ตอนที่ 292 พระราชทานยศ

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 292 พระราชทานยศ

เมื่อฮ่องเต้หย่งไท่พักรักษาตัวจนดีขึ้นแล้ว เขาจึงเรียกประชุม ปรากฏตัวต่อหน้าขุนนางราชสำนักอีกครั้ง

สิ่งที่แตกต่างคืน เขามีองค์ชายสาม เซียวเฉิงอี้อยู่เคียงข้าง

นอกจากนี้ก็คือ เวลาประชุมฮ่องเต้หย่งไท่มักจะนั่งอยู่เสมอ ไม่เคยลุกแม้แต่ครั้งเดียว

เสียงที่พูดก็เล็กลงอย่างเห็นได้ชัด ทำให้คนเกิดความรู้สึกอ่อนโยนอย่างประหลาด

บรรดาขุนนางราชสำนักต่างสะบัดหน้าเพื่อสลัดความคิดที่เหลวไหลนี้ออกจากสมอง

น่ากลัวเหลือเกิน!

ทุกคนพบว่าฮ่องเต้หย่งไท่ที่เคยใจร้อนกลายเป็นคนอ่อนโยน สุขุม น้ำเสียงไม่รีบไม่ร้อน

ถึงแม้เขาจะไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของขุนนาง แต่เขาก็โต้แย้งด้วยความอดทน ไม่ใช่ตะโกนต่อว่าเหมือนแต่ก่อน

ฮ่องเต้ที่เปลี่ยนแปลงไปเข้ากับผู้อื่นง่ายกว่าแต่ก่อนอย่างเห็นได้ชัด

เพียงแต่บรรดาขุนนางต่างรู้สึกไม่คุ้นชิน

ทุกคนต่างคุ้นเคยกับฮ่องเต้ที่โมโหร้ายและเกรี้ยวกราด

ถึงแม้แต่ก่อนฮ่องเต้จะเข้ากันได้ยาก แต่การเคลื่อนไหวถัดไปของเขาสามารถคาดเดาได้อย่างง่ายดาย

แต่ฮ่องเต้ในเวลานี้จะเข้ากันได้ง่าย แต่ไม่มีผู้ใดคาดเดาความคิดของเขาได้ ไม่มีผู้ใดกล้ารับรองว่าเขาจะทำอย่างถัดไป

มันแย่มาก!

สำหรับขุนนางราชสำนักแล้ว การที่ไม่สามารถคาดเดาความคิดของฮ่องเต้ได้นั้นเปรียบเสมือนคลื่นลมโหมกระหน่ำ เป็นภัยพิบัติที่ร้ายแรง

ขุนนางราชสำนักอยู่รอดด้วยสิ่งใด

หนึ่งคือความสามารถของตนเอง!

สองคือการคาดเดาความคิดของกษัตริย์!

เพียงแค่สามารถคาดเดาความคิดของฮ่องเต้ได้อย่างแม่นยำ อนาคตของพวกเขาย่อมมีแต่ผลดี

เวลานี้…

หายนะ!

บรรดาขุนนางต่างมองหน้ากันด้วยความหดหู่

ฝ่าบาท พระองค์โปรดทรงเกรี้ยวกราดเหมือนเดิมเถิด! พวกเราปรับตัวได้อย่างดี ไม่ถือสาแม้แต่น้อย

ไม่ถือสาเลยจริงๆ!

ฮือๆ…

ฮ่องเต้ยืนกรานที่จะเปลี่ยนเป็นคนอ่อนโยน ทำให้คนขนลุกอย่างน่าประหลาด!

ฮ่องเต้หย่งไท่เปิดประตูใหญ่ของโลกใบใหม่

เขาพบว่าเหล่าขุนนางไม่เกรงกลัวต่อไฟโกรธของเขา หากแต่กลัวท่าทางอ่อนโยนของเขา

ช่างน่าประหลาดเสียจริง!

หากรู้เช่นนี้ ความโกรธที่เขาระบายออกมาทั้งหมดในเวลานั้นไม่ใช่การสีซอให้ควายฟังหรือ มีแต่จะทำให้ตัวเองรู้สึกอึดอัด

ฮ่องเต้หย่งไท่โกรธจนหัวเราะออกมา!

เขาส่ายหน้าระรัว เขาเพิ่งระลึกได้ว่าตัวเขาในอดีตช่างโง่เขลายิ่งนัก

มิน่าถึงได้ถูกขุนนางราชสำนักหลอกแล้วหลอกเล่า

เสียดายที่เขาตระหนักรู้ได้สายเกินไป

สวรรค์ไม่ยอมให้เวลาเขามากอีกหน่อย

เขาแอบพูดกับองค์ชายสาม เซียวเฉิงอี้ลับหลัง “เห็นธาตุแท้ของบรรดาขุนนางราชสำนักแล้วหรือไม่ เมื่อเจ้าไม่แสดงความโกรธหรือดีใจออกมา พวกเขาก็เริ่มกังวล! พวกเขาชื่นชอบการคาดเดาความคิดของกษัตริย์และจิตใจผู้คนที่สุด แต่หากเจ้าไม่แสดงร่องรอยต่อหน้าพวกเขาแม้แต่น้อย พวกเขาก็ไร้หนทาง”

“จดจำคำสอนของเสด็จพ่อ”

เขาชี้แนะอีก “เจ้าแค่ยังเด็กเกินไป ซ่อนเรื่องเอาไว้ในใจไม่ได้ ถูกขุนนางราชสำนักหลอกใช้ได้ง่ายมาก เวลาส่วนใหญ่ ขุนนางราชสำนักจงใจยั่วยุเจ้า ให้เจ้าเปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริง พวกเขาจะใช้ประโยชน์นี้เพื่อหาผลประโยชน์เข้าตัวเอง โอรสสวรรค์ต้องการกดขี่ขุนนางราชสำนัก ขุนนางราชสำนักก็กำลังคิดหาทางควบคุมโอรสสวรรค์ มันคือการปะทะระหว่างอำนาจ ไม่อาจชะล่าใจได้แม้แต่น้อย”

เซียวเฉิงอี้จดจำคำสอนของฮ่องเต้ไว้ภายในใจ

ฮ่องเต้หย่งไท่ถอนหายใจ “ข้าเดินทางผิดมามากมาย ได้รับบทเรียนมากมาย เจ้าต้องซึมซับบทเรียนของข้า เหล่าท่านอ๋องถูกเลี้ยงไว้เหมือนหมูแล้ว ไม่ต้องกังวล อีกทั้งยังไม่สามารถช่วยเหลือข้าได้ ต่อจากนี้เจ้าต้องให้ความสำคัญกับเชื้อพระวงศ์ ต่อต้านกับขุนนางราชสำนัก มันคือสมดุลของอำนาจ บนราชสำนัก เรื่องต้องห้ามคือผู้หนึ่งเป็นใหญ่ เจ้าต้องจำเอาไว้ เฝ้าระวังญาติฝ่ายนอกอย่างเข้มงวด ข้าไม่อยากให้หลังจากที่ข้าจากไปแล้ว ยังพบเห็นหายนะจากญาติฝ่ายนอกอีก”

องค์ชายสาม เซียวเฉิงอี้อ้าปาก ถามอย่างระมัดระวัง “เสด็จพ่อทรงหมายความว่าต้องระวังเสด็จป้าเฉิงหยางเอาไว้หรือ”

“เจ้าคิดเห็นอย่างไร” ฮ่องเต้หย่งไท่ถามกลับ

เซียวเฉิงอี้ครุ่นคิดอย่างละเอียด “ตระกูลจ้งมีอำนาจมาก ถึงแม้คนตระกูลจ้งจะมีตำแหน่งไม่สูง แต่ก็ไม่อาจดูถูกอิทธิพลของพวกเขาในเมืองหลวงได้ นอกจากนี้ตระกูลจ้งร่ำรวย อีกทั้งยังมีเสด็จป้าเฉิงหยางสนับสนุน เกรงว่าจะยาก”

ยากตรงจุดใด

ย่อมยากตรงที่จะกดขี่องค์หญิงเฉิงหยาง

คิดจะจะกดขี่องค์หญิงเฉิงหยาง ย่อมต้องกดขี่ตระกูลจ้ง

บ่วงหนึ่งคล้องบ่วงหนึ่ง ไม่สามารถมีข้อผิดพลาดได้

ความหมายก็คือ ผู้ที่มีคุณสมบัติกดขี่องค์หญิงเฉิงหยางอย่างแท้จริงนั้น เวลานี้มีเพียงฮ่องเต้ผู้เดียว

วันอื่น เซียวเฉิงอี้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์องค์ใหม่ ภายใต้สถานการณ์ที่ราชบัลลังก์ยังไม่มั่นคง เขายังต้องอาศัยการสนับสนุนจากองค์หญิงเฉิงหยาง จะหันกลับมากดขี่ได้อย่างไร

ดังนั้นฮ่องเต้ออกโจทย์ยากให้แก่เขาแล้ว

ฮ่องเต้หย่งไท่กลับพูด “เจ้าจำเรื่องนี้เอาไว้ก็พอ หากประสบปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ สามารถถามเสด็จแม่ของเจ้า”

เซียวเฉิงอี้กดขี่องค์หญิงเฉิงหยาง แต่เถาฮองเฮาทำได้

ฮ่องเต้หย่งไท่คิดเอาไว้ก่อนแล้ว

ช่วงแรกที่เซียวเฉิงอี้ขึ้นครองราชย์ยังต้องการการสนับสนุนขององค์หญิงเฉิงหยาง

รอหลังจากที่อำนาจของเขามั่นคงแล้ว ย่อมสามารถลงมือกดขี่องค์หญิงเฉิงหยางได้

เมื่อได้ยินเซียวเฉิงอี้ก็เข้าใจทันที

เขาสูดลมหายใจเข้าลึก พลันโน้มตัวถวายบังคม “กระหม่อมจดจำคำสอนของเสด็จพ่อ มิบังอาจทรยศต่อความคาดหวังของเสด็จพ่อ”

ฮ่องเต้หย่งไท่มองออกไปนอกหน้าต่าง

ฤดูร้อนที่อบอ้าว บนขาของเขายังคลุมด้วยผ้าห่มขนแกะผืนหนึ่ง

ร่างกายของเขามาถึงจุดที่น้ำมันใกล้หมดแล้ว รอเพียงยมทูตขาวดำมาเอาชีวิตไปท่านั้น

เขาตบแขนของเซียวเฉิงอี้พลันพูด “เรียนรู้ให้ดี มีเรื่องที่ไม่เข้าใจก็ถาม ต่อจากนี้ ไม่มีผู้ใดสอนวิธีการเป็นโอรสสวรรค์ทีละขั้นตอนให้แก่เจ้าเหมือนข้าแล้ว”

“เสด็จพ่อ!”

เซียวเฉิงอี้คุกเข่าลงทันที

ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินถ้อยคำที่บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเสด็จพ่อจะแต่งตั้งเขาเป็นองค์รัชทายาท

แม้ว่าก่อนหน้านี้จะคาดเดาไว้แล้ว แต่เมื่อได้ยินกับหูของตัวเอง มันก็ยังมีความแตกต่างกันอย่างมากอยู่

หัวใจของเขาเต้นระรัว ตึกๆ…กำลังจะระเบิดออกมา

ใบหน้าของเขาแดงก่ำด้วยความตื่นเต้นและวิตกกังวล

เขาถามออกมา “ข้าคู่ควรหรือ”

ฮ่องเต้หย่งไท่หัวเราะร่า “เจ้าเป็นบุตรชายของข้า ย่อมคู่ควร! เรียนรู้ให้ดี อย่าได้เกียจค้าน!”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

เซียวเฉิงอี้หัวเราะออกมาด้วยความดีใจ

ฮ่องเต้หย่งไท่ชี้ไปที่ฎีกาตะกร้าหนึ่ง “นับจากวันนี้ เจ้าตรวจฎีกาแทนข้า! ให้เจ้าได้ทำความเคยชินล่วงหน้า”

เซียวเฉิงอี้น้อบรับคำสั่ง เขาหยิบพู่กันขึ้นมาด้วยมือที่สั่นเทาอย่างควบคุมไม่อยู่

ตื่นเต้นเกินไป วิตกกังวลเกินไป…

กลัวตัวเองทำได้ไม่ดี กลัวทรยศต่อความคาดหวังของเสด็จพ่อ กลัวถูกคนตำหนิว่าไม่คู่ควรกับบัลลังก์ ยิ่งกลัวตัวเองไม่สามารถรับหน้าที่นี้ได้…

ภายในใจหวาดกลัวเพียงใด ภายในใจย่อมร้อนรุ่มเพียงนั้น

เขาให้กำลังใจตัวเองอย่างเงียบๆ เสด็จพ่อชื่นชมเขาแสดงว่าเขามีความสามารถอยู่บ้าง

เขาย่อมต้องทำได้ ใจกล้าแต่ละเอียดอ่อน…

จิตใจของเขาค่อยๆ สงบลง มือของเขาก็ไม่สั่นอีกต่อไป

เขาขีดเขียนทีละคำตามคำชี้แนะของเสด็จพ่อ

ระยะนี้ฎีกาส่วนใหญ่ล้วนถกเถียงเรื่องของกองทัพทางตะวันตกเฉียงเหนือ

ทางเยียนโส่วจ้านจะทำอย่างไร

จะปลอบใจกองทัพเหลียงโจวอย่างไร

ให้รางวัลเป็นเรื่องที่สมควร

แต่ราชสำนักไม่มีเงิน

ปีที่แล้วทั้งสี่ทิศเกิดภัยแล้ง เสบียงไร้ผลผลิต นอกจากนี้ยังเกิดโจรกบฏ ส่วยที่เก็บได้ยังไม่ถึงร้อยละสามสิบของปีก่อน

สามารถบอกได้ว่าอนาถยิ่งนัก!

ปีนี้ทั้งทำสงครามทั้งยังไม่ถึงเวลาเก็บส่วย

เวลานี้ราชสำนักกำลังกินเงินเก่า

หากไม่สามีถเก็บส่วยในปีนี้ได้ ราชสำนักต้องล้มละลาย

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ยังสามารถรักษาการดำเนินงานของราชสำนัก การทำงานของสำนักราชการ กองทัพมีกองกำลังจะปราบปรามการจลาจลล้วนอาศัยบารมีที่บรรพบุรุษสั่งสมมา

ดังนั้นจึงเป็นการยากที่จะเอาเงินมาตอบแทนกองทัพเหลียงโจว!

ไม่สามารถให้ได้ จึงทำได้เพียงติดเอาไว้

แต่กองทัพเหลียงโจวไม่ยอมรับการติดหนี้ พวกเขาเรียกร้องให้ยกเมือให้แก่พวกเขาตามกองทัพโยวโจว

เมื่อมีพื้นที่ ย่อมมีกำลังคน นอกจากนี้ยังมีส่วย เงินที่ใช้ดูแลกองทัพย่อมจัดการได้

แต่ราชสำนักไม่สามารถทำได้

เรื่องของเยียนโส่วจ้านเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด

ดังนั้นบรรดาขุนนางราชสำนักล้วนทูลขอให้เรียกคืนพระราชโองการ ทูลขอให้พระราชโองการก่อนหน้านั้นเป็นโมฆะ เรียกคืนเมืองป๋อไฮ่

เมื่อเป็นเช่นนี้ ทหารเหลียงโจวย่อมไม่มีเหตุผลเรียกร้องพื้นที่จากราชสำนัก

เซียวเฉิงอี้ครุ่นคิดพลันถามเสียงเบา “เรื่องกองทัพทางตะวันตกเฉียงเหนือ เสด็จพ่อทรงตัดสินพระทัยอย่างไร”

ฮ่องเต้หย่งไท่ทดสอบเขา “เจ้าคิดว่าควรทำอย่างไร”

เซียวเฉิงอี้ครุ่นคิด แต่ภายในใจของเขามีคำตอบอยู่ก่อนแล้ว

ทันใดนั้นยังคงเรียบเรียงคำพูดก่อนจะเอ่ยขึ้น “กระหม่อมคิดว่าตอนนั้นเสด็จพ่อทรงออกพระราชโองการมอบเมืองป๋อไฮ่ให้ท่านโหวกว่างหนิงด้วยความจำเป็น เวลานี้ภัยคุกคามทางตะวันตกเฉียงเหนือถูกขจัด เวลานี้เรียกคืนมืองป๋อไฮ่แม้จะไม่สมควรนัก แต่ก็จำเป็นต้องเรียกคืนมา กระหม่อมคิดว่าสามารถไตร่ตรองให้ค่าชนเชยท่านโหวกว่างหนิง เพื่อแลกเมืองป๋อไฮ่กลับคืนมา”

“ชดเชยอย่างไร”

“สถาปนายศศักดิ์ให้เขา ยศศักดิ์เดียวเพียงพอที่จะตอบแทนเขา หรือสามารถเพิ่มยศให้แก่ท่านหญิงจู้หยางเป็นองค์หญิง เมื่อเป็นเช่นนี้ เยียนโส่วจ้านย่อมไม่มีเหตุผลใดในการก่อเรื่อง”

ฮ่องเต้หย่งไท่พยักหน้า “เจ้าได้คำนึงถึงปัญหาหนึ่งหรือไม่ สถาปนายศให้แก่บุตรชายเยียนโส่วจ้าน ตามหลักแล้วสมควรสถาปนาให้แก่บุตรชายคนรอง เยียนอวิ๋นถง แต่ผู้คนต่างรู้ว่าเขาให้ความสำคัญกับบุตรชายคนโต เยียนอวิ๋นฉวน แต่เยียนอวิ๋นฉวนกำเนิดจากอนุภรรยา เรื่องนี้จะจัดการอย่างไร”

เซียวเฉิงอี้ยิ้ม เขามีแผนการรับมืออยู่ก่อนแล้ว “ปัญหายากนี้สู้มอบหมายให้เยียนโส่วจ้านกลุ้มใจเองดีกว่า ราชสำนักสนใจแต่การให้รางวัล ส่วนจะสถาปนาบุตรชายคนใด เยียนโส่วจ้านต้องตัดสินใจเอง”

ฮ่องเต้หย่งไท่หัวเราะตาม “วิธีนี้ใช้ได้! ได้ยินว่าเยียนอวิ๋นฉวนยังไม่แต่งงาน ข้าสามารถรับปากเยียนโส่วจ้าน พระราชทานงานแต่งให้บุตรชายคนโตของเขาได้”

“เสด็จพ่อทรงพระปรีชาสามารถ! ส่วนทางท่านหญิงจู้หยาง ตำแหน่งของนางต้องเลื่อนขั้นหรือไม่”

ฮ่องเต้หย่งไท่ไตร่ตรองเป็นเวลานาน สุดท้ายตัดสินใจ “เลื่อน! เยียนโส่วจ้านย่อมต้องมอบยศให้บุตรชายคนโต เยียนอวิ๋นฉวน เวลาเดียวกันข้าเลื่อนยศให้จู้หยาง อย่างน้อยนางก็ยังสามารถข่มอนุภรรยาเอาไว้ ทำให้เยียนโส่วจ้านอึดอัดได้ อย่างไรก็ตามทางตระกูลเยียนต้องรักษาสมดุลในเวลานี้เอาไว้ เยียนโส่วจ้านทั้งระวังทั้งหมดหนทางต่อจู้หยาง เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาสามีภรรยาย่อมไม่มีใจเดียวกัน”

“เสด็จพ่อทรงพูดมีเหตุผล!”

ฮ่องเต้หย่งไท่เคาะพนักเก้าอี้เบาๆ “ตอนนั้น จู้หยางเสนอความคิดให้ข้า ข้าก็หลงเชื่อคำพูดของนางมอบเมืองป๋อไฮ่ให้เยียนโส่วจ้านไปจริง เวลานี้กลับมาครุ่นคิด ข้าจำเป็นต้องสงสัยเจตนาของจู้หยางในเวลานั้น! นางกับเยียนโส่วจ้านเดิมทีไม่ได้มีใจเดียวกัน แต่นางกลับช่วยเอาเมืองป๋อไฮ่ไปให้เยียนโส่วจ้าน นางต้องการทำให้ข้าลำบาก หรือทำให้เยียนโส่วจ้านดีใจเก้อกันแน่”

เซียวเฉิงอี้ลังเลเล็กน้อย พลันพูดเสียงเบา “กระหม่อมคิดว่าจู้หยางมีความแค้นต่อราชวงศ์”

ฮ่องเต้หย่งไท่หัวเราะเย้ยหยัน “หากนางไม่มีความแค้นต่อราชวงศ์ถึงจะแปลก นางแค้นข้า แค้นทุกคน นางต้องการทำให้ข้ารู้สึกไม่ดี นางคิดว่าเรื่องที่เชื้อพระวงศ์ถูกกองทัพเหนือปลงพระชนม์เป็นความผิดของข้าด้วยซ้ำ”