ตอนที่ 213 หากข้าชื่อฉางอาน เจ้าก็คือบ้านเกิด
ตอนที่ 213 หากข้าชื่อฉางอาน เจ้าก็คือบ้านเกิด
“ว้าว ! ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก แสงแดดทอประกายไปทั่วผืนฟ้า ! ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดพวกปัญญาชนทั้งหลายจึงชอบขึ้นเขาเพื่อชมอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า งดงามมาก ! ” ในที่สุดหลินเว่ยเว่ยก็พาบัณฑิตหนุ่มที่กำลังลากขามาจนถึงยอดเขาซึ่งทั้งสองไม่เคยมาเยือนได้สำเร็จ ขณะมองพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก นางก็แสดงความปลาบปลื้มออกมา
เจียงโม่หานหย่อนกายนั่งบนก้อนหินใหญ่ เขาหอบหายใจพลางใช้มือพัดใบหน้าของตน จากนั้นก็หันไปมองหลินเว่ยเว่ยที่กำลังร่าเริงสดใสครู่หนึ่ง…เด็กตัวแสบไม่รู้จักเหนื่อยบ้างหรือ ? ทำตัวเหมือนลิงไม่มีผิด ชอบแสดงว่าตนมีพลังเหลือล้นอยู่เสมอ !
หลินเว่ยเว่ยหันกลับมามองบัณฑิตน้อยที่กำลังเหงื่อโซกแล้วรู้สึกว่ามีเพียงคำเดียวที่สามารถบรรยายได้ก็คือ ‘งามจนน่ากลืนกิน ! ’ บัณฑิตน้อยเป็นลูกรักของสวรรค์หรือไร ? เหตุใดจึงดูดีเช่นนี้ !
“บัณฑิตน้อย เด็กผู้หญิงอายุ 15 ปีไม่ได้ตั้งชื่อรองได้แล้วหรือ ? ปีหน้าข้าก็จะมีชื่อรอง แต่เจ้ายังต้องรออีกตั้งหลายปี ! ” ดวงตาของหลินเว่ยเว่ยกลอกไปมาพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เจียงโม่หานเหลือบมองนาง น่าภูมิใจตรงไหน ? แม้แต่เรื่องนี้ก็ยังต้องแข่งกันหรือ ?
หลินเว่ยเว่ยชะโงกตัวเข้ามาข้างหูบัณฑิตหนุ่มแล้วกระซิบเบา ๆ ว่า “ถ้าให้ข้าตั้งชื่อรองของพวกเรา เช่นนั้นข้าจะชื่อฉางอาน ส่วนเจ้าชื่อบ้านเกิด”
เจียงโม่หานเหลือบมองนางแล้วย้อนถาม “คงมีความหมายแอบแฝงอีกสิท่า ? ”
“หากข้าชื่อฉางอาน เจ้าก็คือบ้านเกิด ใครก็บอกว่าฉางอานคือบ้านเกิด ! ” หลินเว่ยเว่ยขยิบตาให้เขาและรอคอยท่าทางแยกเขี้ยวจากเขาอยู่
ทว่าอีกฝ่ายตอบสั้น ๆ “ข้าเห็นว่าเจ้าสวยดี…ฝันไปเถิด ! ”
“โอ้ บัณฑิตน้อยก็ใช้ได้นี่ รู้จักเล่นคำแล้ว เจ้าจ่ายค่าเรียนมาหรือยัง ? ” หลินเว่ยเว่ยยื่นมือขวาให้เขาแล้วกระดิกนิ้วไปมา
เจียงโม่หานยื่นมือไปตีฝ่ามืออีกฝ่ายทันที “หน้าเลือด ! ”
หลินเว่ยเว่ยมองแสงแดดที่กระทบใบหน้าของเขา มันทำให้ดูงดงามยิ่งกว่าเดิมโดยเฉพาะรอยยิ้มเบาบางตรงมุมปาก ทำให้คนมองอดหวั่นไหวไม่ได้ น่าเสียดายที่หนุ่มหล่อน่าเชยชมคนนี้เสมือนเมฆหมอกบนขอบฟ้า แม้นางจะปีนขึ้นไปบนต้นไม้สูงที่สุดของยอดเขาก็ไม่อาจเอื้อมถึง
ขณะร่องรอยแห่งความโศกเศร้าปรากฏขึ้นในหัวใจ นางก็พูดกับเจียงโม่หานว่า “บัณฑิตน้อย ข้าจะร้องเพลงให้เจ้าฟัง ดีหรือไม่ ? ”
เจียงโม่หานเหลือบมองนางแล้วเค้นเสียงดัง ฮึ “ใครอยากฟังเนื้อเพลงหน้าไม่อายของเจ้า ? ”
ทว่าหลินเว่ยเว่ยก็เริ่มร้องเพลงออกมา
“หากข้าชื่อฉางอาน เจ้าก็คือบ้านเกิด
ผู้คนเย้ยหยันเมื่อกลับฉางอานบ้านเกิด
ข้าลุ่มหลงรอเจ้าวาดพู่กัน
หนึ่งภาพวาดเจ้าและข้าในที่แห่งนั้น…”
เจียงโม่หานเผยสีหน้าดูแคลน สุดท้ายก็ไม่ได้อยากลวนลามข้าทางวาจา อยากอยู่กับข้าเช่นนั้นหรือ ? ทันใดนั้นความสุขเล็ก ๆ ก็ผุดขึ้นในก้นบึ้งหัวใจ แต่แล้วเขาก็ทำเป็นไม่สนใจอีก
เมื่อฟังไปนานเข้า เขาก็เริ่มสัมผัสได้ว่าในเนื้อเพลงที่ไพเราะแฝงไปด้วยความเศร้าหมองเล็กน้อย เด็กตัวแสบเป็นคนร่าเริงมาโดยตลอด ในอดีตเวลาร้องเพลงหากไม่ทำตัวเหมือนเด็กก็มีความสุขจนผิดปกติ เหตุใดวันนี้…ทันใดนั้นท่าทางของเขาก็ดูสุขุมขึ้นมาทันที หรือว่าถ้อยคำเมื่อครู่ของตนจะไปสะกิดแผลใจบางอย่างของนางเข้า ?
ตอนนี้หลินเว่ยเว่ยกำลังยืนอยู่ริมหน้าผา ลมภูเขาพัดผ่านทำให้เสื้อผ้านางปลิวไสวคล้ายจะลอยตามสายลมได้ นางมีท่าทางเศร้าสร้อย ดวงตาแฝงไปด้วยความเจ็บปวด
“หากข้าชื่อฉางอาน เจ้าก็คือบ้านเกิด
น่าเสียดาย สุดท้ายฉางอานมิได้กลับบ้านเกิด
ข้ารอจากวัยเยาว์จนแก่ชราไม่ไหว…”
“เลิกร้องได้แล้ว ! เพลงอะไรก็ไม่รู้ ! ” เจียงโม่หานขัดจังหวะร้องเพลงของนาง ‘รอจากวัยเยาว์จนแก่ชราไม่ไหว’ อะไรกัน ? นางคิดว่ามีความแตกต่างระหว่างเขากับนาง ราวกับเมฆและโคลน นางไม่อยากเฝ้าฝันแล้วคิดยอมแพ้เช่นนั้นหรือ ?
เขาควรจะมีความสุขที่ทิ้งขนมหนิวผีถัง1ซึ่งชอบตามติดเขาออกไปได้ไม่ใช่หรือ ? เหตุใด…เหตุใดเขาถึงอารมณ์เสีย สับสน ผิดหวัง…ความรู้สึกผสมปนเปแต่ไม่มีความรู้สึกดีใจอยู่เลยสักนิด ?
พอคิดว่าเพื่อหลบหน้าเขา แล้วเด็กตัวแสบจะตีตนออกห่าง เวลาเจอหน้าก็ยืนคารวะอยู่ในที่ห่างไกล…หัวใจของเจียงโม่หานก็ปั่นป่วนขึ้นมาทันที…ถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็ ต่อไปเขาจะกินข้าวบ้านนางได้อย่างไร ? พอนึกถึงฝีมือทำอาหารของมารดาแล้วก็รู้สึกแย่กว่าเดิม
เจียงโม่หานแอบเรียบเรียงคำพูดในใจเงียบ ๆ คิดว่าจะปลอบเด็กคนนี้อย่างไร…แต่แล้วเขาก็ได้ยินหลินเว่ยเว่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจเสียก่อน “บัณฑิตน้อย รีบมาดูนี่สิ ! เร็วเข้า เห็ดหลินจือดอกใหญ่มากเลย ! ถ้าเอาไปขายจะต้องได้เงินก้อนโตแน่นอน ! ”
เจียงโม่หานถึงขั้นพูดไม่ออก
เฮอะ เขาคงคิดไปเอง ! รู้อยู่แล้วว่านางไม่ได้คิดมาก จะเสียใจหรือผิดหวังได้อย่างไร ? เป็นเพราะเขาคิดผิดแน่นอน !
หลินเว่ยเว่ยวางกระบุงไม้ไผ่บนหลังลงกับพื้นแล้วเอนตัวไปที่หน้าผาเพื่อเตรียมปีนลงไปและเก็บเห็ดหลินจือสีเข้มดอกใหญ่นั้นขึ้นมา
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเจียงโม่หานจึงรู้สึกกังวลอยู่ลึก ๆ เขาเข้าไปห้ามหลินเว่ยเว่ยเอาไว้ “หน้าผาสูงชันเช่นนี้แม้แต่ลิงก็ยังไม่มั่นใจว่าจะปีนได้ เจ้าไม่อยากมีชีวิตแล้วหรือ ? ”
“เจ้าดูสิ ข้าจับหลักไม้นี้ไว้แล้วเหยียบไปบนก้อนหินก้อนนั้น ค่อย ๆ เอื้อมมือไปทางขวา…ก็เก็บเห็ดหลินจือได้แล้ว ตอนปีนขึ้นไป เจ้าอย่าลืมช่วยดึงข้าด้วย ! ” หลินเว่ยเว่ยปีนไปตามขอบหน้าผา เท้ายื่นออกไปก่อน มือทั้งสองข้างเกาะหลักไม้ขนาดหนาเท่าต้นขาตรงขอบหน้าผาไว้ จากนั้นค่อย ๆ ปีนลงไปอย่างระมัดระวัง
เจียงโม่หานคุกเข่ามองอยู่ตรงเบื้องหน้าและเอ่ยเตือนด้วยความกังวล “เจ้าระวังหน่อย…”
เมื่อเขาเหลือบมองก้นเหวใต้ฝ่าเท้าหลินเว่ยเว่ยแล้วก็มีอาการเวียนศีรษะเล็กน้อย เขาจึงจ้องไปที่ศีรษะของนางแทน “ไหวหรือไม่ ? อันตรายเกินไปแล้ว ! ไม่ต้องเก็บเห็ดหลินจือนั่นแล้ว เงินค่อย ๆ หาก็ได้ หาก…เจ้าขึ้นมาดีกว่า ! ”
“รบกวนเจ้าช่วยหุบปากด้วย ! อย่าบ่นเหมือนนักบวชได้หรือไม่ ? ข้าได้ยินแล้วปวดหัว ! ” หลินเว่ยเว่ยพูดกับเขาอย่างอารมณ์เสีย แต่แล้วคิ้วนางก็คลายออกเพราะเท้าได้เหยียบอยู่บนก้อนหินที่คิดไว้
ขณะที่นางปรับสมดุลร่างกายและกำลังจะเอื้อมมือออกไปเก็บเห็ดหลินจือที่อยู่แค่เอื้อมนั้น…ทุกอย่างก็เป็นเหมือนคำพูดที่ว่าท้องฟ้าย่อมไม่อาจคาดเดาได้ ทันใดนั้นหินใต้เท้าซึ่งโดนฝนและลมพัดมานานปีย่อมรับน้ำหนักนางไม่ไหว มันจึงแตกออกเป็นเสี่ยงทันที
ในเวลานี้มือนางก็ผละจากหลักไม้มาแล้ว หากจะกลับไปจับอีกครั้งก็ไม่ทัน นางจึงตกสู่หน้าผาต่อหน้าต่อตาเจียงโม่หาน…
“หลินเว่ยเว่ย ! ” เจียงโม่หานไม่คิดเลยสักนิด เขาพุ่งตัวไปด้านหน้าเพื่อจับมือซ้ายของนางไว้…หนักมาก ! เด็กตัวแสบ ถึงเวลาที่เจ้าควรลดน้ำหนักจริง ๆ เสียที ! !
หลินเว่ยเว่ยถูกจับไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง นางก้มหน้ามองเท้าของตนที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศ แต่แล้วนางก็ต้องพบกับความน่าเศร้าที่ใต้ฝ่าเท้าไม่มีสิ่งใดให้ยึดเกาะได้เลย ความหวังเดียวในตอนนี้คือบัณฑิตน้อยจะมีแรงมากพอจนดึงนางขึ้นไปได้
แต่เมื่อนางเงยหน้าขึ้นก็พบว่าร่างกายกว่าครึ่งของบัณฑิตหนุ่มก็ดิ่งลงมาในเหวแล้ว ยังค่อย ๆ ขยับลงมาตามน้ำหนักตัวของนางอีกด้วย
ลำคอของเจียงโม่หานขึ้นเอ็น เขาจับมือนางไว้แน่นพร้อมตะโกนว่า “มองอะไร ? ตอนนี้ใช่เวลามองข้าหรือไม่ ? ถ้าไม่อยากทำให้ข้าลำบากจนตายตามเจ้าไปก็รีบหาวิธีปีนขึ้นมา ! ”
1 ขนมหนิวผีถัง เนื้อเหนียวนุ่มมีกลิ่นหอม ทำจากน้ำตาล งาขาว แป้งและถั่วลิสง มักใช้เปรียบเปรยว่าเกาะติดเหนียวหนึบ