ตอนที่ 85-2 ทราบเรื่อง รีบเร่งมาถึง
ตกกลางคืน รถม้าหยุดที่ศาลาพักม้า นายศาลาเตรียมห้องที่ดีที่สุดไว้ให้คณะเดินทางตระกูลจี แต่เมื่อเทียบกับความมั่งคั่งล้นฟ้าของจวนอัครมหาเสนาบดีก็ยังคงเป็นสถานที่อันซอมซ่อ
“ออกมาข้างนอก ไม่สะดวกยิ่งนัก เจ้าอดทนสักหน่อย” จีเหล่าฮูหยินเกาะแขนของหลานชายก้าวข้ามธรณีประตู
จีหมิงซิวขานตอบเรียบๆ คำหนึ่ง
หรงมามาหยิบฟูกสะอาดชิ้นหนึ่งออกมาจากกล่องสัมภาระแล้วปูบนเตียงหลังใหญ่ในศาลาพักม้า ต่อจากนั้นก็จัดหมอน ปลอกหมอน ผ้าห่มปูไว้ทีละชิ้น วางฝั่งนี้เสร็จจึงไปจัดห้องด้านข้างให้จีหมิงซิว
“หมิงซิว เจ้ายังจำภรรยาของตาเฒ่าถังที่ถนนใต้ได้หรือไม่ ลูกสะใภ้ของนางคลอดลูกอีกแล้ว ในบ้านภาระหนักนัก นางอยากกลับมาทำงาน”
“อืม” จีหมิงซิวยังคงขานตอบอย่างเฉยเมยเช่นเดิม
จีเหล่าฮูหยินก็ไม่ได้คิดจะขอความเห็นจากหลายชานจริงๆ แต่กลัวว่าหลานชายจะมองเจตนาของนางออก ตลอดทางจึงพยายามเบี่ยงเบนความสนใจของหลานชาย
เงาดำร่างหนึ่งแวบผ่านประตูไป
จีหมิงซิวเบี่ยงตัวบังสายตาจีเหล่าฮูหยินไว้ แล้วใช้ปลายหางตามองไปด้านนอก
หมิงอันกวักมือให้เขา
“เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ คุณชายไม่ชอบนอนเตียงนิ่มเกินไป ข้าจึงเก็บฟูกเรียบร้อยแล้ว! ไม่มีปลอกหมอนแล้ว ข้าจะไปดูที่ห้องเหล่าไท่ไท่สักหน่อย” หรงมามาเดินออกมาจากห้องของจีหมิงซิว หมิงอันรีบหลบไปหลังเสาตรงทางเดิน หรงมามาเดินเข้าไปหยิบปลอกหมอนสะอาดชิ้นหนึ่งในห้องของเหล่าไท่ไท่แล้วจึงย้อนกลับไปในห้องของหมิงซิว
หมิงอันปีนออกมาอย่างเงียบเชียบ แล้วส่งสัญญาณมือให้จีหมิงซิว
จีหมิงซิวแววตาวูบไหว จากนั้นเอ่ยกับจีเหล่าฮูหยินว่า “ข้าจะไปปลดเบาสักหน่อย”
จีเหล่าฮูหยินตบหลังมือของเขาแล้วยิ้มอย่างเมตตา “รีบไปรีบมา ข้ายังมีเรื่องคุยกับเจ้าอีกมาก”
จีหมิงซิวผงกศีรษะ ก้าวเท้าข้ามธรณีประตู จากนั้นเดินเข้าไปในห้องว่างกับหมิงอัน
เมื่อปิดประตู หมิงอันพลันกระโดดออกมา “คุณชาย! เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”
“เรื่องอะไร” จีหมิงซิวถาม
หมิงอันร้อนใจดั่งไฟลนเอ่ยว่า “เฉียวฮูหยิน…ถูกจับเข้าคุกไปแล้ว!”
จีหมิงซิวแววตาทะมึนในทันใด “เกิดอะไรขึ้น”
หมิงอันทุบโต๊ะแล้วเล่าว่า “ผู้น้อยสืบจากหลายแห่งนักกว่าจะสืบได้ความ เมื่อเที่ยงฮูหยินไปส่งไข่เยี่ยวม้าที่เรือนสี่ประสาน เมื่อออกมาที่ถนน มิทราบทำอย่างไรจึงชนกับรถม้าของจวนแม่ทัพ ไม่ใช่สิ ข้าเล่าข้ามเรื่องหนึ่งไป ฮูหยินตบคุณหนูเฉียวก่อน ตอนฮูหยินทะเลาะกับจวนแม่ทัพ คุณหนูเฉียวก็อยู่ด้วยจึงเป็นพยานเท็จทำให้คนของจวนแม่ทัพโกรธจนแจ้งทางการ ฮูหยินจึงถูกจวนเจ้าเมืองพาตัวไป”
จีหมิงซิวแววตาดำทะมึนอย่างสิ้นเชิงแล้ว “จวนเจ้าเมืองกล้าจับคนที่ออกมาจากถนนชิ่งเฟิงตามใจหรือ” ผู้ที่อาศัยที่นั่นล้วนเป็นพระญาติเชื้อพระวงศ์
หมิงอันเกาศีรษะ มิทราบว่าสมควรพูดหรือไม่
จีหมิงซิวคาดเดาบางอย่างได้เลือนราง “ท่านย่าหรือ”
หมิงอันพยักหน้า “คุณหนูเฉียวไปพบเหล่าไท่ไท่ แล้วเอาใบหน้าที่โดนตบจนบวมของตนให้เหล่าไท่ไท่ดู เหล่าไท่ไท่ปวดใจนักถามว่าผู้ใดใจกล้าเช่นนี้! คุณหนูเฉียวจึงบอกเรื่องฮูหยินออกมา ตกบ่ายหรงมามาก็เดินทางไปยังจวนเจ้าเมือง คิดว่า…ท่านคงเดาออกว่าหรงมามาไปทำสิ่งใดกระมัง”
มิน่าถึงต้อง ‘หลอก’ เขาออกมาจากเมืองหลวง
หมิงอันเอ่ยอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม “ข้าขี่ม้าตั้งแต่บ่ายจรดค่ำ ขี่จนเอวแทบหักกว่าจะไล่ตามพวกท่านทำ เจ็บจะตายแล้ว…”
จีหมิงซิวเปิดประตูห้องด้วยสีหน้าเย็นยะเยือก
หรงมามาที่เพิ่งเปิดประตูเดินผ่านมาตกใจสะดุ้งโหยง “โอ๊ะ คุณชาย ท่านเองหรือ เหตุใดท่านจึงอยู่ห้องนี้เล่า ผิดแล้วเจ้าค่ะ ห้องของท่านอยู่ด้านนั้น ข้าจะนำท่านไปเอง”
จีหมิงซิวไม่สนใจนาง พอก้าวออกจากประตูห้องได้ก็หมุนตัวเดินลงไปชั้นล่าง
หรงมามาตกใจ ส่งผ้าในมือให้สาวใช้ที่ติดตามอยู่แล้วไล่ตามลงไปชั้นล่าง “คุณชาย! คุณชายท่านจะไปที่ใด”
จีหมิงซิวเดินตรงไปยังคอกม้า แล้วโยนทองก้อนหนึ่งให้คนดูแลม้า คนดูแลม้าดีใจยิ่งนัก รีบจูงม้าที่ดีที่สุดตัวหนึ่งมาให้เขา จีหมิงซิวพลิกกายขึ้นหลังม้าทันที
หรงมามารั้งบังเหียนของเขาไว้ “คุณชาย! ดึกป่านนี้แล้วท่านจะไปที่ใด”
จีหมิงซิวปัดมือของนางออก แล้วหวดแส้ลงบนตัวม้า อาชาสูงใหญ่กรีดร้องครั้งหนึ่งก็ยกขาหน้า พุ่งออกไปดั่งลูกธนูหายลับไม่เห็นฝุ่น!
…
เพื่อแผนการใหญ่ในการยึดครองจวนอัครมหาเสบาดีให้ลูกน้อยที่ยังไม่เป็นตัวเป็นตนของตัวเอง เฉียวอวี้ซีจึงหิ้วอาหารมาที่ศาลาว่าการแต่เช้าตรู่
เจ้าเมืองแจ้งกับผู้คุมทั้งหลายแล้วว่าต้องดูแลสามแม่ลูกที่เพิ่งมาใหม่เมื่อวานเป็นพิเศษ ด้วยเหตุนี้พอได้ยินว่ามีญาติมาเยี่ยมจึงปล่อยให้เข้ามาอย่างง่ายดาย
เฉียวอวี้ซีใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดจมูก แล้วมองหาห้องขังของเฉียวเวยอย่างรังเกียจ เมื่อเห็นก็พบว่านางยังมีฟูกสะอาดใช้ ขณะที่ผู้อื่นล้วนไม่มี!
สตรีผู้นี้! ทำได้อย่างไร
“เจ้าไปเอาผ้าห่มมาจากที่ใด”
ห้องขังของเฉียวเวยไม่เพียงมีฟูกสะอาด ยังมีโต๊ะสี่เหลี่ยมตัวน้อยตัวหนึ่งกบเครื่องเขียนทั้งสี่แห่งห้องอักษรด้วย เด็กน้อยทั้งสองกำลังคุกเข่าอยู่หน้าโต๊ะสี่เหลี่ยมตัวน้อย คนที่คัดตัวอักษรก็กำลังคัดอักษร คนที่วาดรูปก็กำลังวาดรูป ตรงไหนเหมือนถูกจองจำในคุก มาเป็นแขกชัดๆ
คงไม่ใช่ใต้เท้าแอบเตรียมให้นางกระมัง ไม่ถูกสิ ใต้เท้าออกจากเมืองหลวงไปแล้ว มิทราบเรื่องที่นางเข้าคุกสักนิด แล้วจะส่งคนมาตระเตรียมทุกสิ่งให้นางได้เช่นไร
เมื่อฉุกคิดได้ เฉียวอวี้ซีก็โล่งใจ ขอเพียงไม่ใช่ใต้เท้าเป็นผู้จัดการ จะสนไปไยว่ามันมาอย่างไร
เฉียวเวยมองเฉียวอวี้ซีอย่างเฉยชา “คุณหนูเฉียวพาเรือนร่างอันสูงศักดิ์มาถึงสถานที่โกโรโกโสเช่นนี้ได้เช่นไร ไม่กลัวชายประโปรงตนเองเปื้อนหรือ”
เฉียวอวี้ซียกกระโปรงขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
เฉียวเวยมองไปที่เท้าของนาง “แมลงสาบ”
“กรี๊ด!” เฉียวอวี้ซีตกใจกระโดดตัวลอย แต่เมื่อกระโดดอยู่สองสามทีก็พบว่าบนพื้นไม่มีสิ่งใด จึงตระหนักได้ว่าตนเองถูกอีกฝ่ายกลั่นแกล้ง นางเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “ภัยมาเยือนศีรษะแล้วยังไม่รู้จักสำนึก เจ้าไม่กลัวข้าทำให้เจ้าต้องกินข้าวคุกทั้งชีวิตหรือ”
เฉียวเวยเอ่ยด้วยท่าทางสบายๆ “ประการแรกเจ้าต้องมีความสามารถทำให้ข้าอยู่ในคุกทั้งชีวิตให้ได้ก่อน”
เฉียวอวี้ซีสะอึก นางโต้คารมสู้สตรีผู้นี้มิได้จึงเชิดคางเอ่ยว่า “วันนี้ข้ามิได้จะมาโต้คารมกับเจ้า”
เฉียวเวยยิ้มเฉยเมย “ถ้าเช่นนั้นจะมาคิดบัญชีในอดีตกับข้าหรือ”
เฉียวอวี้ซีเอ่ยเหมือนเป็นเรื่องถูกต้องชอบธรรม “เจ้าตบข้าหนึ่งฝ่ามือ ข้าให้เจ้าเข้าไปอยู่ในคุก พวกเราถือว่าหายกันแล้ว”
เฉียวเวยก้มหน้ามองตัวอักษรของลูกชาย “เจ้าหายแล้ว แต่ข้าไม่”
เฉียวอวี้ซีเอ่ยอย่างดูแคลน “เจ้าอยู่ในคุกแล้ว ยังคิดจะทำอย่างไรอีก เจ้าคิดจริงหรือว่าตัวเองมีคุณสมบัติขันแข่งกับข้าอย่างยุติธรรม”
อารมณ์ของเฉียวเวยไม่กระเพื่อมแม้แต่น้อย “หมิงซิวจะช่วยข้าออกไป”
เฉียวอวี้ซีหัวเราะ “อย่าฝันไปเลย เขาถูกเหล่าฮูหยินพาออกจากเมืองหลวงไปแล้ว สามเดือนห้าเดือนไม่มีทางกลับมา”
แววตาของเฉียวเวยชะงักวูบหนึ่ง “ที่แท้ ก็ฝีมือเหล่าฮูหยิน”
เฉียวอวี้ซีเพิ่งตระหนักว่าตนเองถูกหลอกให้พูด สตรีนางนี้เจ้าเล่ห์เกินไปแล้ว จงใจวางกับดักให้นางตกหลุม ทำให้นางหลุดปากออกไปอย่างไม่รู้ตัว แต่ในเมื่อหลุดปากออกไปแล้วปิดบังต่อไปก็ไม่มีความหมาย “ฝีมือเหล่าฮูหยินแล้วอย่างไร เหล่าฮูหยินโกรธเจ้านัก ลั่นวาจาไว้ว่าจะไม่มีทางให้ฐานะอันใดกับเจ้า เจ้าอยากรักษาฐานะของวันนี้ไว้ มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้น นั่นคือขอร้องข้า”
เฉียวเวยอดกลั้นไม่ไหวจริงๆ ต้องหัวเราะออกมา
เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองมองมารดาคล้ายเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ จากนั้นก็มองคนที่ทำให้มารดาหัวเราะ
เฉียวอวี้ซีกำผ้าเช็ดหน้าแน่นแล้วเอ่ยว่า “เจ้าหัวเราะอันใด มีอะไรน่าขัน”
เฉียวเวยหัวเราะพลางเอ่ยว่า “ข้าไม่เคยเห็นคนโง่เง่าเช่นนี้มาก่อนจริงๆ เจ้าทำให้ข้าต้องเข้ามาอยู่ในคุก แต่กลับคิดว่าข้าจะยอมก้มหัวขอร้องเจ้าเพื่อผู้ชายคนหนึ่งหรือ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าข้าไม่ได้ยึดติดกับผู้ชายคนนี้ลึกซึ้งปานนั้น ต่อให้ใช่ ข้าก็ไม่มีวันทำเช่นนั้น”
การรักใครสักคนย่อมต้องการครอบครองทั้งหมดของเขา บุรุษที่นางต้องการ เขาต้องแต่งงานกับนางคนเดียวเท่านั้น หากต้องแบ่งปันกับผู้อื่น มิว่าเป็นภรรยาเอกหรือเป็นอนุภรรยา นางก็ไม่ยินดีทั้งสิ้น
เฉียวอวี้ซีไม่อาจเข้าใจความคิดของเฉียวเวย “ข้าให้ทางรอดเจ้าแล้ว เหตุใดเจ้าไม่รับ เจ้าคิดว่าใต้เท้าจะเนรคุณท่านย่าของตนเองเพื่อผู้หญิงข้างนอกคนหนึ่งจริงหรือ”
เฉียวเวยเอ่ยโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “ไม่ใช่ข้าคิดว่าเขาจะทำ พวกเจ้าต่างหาก”
รีบร้อนหลอกเขาออกจากเมืองหลวงก็เพื่อปิดบังหูตาของเขา หากเขาเชื่อฟังท่านย่าของตนทุกอย่างดังเช่นนางกล่าวจริง เหล่าฮูหยินไยต้องทำเช่นนี้เล่า
“นั่นก็เพราะ…”
เฉียวอวี้ซียังเอ่ยไม่ทันจบ ด้านนอกก็มีเสียงเครื่องประดับสตรีดังกรุ๋งกริ๋งขัดจังหวะ
“อยู่ที่ใด”
เป็นเสียงตวาดหวานของสตรี
ผู้คุมเรือนจำค้อมตัวก้มหัวเอ่ยว่า “ด้านในห้องที่สองจากท้ายขอรับ”
ระหว่างที่พูด ดรุณีน้อยอาภรณ์สีเหลืองผู้หนึ่งก็เดินมาถึงหน้าประตูเรือนจำ สาวน้อยดูแล้วอายุเพิ่งจะสิบห้าสิบหกปี ผิวขาวผ่อง เครื่องหน้างดงาม คิ้วทั้งสองข้างทั้งเข้มทั้งดูองอาจ ดั้งจมูกโด่งเป็นสัน เบ้าตาลึก หน้าตาดูคมเข้มกว่าสตรีจงหยวนอยู่บ้าง
เมื่อเห็นว่าในห้องขังมีสตรีอยู่สองนาง ใบหน้าเล็กจ้อยของดรุณีน้อยก็ถมึงทึง มือที่ถือแส้อยู่ยกขึ้นชี้ทั้งสองคน “พวกเจ้าสองคน ผู้ใดคือคนที่ทำร้ายพี่รองของข้า”
เฉียวอวี้ซีมองมาหานาง “ท่านคือคุณหนูจวนแม่ทัพหรือ”
ดรุณีน้อยเหล่มองนาง “เจ้าทำร้ายพี่รองของข้าหรือ”
เฉียวอวี้ซีส่ายหน้า “ไม่ใช่แน่นอน!”
ดรุณีน้อยตวาด “ถ้าเช่นนั้นเจ้าพูดขึ้นมาทำอะไร ข้าถามเจ้าหรือ”
เฉียวอวี้ซีเดิมคิดจะตีสนิทแต่กลับเตะเจอตอเบาๆ ช่างเสียหน้านัก! นางสะบัดแขนเสื้ออย่างกระอักกระอ่วนแล้วหมุนตัวจะเดินจากไป
ทันใดนั้นเฉียวเวยก็เอ่ยเรียกนาง “ขอบคุณที่เจ้ามาเยี่ยมข้านะ น้องเฉียว”
เฉียวอวี้ซีตัวแข็งทื่อ!
แส้ของดรุณีน้อยหวดลงบนประตูคุก บีบให้นางกลับมาในห้องขัง “เจ้าเป็นน้องสาวของนางหรือ นางทำร้ายพี่รองของข้า เจ้าก็คงมิใช่ตัวดีอันใด!”
เฉียวอวี้ซีเอ่ยแย้ง “ข้าไม่เกี่ยวข้องกับนาง!”
เฉียวเวยยิ้มแป้นมองไปยังดรุณีผู้ถือแส้ยาวผู้นั้น “เจ้าใจกล้าจริงนะ แม้แต่นางยังกล้ารังแก เจ้ารู้หรือไม่ว่าน้องเฉียวของข้าเป็นผู้ใด”
“นางเป็นผู้ใดแล้วเกี่ยวอันใดกับข้า” ดรุณีน้อยถาม
เฉียวเวยยิ้มจางๆ “นางชาติกำเนิดใหญ่โตนัก นางเป็นคุณหนูใหญ่ของจวนเอินปั๋ว”
ดรุณีน้อยส่งเสียงเชอะออกมา “จวนเอินปั๋วยอดเยี่ยมนักหรือ บิดาข้าคือแม่ทัพตัวหลัว! ยอดแม่ทัพผู้พิทักษ์แคว้นแห่งราชวงศ์ต้าเหลียง!”
ฝ่ายปกครองมีหมิงซิว ฝ่ายทหารมีตัวหลัว ราชวงศ์ต้าเหลียงผู้ใดมิรู้จักชื่อเสียงบิดาของนางบ้าง เพียงคุณหนูจวนปั๋วตัวเล็กๆ คนหนึ่งกล้ามาวางอำนาจต่อหน้านางหรือ ไม่รู้จักประมาณตน!
“นับตั้งแต่มีการก่อตั้งการสอบเสินถง ก็สามารถคัดเลือกต้นกล้าที่ควรค่าบ่มเพาะให้แก่ราชสำนักมาไม่น้อย ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีของราชวงศ์ต้าเหลียงเรา ยิ่นอ๋อง แม่ทัพตัวหลัว ล้วนเป็นผู้ได้อันดับหนึ่งในการสอบเสินถงแต่ละรุ่นทั้งสิ้น”
บิดาของนางก็คือแม่ทัพตัวหลัวที่ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยถึงนี่เอง เคยคิดว่าแม่ทัพตัวหลัว อัครมหาเสนาบดีและยิ่นอ๋องล้วนเป็นคนหนุ่มเยาว์วัยเหมือนกันเสียอีก ผู้ใดจะคิดว่าบุตรสาวโตเช่นนี้แล้ว
ดรุณีน้อยชี้ทั้งสองคนอย่างดุร้าย “พวกเจ้าสองคน เหตุใดจึงรังแกพี่รองของข้า”
เฉียวอวี้ซีเค้นรอยยิ้มออกมา “คุณหนูตัว ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้ากับนางมิใช่พวกเดียวกัน”
ดรุณีน้อยโกรธจนพองขน “ตัวบ้านเจ้าสิ! ข้าแซ่ตัวหลัว!”
เฉียวอวี้ซีหน้าแดงด้วยความอับอาย
เฉียวเวยหัวเราะพรืด
ดรุณีน้อยยกแส้ชี้ไปหาเฉียวเวย “เจ้าหัวเราะอะไร ห้ามเจ้าหัวเราะ!”
เฉียวเวยกลั้นเสียงหัวเราะแล้วเอ่ยอย่างเฉยเมย “ข้ามิได้หัวเราะคุณหนูตัวหลัว แต่หัวเราะที่น้องเฉียวของข้าไร้เดียงสาเกินไปแล้ว นำของอร่อยมากมายเช่นนี้มาเยี่ยมข้า คุณหนูตัวหลัวมิใช่คนโง่เสียหน่อย จะมองไม่ออกได้เช่นไรว่าพวกเราสองพี่น้องผูกพันกันลึกซึ้ง”
สีเลือดหดหายไปจากใบหน้าของเฉียวอวี้ซีในทันใด “เจ้าพูดจาเหลวไหล! ผู้ใดเป็นพี่น้องกับเจ้า”
เฉียวเวยถอนหายใจเบาๆ “น้องสาวคนดี เรื่องมาจนถึงตอนนี้ เจ้าอย่าปิดบังอีกเลย”
เฉียวอวี้ซีมองไปทางดรุณีน้อยแล้วอธิบายอย่างตั้งอกตั้งใจ “คุณหนูตัวหลัว ข้ากับนักโทษคนนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกันสักนิดจริงๆ! เมื่อวานข้าเป็นพยานให้จวนท่าน นางจึงถูกจับมาตัดสินคดี หากคุณหนูตัวหลัวไม่เชื่อ ลองกลับไปจวนท่าน ถามสาวใช้เมื่อวานดู นางเคยเห็นข้า”
เด็กสาวเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “เจ้าพูดจริงหรือ”
เฉียวอวี้ซีพยักหน้า “จริงแท้แน่นอน!”
ดรุณีน้อยเหลือบมองกล่องอาหารบนพื้น “ถ้าเช่นนั้นเจ้าเอาของมาเยี่ยมนางทำอะไร”
เฉียวอวี้ซีแววตาวูบไหว “ข้า…ข้าไม่ได้มาเยี่ยมนาง ข้าเห็นว่านางมีลูกสองคน ผู้ใหญ่ทำผิด แต่เด็กบริสุทธิ์ ข้าจึงทนเฉยมิได้”
คุณหนูตัวหลัวมองมาทางจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูที่กำลังคัดอักษรอยู่ที่โต๊ะสี่เหลี่ยมตัวน้อย ช่างเป็นเด็กน้อยที่หน้าตางดงามเหลือจะกล่าวจริงๆ ดวงตาคู่โตจ้องมองมาอย่างนิ่งสงบ มองดูนางอย่างไร้เดียงสาและงุนงง
“เจ้าตัวน้อย ข้าเคยพบเจ้าที่ไหนหรือไม่” ดรุณีน้อยจ้องตรงไปที่จิ่งอวิ๋น
จิ่งอวิ๋นมองนางด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกก่อนจะก้มหน้าคัดอักษรต่อ
คุณหนูตัวหลัวถูกเมินจนเสียหน้าจึงกระแอมเบาๆ ครั้งหนึ่งแล้วยืดตัวขึ้น จากนั้นก้มหน้ามองเฉียวเวยที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะตัวน้อย “ข้าตัวหลัวหมิงจูมิใช่คนไร้เหตุผล เจ้าทำร้ายพี่รองของข้า ให้ข้าทำร้ายเจ้าคืน ข้าก็จะปล่อยเจ้าไป”
เฉียวเวยเอ่ยเสียงราบเรียบ “เกรงว่าคุณหนูตัวหลัวคงไม่มีความสามารถนั้น”
ดรุณีน้อยยิ้มอย่างเอาแต่ใจ “ข้าเป็นถึงคุณหนูแห่งจวนแม่ทัพ คำพูดประโยคเดียวของพ่อข้าก็รับประกันได้ว่าเจ้าจะได้ออกจากคุกโดยไร้ความผิด!”
เฉียวเวยเปลี่ยนกระดาษให้บุตรชาย “ข้าหมายความว่า ท่านไม่มีปัญญาทำให้ข้าเจ็บ”
“ปากกล้านัก! ถ้าเช่นนั้นข้าก็ขอดูฝีมือของเจ้าหน่อย!”
ดรุณีน้อยกล่าวจบก็ยกแส้ยาวขึ้นฟาดกลางอากาศจนเกิดเสียงดัง ฟั่บ! ฟั่บ! แส้ยาวดั่งอสรพิษร้ายจ้องเอาชีวิตฉกเข้ามาหาเฉียวเวย ในอากาศคล้ายกับมีไอสังหารเบาบางลอยขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เฉียวเวยจ้องแส้ยาวที่นางเหวี่ยงเข้ามาตาไม่กะพริบ ขณะที่ปลายแส้กำลังจะฟาดมาถึงหน้าผากของตน นางพลันยื่นมืออกมาคว้าเอาไว้!
การทำงานในไร่มานานไม่เสียเปล่า เมื่อเทียบพละกำลังกับนางแล้ว คุณหนูตระกูลใหญ่ผู้อ้อนแอ้นคนนี้เรี่ยวแรงเบาหวิวเหลือเกิน
เฉียวเวยกระชากนิ่งๆ ครั้งหนึ่ง แส้ก็หลุดจากมือ ดรุณีน้อยถลาล้มคว่ำลงบนกองฟางในห้องขัง
เฉียวอวี้ซีตกใจจนหน้าซีด “เจ้าใจกล้านักนะ! แม้แต่คนของจวนแม่ทัพก็กล้าทำร้าย!”
“ไม่ทำนาง แล้วจะนั่งรอให้นางทำข้าหรือ” เฉียวเวยมองแม่นางตัวหลัวที่กำลังพยายามพ่นเศษฟางออกจากปาก “เรื่องเมื่อวานจวนแม่ทัพเป็นฝ่ายผิดก่อนแท้ๆ แต่จวนแม่ทัพกลับเชื่อคำโกหกโยนความผิดทุกอย่างมาใส่หัวพวกเราสามแม่ลูก แม่นางตัวหลัว แส้นี้ของท่าน ข้าไม่รับ!”
กล่าวจบก็โยนแส้ไปไว้ข้างแขนดรุณีน้อยอย่างแรง
ดรุณีน้อยโกรธจัด คว้าแส้มาหมายจะฟาดเข้ามาใส่เฉียวเวยอีกครั้ง เฉียวเวยอ้าปากบอก “ข้าขอแนะนำเจ้าว่าอย่างเสียแรงเลย วรยุทธ์แมวสามขานั่นของเจ้า แม้แต่เด็กน้อยยังชนะเจ้าได้”
ดรุณีน้อยปาดเศษฟางบนหน้าออก “เจ้าพูดเหลวไหล! ข้าวรยุทธ์ยอดเยี่ยมที่สุดในจวนของเรา! องครักษ์ที่บิดาข้าเชิญมาล้วนสู้ข้าไม่ได้! เมื่อครู่…เมื่อครู่ต้องเป็นเพราะเจ้าใช้กลโกงอันใดแน่!”
วั่งซูวาดรูปเสร็จแล้ว เฉียวเวยลูบศีรษะนางอย่างอ่อนโยนแล้วเปลี่ยนกระดาษแผ่นใหม่ให้ “หากเจ้าไม่ใช่คุณหนูผู้สูงศักดิ์ ก็ลองดูสิว่าพวกเขาจะแพ้ให้เจ้าหรือไม่”
เฉียวอวี้ซีประคองดรุณีน้อยขึ้นมา เด็กสาวผลักนางออกอย่างรำคาญ “ออกไปนะ! พวกเจ้าล้วนเป็นพวกเดียวกัน!”
“ข้ากับนางมิใช่พวกเดียวกัน คุณหนูตัวหลัวท่านเชื่อข้า!”
ดรุณีน้อยมิเชื่อนาง นางมีตา มองดูเองได้ ตอนนางเดินเข้ามา สองคนนี้นั่งสนทนาอยู่ด้วยกัน คุยกันอย่างที่เรียกว่าสนิทสนมนัก บอกว่าไม่ใช่พี่น้องที่รักกันคงไม่มีใครเชื่อ!
ดรุณีน้อยชี้หน้านาง แล้วเอ่ยอย่างเย็นชา “คุณหนูใหญ่จวนเอินปั๋วใช่หรือไม่ ดี เจ้ารอดู รอข้าจัดการนางแล้วจะมาจัดการเจ้าทีหลัง!”
เฉียวอวี้ซีโกรธจนกระทืบเท้า! หากรู้ก่อนว่าจะเป็นเช่นนี้ นางคงไม่มาหานังตัวซวยคนนี้แล้ว คราวนี้เป็นอย่างไร ล่วงเกินคุณหนูจวนแม่ทัพเข้าให้ ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีกับเหล่าฮูหยินก็ไม่อยู่ ผู้ใดจะหนุนหลังนางเล่า
ดรุณีน้อยหันหน้าไปมองผู้คุมเรือนจำด้านนอก “เจ้า ออกไปเรียกองครักษ์ของข้ามา! ข้าจะพาสตรีผู้นี้กลับจวนแม่ทัพ! โยนเข้าคุกน้ำ สอบสวนด้วยตัวเอง!”
“เจ้าจะจับใครเข้าคุกน้ำ”
ทันใดนั้นเสียงทุ้มต่ำทรงอำนาจก็ดังขึ้น
ทุกคนหันไปมองต้นเสียงก็เห็นจีหมิงซิวผู้มอมแมมเปื้อนฝุ่นเดินเข้ามาจากจุดที่แสงตะวันตัดกับเงาดำ
เฉียวเวยลุกขึ้นยืนอย่างอึ้งๆ
เฉียวอวี้ซีดวงตาเป็นประกายขึ้นมาอีกครั้ง ใต้เท้ามาแล้ว ใต้เท้ามาช่วยนางแล้ว…
จีหมิงซิวก้มตัวเดินเข้ามาในห้องขัง เขาไม่แม้แต่จะเหลือบมองเฉียวอวี้ซี เดินตรงมาเบื้องหน้าเฉียวเวย รีบเร่งเดินทางมาทั้งคืน หน้าตาออกจะดูไม่ได้อยู่บ้าง “ขออภัย มาช้าเสียแล้ว