บทที่ 274 เจ้าจะง้อข้าหรือไม่

พลิกชะตาหมอยา

พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 274 เจ้าจะง้อข้าหรือไม่

เหลียนซินยังอยากพูดอะไรบางอย่างอีก แต่จ้านเป่ยเซียวได้เดินมาถึงที่ศาลาเรียบร้อยแล้ว เขามองดูแก้มที่แดงระเรื่อและแววตามึนงงของเฟิ่งชิงหัว จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย : “เมาแล้วหรือ ?”

“อืม”

“เปล่า”

เฟิงชิงหัวกับเหลียนซินพูดต่างก็พูดขึ้นพร้อมกัน

จ้านเป่ยเซียนจ้องมองเหลียนซินอย่างไม่สบอารมณ์ ทำให้เหลียนซินตกใจจนแทบหยุดหายใจ และเสียวสันหลังขึ้นมา

แต่เฟิ่งชิงหัวกลับไม่สนใจสีหน้าอันเย็นชาของจ้านเป่ยเซียว นางหันไปกวักมือเรียกจ้านเป่ยเซียว : “มานี่เร็ว มานี่เร็ว”

จ้านเป่ยเซียวหยุดมอง แล้วเดินเข้าไปนั่งลงข้าง ๆ เฟิ่งชิงหัว จากนั้นจึงขมวดคิ้วแล้วจ้องมองนาง : “ดื่มเหล้าไม่ได้แล้วยังจะดื่มมากขนาดนั้นอีก ?”

เฟิ่งชิงหัวยกมือขึ้นโอบเอวจ้านเป่ยเซียว แล้วพิงตัวลงบนไหล่ของเขา มุ่ยปากแล้วพูดขึ้นว่า : “ต้องโทษเหลียนซิน นางบอกว่านั้นคือเหล้าผลไม้ ดื่มแล้วไม่เมา”

ตอนที่หญิงสาวพูด ก็มีกลิ่นหอมจาง ๆ ของดอกท้อลอยออกมาจากปาก พร้อมไอร้อนเล็กน้อย พัดผ่านต้นคอและใบหูของจ้านเป่ยเซียวไป

เหลียนซินได้ยินดังนั้นก็เหงื่อตก รู้สึกกลัวจนตัวสั่นงันงก แทบจะคุกเข่าลงไปกับพื้น

ไม่รู้ว่าตกใจเพราะพฤติกรรมอันใจกล้าของนาง หรือตกใจเพราะคำพูดของนางกันแน่

จ้านเป่ยเซียวก้มหน้าลง จ้องมองริมฝีปากแดงระเรื่อของนาง และดวงตาสีเข้ม

“รู้ไหมว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ ?” จ้านเป่ยเซียวพูดขึ้นอย่างสุขุม มือทั้งสองข้างที่วางอยู่บนตักค่อย ๆ กำแน่นขึ้น

เฟิ่งชิงหัวเอียงศีรษะไปอีกข้างหนึ่ง แล้วยิ้มอย่างมีเสน่ห์พลางพูดว่า : “รู้สิ ข้ากำลังกอดท่านอยู่”

หลังจากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดขึ้นอีกว่า : “เมื่อครู่ตอนอยู่ในตำหนักใหญ่ พวกเขาต่างพูดว่า ข้าลวนลามท่าน อยากให้พวกเขามาเห็นจริง ๆ เลยว่า แบบไหนที่เรียกว่าลวนลาม”

ลูกกระเดือกของจ้านเป่ยเซียวขยับขึ้นลง เสียงเริ่มทุ้มยิ่งขึ้น : “เจ้าคิดจะลวนลามข้าหรือ ?”

เฟิ่งชิงหัวยืดตัวตรง แล้วจ้องมองจ้านเป่ยเซียว : “หากข้าลวนลามท่านจริง ๆ ล่ะ ? ท่านจะทำร้ายข้าเหมือนอย่างที่พวกเขาพูดกันหรือไม่ ?”

“เช่นนั้นก็ต้องดูว่า เจ้าคิดจะลวนลามอย่างไร” น้ำเสียงของจ้านเป่ยเซียวเกือบจะฟังดูเย้ายวน

เฟิ่งชิงหัวยกมือขึ้นปิดปากแล้วหัวเราะ ดวงตาทั้งสองข้างโค้งจนเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว สูญเสียความเฉลียวฉลาดและความสงบนิ่งอย่างที่เคยมีมา เหมือนกับเด็กน้อยตัวเล็ก ๆ ที่ไร้เดียงสาคนหนึ่ง

ทว่าในวินาทีต่อมา จู่ ๆ เฟิ่งชิงหัวก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นจับแก้มของจ้านเป่ยเซียว จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นจุมพิตลงบนริมฝรปากเรียวบางของชายหนุ่ม

เหลียนซินตกใจจนยืนตะลึงงัน และนั่งฟุบลงกับพื้นทันที

เมื่อเฟิ่งชิงหัวได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว ก็หันกลับไปแล้วก้มหน้าลงมองนางด้วยความสงสัย : “เหลียนซิน ไม่มีใครใช้ให้เจ้าทำความเคารพเสียหน่อย ทำไมเจ้าถึงคุกเข่าลงเสียล่ะ ?”

“หม่อมฉัน หม่อมฉัน ขาอ่อนเพคะ” เหลียนซินพูดจาตะกุกตะกัก

ส่วนจ้านเป่ยเซียวกลับมองนางด้วยสายตาเย็นชา

เหลียนซินรวบรวมความกล้า และคุกเข่ายืดตัวตรง : “ท่านอ๋องทรงโปรดอภัยด้วย องค์หญิงทรงกำลัง ทรงกำลังเมาหนัก จึงได้เลอะเลือนไปชั่วขณะ จนล่วงเกินท่านอ๋องเข้า ข้อท่านอ๋องทรงโปรดละเว้นนางด้วยเพคะ”

“นางกำนัลอย่างเจ้า คิดจะมาสั่งสอนข้าว่าต้องทำอะไรอย่างนั้นหรือ ?” น้ำเสียงของจ้านเป่ยเซียวดุดัน เต็มไปด้วยความไม่พอใจ

เฟิ่งชิงหัวจ้องมองจ้านเป่ยเซียว จากนั้นจึงยื่นมือออกไปสะกิดตรงหว่างคิ้วของเขา : “อย่าคิดว่าท่านสวมหน้ากาก แล้วข้าจะไม่รู้นะว่าท่านกำลังขมวดคิ้วอยู่ ! ห้ามขมวดคิ้วเด็ดขาด น่าเกลียดจะตายไป !”

จ้านเป่ยเซียวมองดูนางที่กำลังยืนโซเซอยู่ตรงหน้าของตนเอง ก็ยื่นมือออกไปโอบเอวของนางอย่างจนใจ : “ยืนให้นิ่งสิ”

“อ้อ” เฟิ่งชิงหัวยืดตัวตรง มือข้างหนึ่งพาดอยู่บนไหล่ของจ้านเป่ยเซียว จากนั้นก็หันกลับไปมองเหลียนซินอีกครั้ง : “เหลียนซิน เจ้าลุกขึ้นเถอะ ไม่ต้องคุกเข่าอยู่บนพื้นหรอก เขาไม่ใช่พวกกินคนเสียหน่อย”

ตอนนี้เหลียนซินรู้สึกกลัวจนตัวสั่น และไม่รู้สึกขำกับคำพูดติดตลกของนางเลยสักนิด

“ออกไป” จ้านเป่ยเซียวออกคำสั่ง

เหลียนซินทำสีหน้างุนงง แต่ทว่า ขณะที่กำลังเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นพฤติกรรมของทั้งสองคนที่อยู่ตรงหน้า

มือข้างหนึ่งของชายหนุ่มกำลังโอบเอวของหญิงสาวเอาไว้ แสดงความเป็นเจ้าของอย่างเต็มที่ ส่วนหญิงสาวก็พิงตัวอยู่บนไหล่ของชายหนุ่มตามสบาย

ท่าทางที่ดูคุ้นเคยเช่นนั้นไม่เหมือนรังเกียจ แต่เหมือนว่าคุ้นชินกับพฤติกรรมเช่นนี้

ทันใดนั้นเหลียนซินก็ค้นพบความลับบางอย่างที่น่าตกใจ

เมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตำหนักใหญ่อย่างละเอียด

ตอนนั้นพฤติกรรมระหว่าง “องค์หญิง” กับอ๋องเจ็ด ดูเหมือนมีบางอย่างที่ไม่ธรรมดา หรือว่า อ๋องเจ็ดที่ผู้คนภายนอกร่ำลือกันว่าไร้ความรู้สึกและตายด้านนั้น ที่แท้ก็มีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ ?

สีหน้าของเหลียนซินยังคงแสดงออกถึงความไม่เชื่อ นางค่อย ๆ ลุกยืนขึ้นจากพื้นอย่างงุนงง แล้วเดินออกจากศาลาไป

เฟิ่งชิงหัวจ้องมองจ้านเป่ยเซียว : “ท่านทำตัวน่าตกใจจริง ๆ”

“ทำให้เจ้าตกใจอย่างนั้นหรือ ?”

“เปล่าหรอก”

“ในเมื่อไม่ได้ทำให้เจ้าตกใจ แล้วจะไปสนใจอะไรมากนัก ?”

เฟิ่งชิงหัวยกมือขึ้นสะกิดไหล่ของจ้านเป่ยเซียว : “ท่านทำให้คนของข้าตกใจ !”

“นางเป็นคนของเจ้า ถ้าเช่นนั้นข้าเป็นอะไรของเจ้า ?” จ้านเป่ยเซียวจ้องมองเฟิ่งชิงหัว และแอบรออย่างมีความหวัง

“ท่านคือที่พึ่งพิงของข้า” เฟิ่งชิงหัวพูดด้วยรอยยิ้ม

จ้านเป่ยเซียวแอบผิดหวังอยู่ในใจ แล้วพูดขึ้นอย่างเรียบเฉยว่า : “อย่างนั้นหรือ ?”

เฟิ่งชิงหัวเดินโซเซไปมาแล้วนั่งลงที่เดิม ยกมือทั้งสองข้างกุมแก้มแล้วจ้องมองจ้านเป่ยเซียว : “ทำไมจู่ ๆ ท่านก็เศร้าไปเสียแล้ว”

“เปล่า”

“มีสิ”

“เปล่า”

“ข้าบอกว่ามีก็มีสิ ท่านโกรธแล้ว !” เฟิ่งชิงหัวลากเสียงยาว แล้วจ้องมองจ้านเป่ยเซียว

จ้านเป่ยเซียวหัวเราะร่า ตนเองจะมัวถือสาอะไรกับคนเมากัน จากนั้นจึงลูบหัวของเฟิ่งชิงหัว : “ก็ได้ ข้าโกรธแล้ว ถ้าเช่นนั้นเจ้าจะง้อข้าหรือไม่ ?”

เฟิ่งชิงหัวไม่ถามต่อว่าทำไมเขาถึงโกรธ แต่กลับเริ่มครุ่นคิดอย่างจริงจัง จู่ ๆ นางก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา : “ท่านมากับข้า !”

ขณะที่พูด ก็จูงมือของจ้านเป่ยเซียวเดินออกจากศาลาไป

จ้านเป่ยเซียวจ้องมองด้านหลังของนาง แล้วยิ้มมุมปากขึ้นมาเงียบ ๆ

ทว่า ความรู้สึกตื่นเต้นดีใจของจ้านเป่ยเซียวอยู่ได้เพียงไม่นานนัก ก็ต้องหมดอารมณ์ลงอย่างรวดเร็ว

เพราะยัยตัวแสบเฟิ่งชิงหัว กลับพาเขาปีนขึ้นมาบนหลังคาของห้องพระเครื่องต้นเพื่อขโมยของ !

ตอนนี้ทั้งสองกำลังเปิดศึกชักเย่อกันอยู่บนหลังคาของห้องพระเครื่องต้น ทั้งสองยืนอยู่คนละข้างโดยไม่มีใครยอมใคร

“เฟิ่งชิงหัว เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ ที่นี่คือวังหลวง ไม่ใช่ร้านอาหารข้างทาง หากถูกใครพบเข้าละก็ เจ้าอยากให้ข้าถูกผู้คนหัวเราะเยาะหรืออย่างไร ?” จ้านเป่ยเซียวโกรธจนหน้าเขียว

“จุ๊ ๆ หากท่านเสียงดังอีกนิด ทุกคนก็จะรู้กันหมด” ยื่นนิ้วออกไปอุดริมฝีปากของจ้านเป่ยเซียวเอาไว้

“เจ้าอยากกินอะไร ข้าจะสั่งให้คนไปยกมาให้เจ้า ทำไมจะต้องทำตัวเป็นพวกหัวขโมยเช่นนี้ด้วย” ชั่วชีวิตของจ้านเป่ยเซียว ยังไม่เคยทำเรื่องที่น่าอับอายเช่นนี้มาก่อนเลย

“ข้าไม่เอา ที่ข้าพาท่านมาก็เพื่อจะทำให้ท่านมีความสุข” เฟิ่งชิงหัวส่ายหน้า แสดงสีหน้าจริงจัง หากไม่ใช่เพราะตอนนี้แววตาของนางยังดูคลุมเครืออยู่ จ้านเป่ยเซียวต้องสงสัยว่านางกำลังล้อเขาเล่นอยู่อย่างแน่นอน

“มีความสุข ? มีอะไรที่ควรค่าแก่การมีความสุขได้กัน” จ้านเป่ยเซียวกลอกตาอย่างน่าเกลียดด้วยความเบื่อหน่าย

เฟิ่งชิงหัวขมวดคิ้วแล้วพูดว่า : “แต่ว่าเมื่อก่อน หากข้าสามารถขโมยของกินมาได้ ข้าก็จะมีความสุขมาก หากสามารถขโมยไก่ได้หนึ่งตัว ปลาหนึ่งตัว ข้าก็จะยิ่งมีความสุขมากขึ้นอย่างยิ่ง”

คำพูดนี้ เมื่อจ้านเป่ยเซียวได้ยินแล้วก็รู้สึกไม่สบายใจ

เมื่อก่อนนางต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากขนาดไหนกัน

“ท่านจะขโมยหรือไม่ขโมย ? หากท่านไม่ขโมยข้าจะไปเอง ข้าจะไปหาความสุขใส่ตัวคนเดียว ไม่พาท่านไปสนุกด้วยกันแล้ว” เฟิ่งชิงหัวพูดพลางสะบัดมือของจ้านเป่ยเซียวออก แล้วทำทีท่าว่าจะกระโดดลงไปเอง

จ้านเป่ยเซียวรีบยื่นมือออกไปรั้งนางไว้ หากปล่อยให้คนเมาอย่างนางลงไป ทำตัวซุ่มซ่ามขึ้นมา ไม่แน่ว่าอาจถูกคนพบเข้าจริง ๆ

“ข้าจะลงไปเอง เจ้าคอยดูต้นทางเอาไว้” จ้านเป่ยเซียวพูดอย่างจนใจ