเรียบร้อย เมื่อมองเธออยู่พักหนึ่ง ก็เหมือนจะพร้อมแต่งแล้ว

เมื่อเห็นท่าทางถงทิงผิงแบบนี้ ฉินมู่หลานก็อดยิ้มไม่ได้ หลังจากนั้นก็ยุ่งขึ้นอีกครั้ง

ฉินมู่หลานลงมือรวดเร็วมาก หลังจากแต่งหน้าเสร็จ ถงทิงผิงก็อดใจรอแทบไม่ไหวที่จะส่องกระจก กระทั่งได้เห็นใบหน้าแสนสวยของตัวเองในกระจก ก็ไม่สามารถหยุดยิ้มได้เลย “ว้าว…ฉันดูดีได้ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย”

เมื่อเห็นแม่มีท่าทางแบบนี้ เสิ่นหรูฮวนก็อดหัวเราะไม่ได้

“แม่ ตอนนี้แม่เห็นแล้วใช่ไหมว่าตัวเองเป็นยังไง แม่รีบวางกระจกเร็ว”

“ขอแม่ดูสักพักสิ”

ถงทิงผิงไม่อยากวางกระจกเลย เอาแต่ส่องดูแล้วชื่นชมตัวเองต่อไป แต่ไม่นานนักก็มีปฏิกิริยาอีกครั้ง ก่อนจะมองแล้วเอ่ยถาม “มู่หลาน เธอสอนน้าหน่อยสิ ว่าเครื่องสำอางพวกนี้ต้องใช้อย่างไรบ้าง?”

“น้าถง น้าเพิ่งเห็นที่ฉันแต่งหน้าให้หรูฮวนไปใช่ไหมคะ แค่จำลำดับขั้นตอนการลงแล้วนำมาใช้แบบเดียวกัน ก็ใช้ได้แล้วค่ะ ตอนแรกอาจจะยังไม่ค่อยชิน แต่เดี๋ยวใช้บ่อย ๆ ก็ชินเองค่ะ” หลังจากพูดจบ ฉินมู่หลานก็อธิบายวิธีใช้โดยละเอียด

ถงทิงผิงตั้งใจฟังมาก แล้วจำขั้นตอนพวกนั้นเอาไว้ทั้งหมด

“น้าถง ต่อไปถ้าแต่งบ่อยขึ้นเดี๋ยวน้าก็จะเชี่ยวชาญเองค่ะ ถ้าเครื่องสำอางพวกนี้หมดก็มาบอกฉันได้ เดี๋ยวฉันจะทำให้อีกชุดค่ะ”

“ได้ ขอบคุณนะมู่หลาน”

ถงทิงผิงเก็บของพวกนี้ประหนึ่งเป็นสมบัติล้ำค่า แต่ก็นึกอะไรขึ้นได้จึงเอ่ยถามเพิ่ม “มู่หลาน ถ้าคนอื่นเห็นพวกเราแต่งหน้าสวย แล้วต้องการเครื่องสำอางพวกนี้บ้างจะทำอย่างไรได้?” เพราะพวกเขาเป็นเพื่อนกัน บางครั้งก็พูดแบ่งปันของที่มีประโยชน์ อย่างเช่นเสื้อผ้าแบบไหนใส่แล้วดูดี เป็นต้น หากคนอื่นเห็นหล่อนแต่งหน้าสวย ก็คงเอ่ยถามอย่างแน่นอน

เมื่อพูดถึงประเด็นนี้ ฉินมู่หลานก็กำลังพิจารณาเช่นกัน เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่สามารถเปิดขายเป็นธุรกิจส่วนตัวได้ “น้าถงคะ ของพวกนี้ฉันเป็นคนทำเองกับมือ หากมีคนอยากจะซื้อ ฉันก็คงยังขายให้ได้ไม่สะดวก”

ถงทิงผิงเปิดปากแล้วเอ่ยพูด “มู่หลาน เครื่องสำอางของเธอดีกว่าร้านค้าของพวกจีนโพ้นทะเลอีก เพื่อนของน้าต้องชอบอยู่แล้วถ้าได้เห็นพวกมัน”

ฉินมู่หลานยังไม่ได้คิดมากขนาดนั้น แค่อยากรอให้ถึงสิ้นปีหลังจากปฏิรูปและเปิดประเทศแล้ว ก็จะสามารถทำธุรกิจได้ จึงยังไม่คิดในตอนนี้ “น้าถงคะ น้าชมเกินไปแล้ว ไม่รู้ว่ามีคนอยากได้มากน้อยแค่ไหน ถึงตอนนั้นแล้วเราค่อยมาคุยกันนะคะ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ รอถึงตอนนั้นแล้วค่อยคุยกัน”

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

โอกาสออกไลน์เครื่องสำอางมาถึงแล้ว ใช้โอกาสนี้หาลูกค้าแล้วรับพรีออเดอร์เลยก็ได้นะมู่หลาน

ไหหม่า(海馬)