บทที่ 255 อาหารค่ำในครอบครัว
บทที่ 255 อาหารค่ำในครอบครัว
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกลับมาที่ป้อม และติดต่อไปยังโทรศัพท์ภายในคฤหาสน์
อีกด้าน ฮันเอินจีจิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว เธอรู้ว่าพี่ชายคนโตและพี่รองจะต้องตรวจดีเอ็นเอไปแล้วแน่ ๆ เพียงแค่ไม่รู้ว่าผลลัพธ์เป็นอย่างไร
งานเลี้ยงเพื่อการกุศลในวันนั้น ฮันเอินจีแอบเปลี่ยนเส้นผมของซูโย่วอี๋ให้เป็นเส้นผมของตัวเอง และคิดหามาตรการรับมือเอาไว้แล้ว
ถ้าผลการตรวจดีเอ็นเอเป็นเรื่องจริง เธอจะต้องโวยวาย พร้อมตั้งคำถามถึงความถูกต้องของการระบุตัวตนและขอให้ตรวจใหม่
แต่ถ้าผลการตรวจดีเอ็นเอออกมาว่าปลอม… ฮันเอินจีก็จะสามารถทำลายความสงสัยของพี่ใหญ่ได้ และทำให้พวกเขาไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้อีกตลอดไป
เรื่องที่ว่าซูโย่วอี๋ใช่ลูกสาวของตระกูลฮันหรือไม่นั้นมันไม่สำคัญเลย…
เมื่อก่อนฮันเอินจีคือลูกสาวของพวกเขา ตอนนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น และในอนาคตเธอก็ยังคงเป็นเจ้าหญิงเพียงคนเดียวของตระกูลฮัน!
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ทำให้ฮันเอินจีตกใจจนตัวสั่น เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและพูดด้วยน้ำเสียงสั่น “ฮันเอินจีพูดสายอยู่ค่ะ”
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคิดไม่ถึงว่าจะไม่ใช่คนรับใช้ พอได้ยินเสียงคุณหนูฮันก็รีบยืนตรงในทันที ต่อให้อีกฝ่ายจะมองไม่เห็นก็ตาม
”คุณหนูฮันครับ มีคุณผู้หญิงท่านหนึ่งบอกว่าได้รับเชิญจากตระกูลฮันให้มาเข้าร่วมกินอาหารค่ำในครอบครัวครับ”
ฮันเอินจีขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ “ฉันไม่เห็นได้ยินมาก่อนเลย เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอย่างพวกคุณทำอะไรกันอยู่? คนอื่นบอกว่าใช่ก็ใช่งั้นเหรอ? ไล่เธอไปเลย”
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยขี้ขลาดมาก จึงไม่กล้าคัดค้านคำสั่งใด ๆ
“เดี๋ยวก่อน”
ฮันเอินจีตะโกนขึ้น “เธอชื่ออะไร?”
“รอสักครู่นะครับ ผมจะรีบไปถามให้”
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยวิ่งมาที่หน้ารถ “คุณผู้หญิงครับ คุณชื่ออะไรครับ?”
“ซูโย่วอี๋ค่ะ”
ปลายสายอย่างฮันเอินจีนึกว่าตัวเองฟังผิดไป “เธอบอกว่าเธอชื่ออะไร?”
“คุณซู ซูโย่วอี๋ครับ” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพูดขึ้นอีกครั้ง
ฮันเอินตีบีบโทรศัพท์ในมือแน่น เธอไม่ได้พูดอะไรแต่ก็ไม่ได้วางสายไปด้วย
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยนิ่งไป “คุณหนูฮัน ยังอยู่ไหมครับ? คุณจะให้จัดการกับทางนี้ยังไงดีครับ?”
ผ่านไปสักพัก ฮันเอินจีจึงตอบกลับอย่างเย็นชา “พวกเราไม่ได้เชิญเธอมา รีบให้เธอออกไปซะ”
หลังจากนั้นเสียงก็เงียบไปแล้ว
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพูดพร้อมกับท่าทางขอโทษ “คุณซู คุณหนูฮันบอกว่าคืนนี้ไม่ได้เชิญแขกมา คุณ…”
“ฮันเอินจีเหรอคะ?”
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพยักหน้า
เมื่อเห็นซูโย่วอี๋ถูกปฏิบัติเช่นนี้ก็ทำให้เหมยเหมยโกรธขึ้นมา “คุณซูคือคนที่ประธานฮันอย่างฮันเจ๋อเหยียนเชิญมาด้วยตัวเอง คุณหนูฮันจะไม่รู้เรื่องนี้ก็ไม่แปลก”
อีกอย่างจะเชิญหรือไม่ได้เชิญ ฮันเอินจีกับซูโย่วอี๋ก็รู้จักกัน แต่กลับไล่คนอื่นไปแบบนี้ ไร้มารยาทจริง ๆ
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความลำบากใจ “คุณหนูฮันให้พวกคุณรีบกลับไป ถ้าผมปล่อยให้พวกคุณเข้าไป ผมคงจะโดนไล่ออกจากงานแน่ ๆ ครับ”
“ผมก็เป็นแค่คนทำงานธรรมดา ไม่สามารถตัดสินใจแทนเจ้านายได้”
เหมยเหมยยังอยากจะพูดต่อแต่ก็ถูกซูโย่วอี๋หยุดไว้ “ขอโทษค่ะที่รบกวนคุณ”
พูดจบเธอก็มองไปที่คนขับรถ “คุณคนขับ พวกเราไปกันเถอะค่ะ”
คนขับรถขยับรถในทันที เขากลับรถและขับกลับไปยังทางที่ขับมา
เหมยเหมยหงุดหงิด “คุณควรจะติดต่อหาประธานฮันสิ เห็นกันชัด ๆ ว่าคุณหนูฮันไม่ชอบคุณ”
“เธอดูออกด้วยเหรอ?”
“ใครบ้างที่ดูไม่ออก? ปกติเวลาเจอกันสีหน้าก็ไม่ค่อยดี ตอนประมูลก็ยังจะแย่งแหวนกับคุณอีก ถ้าจะให้อธิบายก็คือความนิยมและชื่อเสียงในปัจจุบันของคุณอยู่เหนือกว่าเธอมาก”
ซูโย่วอี๋เพียงแค่พยักหน้าเบาๆ “เรื่องพวกนี้ไม่สำคัญหรอก”
สิ่งสำคัญก็คือ ทำไมฮันเจ๋อเหยียนถึงเชิญเธอไปรับประทานอาหารค่ำกับตระกูลฮันด้วย?
ก่อนหน้านี้ เขายังโกหกเธออีกว่าเขาเชิญแขกมาหลายคน…
เธอมีค่าอะไรที่ทำให้ฮันเจ๋อเหยียนถึงกับต้องโกหกเธอกันนะ
เมื่อคิดไม่ออก ซูโย่วอี๋จึงเลิกคิดไป “อาหารค่ำในครอบครัวแบบนี้ ฉันจะเข้าไปด้วยก็คงไม่เหมาะ พวกคุณเองก็ได้เลิกงานก่อนเวลา ไม่ดีใจเหรอ?”
เหมยเหมยพูดอย่างเบื่อ ๆ “นี่มันใช่เรื่องไหมคะ?”
ระหว่างการสนทนา คนขับรถเบรกรถอย่างกะทันหัน ตัวของซูโย่วอี๋พุ่งไปข้างหน้าตามแรงจนเกือบจะชน
พอเหมยเหมยทรงตัวได้ จึงรีบตรวจสอบดูร่างกายของซูโย่วอี๋ “พี่ซู คุณไม่เป็นไรใช่ไหม”
น้ำเสียงหงุดหงิดของคนขับดังขึ้น “ขอโทษครับคุณซู ตอนแรกก็ขับรถมาอยู่ดี ๆ แล้วก็มีรถขับมาขวางทางผม”
ซูโย่วอี๋เงยหน้าขึ้น เธอเห็นฮันเจ๋อเหยียนเดินลงมาจากรถคันใหญ่สีดำ
เขาเดินเข้ามาและเปิดประตูรถออก สายตาจับจ้องมาที่เธอ “คุณซู ขอโทษที่เสียมารยาทนะครับ”
“เมื่อครู่คุณไปที่บ้านตระกูลฮันมาแล้วเหรอ?”
คนหนึ่งนั่ง คนหนึ่งยืน ซูโย่วอี๋รู้สึกว่าพูดคุยกันไม่ค่อยสะดวก จึงก้าวออกมาจากรถ แต่ไม่รู้ว่าเป็นสาเหตุมาจากการชนเมื่อกี้หรือเปล่า สายตาของเธอจึงพล่าเบลอ ฮันเจ๋อเหยียนต้องรีบเข้ามาพยุงเธอ
พอเหมยเหมยเห็นภาพนี้ แย่แล้ว!
มีคนเข้ามายุ่งกับคนของประธานลู่ต่อหน้าเธอ เธอจึงพุ่งตัวลงมาจากรถด้วยความเร็วแสง หลังจากนั้นก็ดึงตัวซูโย่วอี๋ออกมาจากมือของฮันเจ๋อเหยียน
“ประธานฮัน ฉันดูแลพี่ซูเองค่ะ”
สายตาของฮันเจ๋อเหยียนฉายให้เห็นถึงความเป็นกังวล “กลับบ้านกับผมเถอะ ไปให้หมอดูอาการ”
ซูโย่วอี๋รู้สึกดีขึ้นแล้ว “ไม่ต้องค่ะ คุณมาหาฉันมีธุระอะไรหรือเปล่า?”
“ตอนนี้คุณซูจะกลับบ้านแล้วเหรอครับ? พวกเรานัดกันแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะมาเจอกันที่บ้านตระกูลฮัน?”
“ประธานฮัน เมื่อครู่นี้ฉันพึ่งรู้ว่ามื้ออาหารค่ำคืนนี้มีแค่คนในครอบครัว”
สายตาของซูโย่วอี๋เฉียบคม
ฮันเจ๋อเหยียนมองไปที่คิ้วและดวงตาอันคุ้นเคยของเธอ ในใจกลับอดคุ้นเคยไม่ได้ เขาพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “ผมโกหกคุณ เพราะก่อนหน้านี้เจ๋อหยางเอาแต่วุ่นวายกับพ่อแม่เรื่องขอให้คุณมาเป็นลูกสาวบุญธรรม พ่อกับแม่ก็เลยสงสัยและอยากพบคุณ ผมจึงเลือกสถานที่เป็นบ้านตระกูลฮันน่ะ”
ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง
ซูโย่วอี๋ครุ่นคิด “คุณไม่จำเป็นต้องพยายามมากขนาดนี้ แค่บอกฉันมาตรง ๆ ก็ได้”
“หกโมงแล้ว คุณนั่งรถไปพร้อมกับผมเถอะ ให้พวกเขากลับไปก่อน”
เหมยเหมยไม่เห็นด้วยในทันที “ประธานฮัน ประธานลู่ให้พวกเราติดตามคุณซูตลอดเวลาค่ะ”
จะล้อกันเล่นหรืออย่างไร ชายหญิงอยู่ด้วยกัน เธอจะกล้าวางใจให้ซูโย่วอี๋ไปกับฮันเจ๋อเหยียนได้อย่างไร
ฮันเจ๋อเหยียนลดสายตาลง “อาหารค่ำในครอบครัว… ไม่สะดวกให้คนนอกเข้าร่วม”
เรื่องบางเรื่องก็ไม่สามารถให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องรู้ได้
เหมยเหมยกลับไม่ยอม “ถ้างั้นพวกเราจะรออยู่ด้านนอกคฤหาสน์”
ซูโย่วอี๋ไม่ได้คิดอะไรมาก หากว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจริง ๆ เธอก็ยังมีสุนัขจิ้งจอกอยู่ด้วย
“เหมยเหมย เธอกลับไปก่อนเถอะ”
“พี่ซู นี่คือหน้าที่ของพวกเรา อย่าทำให้พวกเราลำบากใจเลยนะคะ”
ซูโย่วอี๋กระแอม เธอรู้ว่าเหมยเหมยกำลังเล่นเกมให้ฮันเจ๋อเหยียนดู แต่เธอเองก็ไม่สามารถเปิดเผยได้
ทันใดนั้นฮันเจ๋อเหยียนก็รีบตกลง “ตกลง รบกวนพวกคุณด้วยนะ”
ซูโย่วอี๋ขึ้นรถของฮันเจ๋อเหยียน รถตรงเข้าไปที่โรงจอดรถ ส่วนเหมยเหมยและคนขับรถก็รออยู่ที่ด้านนอกคฤหาสน์
บ้านตระกูลฮัน
คุณชายฮันและคุณนายฮันเปลี่ยนเป็นชุดอยู่บ้านสบาย ๆ ส่วนฮันเจ๋อหยางกับฮันเอินจีก็กำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่บนโซฟา
“บอกไปแล้วว่านัดหกโมงไม่ใช่เหรอ? ทำไมเจ๋อเหยียนยังไม่กลับมาอีก?”
“งานของพี่ใหญ่ยุ่งจะตาย ไม่เหมือนผมกับน้องสาวที่ไม่มีอะไรทำ วัน ๆ เอาแต่อยู่เป็นเพื่อนพ่อกับแม่ไง”
คุณนายฮันยิ้มจนตาหรี่ “นี่ ฟังที่ลูกชายคุณพูดสิ เหมือนสาวขี้หึงเลย”
เธอมองไปที่ลูกสาวของเธอที่นั่งเงียบ ๆ “เอินจี มีเรื่องอะไรในใจหรือเปล่า?”
ฮันเอินจียิ้มขึ้นมา “ไม่มีค่ะ หนูแค่เป็นห่วงพี่ใหญ่ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรหรือเปล่า”
ด้านนอกมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น ในที่สุดคุณชายฮันก็ไม่ต้องเอาแต่ดูละครน้ำเน่าอยู่กับภรรยาและลูก ๆ แล้ว เขาลุกขึ้นมาทันที “ดูเหมือนจะกลับมาแล้ว ผมไปดูหน่อยละกัน”
ด้วยน้ำเสียงจริงจังนั้น
ทำให้คุณนายฮันรู้ว่าสามีของตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ “ชั่วชีวิตนี้คงยากมากที่จะให้คุณดูโทรทัศน์เป็นเพื่อนฉันสักหน่อยน่ะนะ”
เมื่อเห็นฮันเจ๋อเหยียนผลักประตูก็พูดขึ้น “โอเค กินข้าวกันเถอะทุกคน ป้าจาง จัดอาหารได้”
แต่ทุกคนต่างก็มองเห็นว่าด้านนอกประตูยังมีผู้หญิงอีกคนหนึ่งเดินเข้ามา
รูปร่างอันโดดเด่น ท่าทางอันสง่างาม
พอคุณชายฮันที่อยู่ใกล้มากที่สุดเห็นซูโย่วอี๋ ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ “เจินเจิน?”
เจินเจินคือชื่อเล่นของคุณนายฮัน
แต่เพราะคุณนายฮันถูกคุณชายฮันบังอยู่ จึงคิดว่าสามีกำลังเรียกเธอ “มีอะไรเหรอคะ?”
ฮันเอินจีตะโกนลั่นเมื่อเห็นคนที่เข้ามา “ทำไมเธอถึงมาที่นี่ได้?”
ใบหน้าของหญิงสาวดูตกใจและโกรธเกรี้ยว
ฮันเจ๋อเหยียนมองไปที่เธอด้วยความนิ่งสงบ “เธอใช่ไหมที่ให้คุณซูกลับไป?”
แม้เขาจะใช้น้ำเสียงราบเรียบแต่กลับเต็มไปด้วยความกดดัน
ในใจของฮันเอินจีตื่นตระหนก “พี่ใหญ่ นี่คือเวลาของครอบครัวนะ พี่พาเธอมาทำไม?”
ฮันเจ๋อเหยียนไม่ได้ตอบกลับ แต่กลับพาซูโย่วอี๋ไปหาพ่อกับแม่ “คุณซู นี่คือ… พ่อกับแม่ของผมครับ”
ทุก ๆ คนที่อยู่ตรงนั้นต่างก็ไม่ได้เข้าใจความหมายโดยนัยของฮันเจ๋อเหยียนเลย
ซูโย่วอี๋มองไปยังคุณนายฮันอยู่หลายครั้ง “คุณลุงฮัน คุณป้าฮันสวัสดีค่ะ ฉันชื่อซูโย่วอี๋ อยู่บริษัทเดียวกันกับรุ่นพี่ฮันเจ๋อหยาง”
คุณชายฮันและคุณนายฮันมองดูหญิงสาวตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงได้เหมือนคุณนายฮันตอนวัยรุ่นมากขนาดนี้?
คุณนายฮันดูมึนงง พอมองซูโย่วอี๋แล้วเหมือนกับกำลังมองตัวเองเมื่อตอนวัยรุ่นอยู่ไม่มีผิด
เธอมีลูกอยู่สามคน มีเพียงเจ๋อเหยียนเท่านั้นที่เหมือนเธอ เจ๋อหยางก็เหมือนพ่อของเขา แต่ฮันเอินจีกลับไม่เหมือนกับใครเลย
มีความคิดหนึ่งเกิดขึ้นมาในใจ คุณนายฮันอดไม่ได้ที่จะก้าวถอยหลังไปสองก้าวด้วยความตกใจ
คงไม่ใช่…
คุณนายฮันพยายามใจเย็นลง “เจ๋อเหยียน นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
“พ่อกับแม่กินข้าวก่อนเถอะครับ พวกเรากินไปด้วยคุยไปก็ได้”
พูดจบก็พาซูโย่วอี๋ไปยังที่นั่งและยังให้ซูโย่วอี๋นั่งลงตรงที่นั่งตำแหน่งของฮันเอินจี
ฮันเจ๋อหยางมองดูสถานการณ์ตรงหน้าด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน วันงานเลี้ยงการกุศลจบลง เขานำเส้นผมของซูโย่วอี๋มอบให้กับพี่ใหญ่ พอนึกขึ้นได้ก็คิดได้ว่าผลตรวจคงจะออกมาแล้ว
เมื่อเห็นท่าทีที่พี่ใหญ่มีต่อซูโย่วอี๋ หรือว่าซูโย่วอี๋จะเป็นน้องสาวของพวกเขาจริง ๆ?
ฮันเอินจีเดินเข้าไปข้าง ๆ ซูโย่วอี๋อย่างไม่พอใจ “คุณซู นี่คือที่นั่งของฉัน รบกวนคุณถอยไปได้ไหม?”
ท่าทางการต่อต้านของฮันเอินจีนั้นชัดเจนมาก ทำให้ซูโย่วอี๋ยืนขึ้นอย่างเงียบ ๆ “ประธานฮัน ฉันคิดทบทวนมาไม่ดีพอ ทำให้รบกวนเวลามีความสุขในครอบครัวของพวกคุณ ฉันจะโอนเงินค่าแหวนไปในบัญชีของคุณ ตอนนี้ฉันขอตัวกลับก่อนค่ะ”
คุณชายฮันไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกเป็นห่วงเด็กผู้หญิงที่ดูเหมือนภรรยาของตัวเองคนนี้มากขนาดนี้จึงเอ็ดขึ้น “เอินจี ไปหาที่นั่งที่อื่น อย่าทำตัวไม่มีมารยาท”
“คุณซู หากการต้อนรับไม่ดีก็อย่าถือสาเลยนะ รีบนั่งลงเถอะ”
คุณนายฮันก็ไม่สนใจลูกสาวเธอเลย เธอเอาแต่จับจ้องไปยังซูโย่วอี๋ “คุณซู ก่อนหน้านี้เจ๋อเหยียนก็ไม่ได้บอกเลยว่าคุณจะมา อาหารก็ไม่รู้ว่าจะถูกปากคุณหรือเปล่า เอางี้นะ คุณชอบอะไร ฉันจะให้พ่อครัวทำมาให้”
หืม
“ฉันชอบหมดเลยค่ะ”
“งั้นก็นั่งลงกินเถอะ”
ซูโย่วอี๋ทำอะไรไม่ได้ จึงทำได้เพียงนั่งลงตามคำเชิญ
‘เจ้าจิ้งจอกเน่า ดูเหมือนว่าผู้ใหญ่ตระกูลฮันจะกระตือรือร้นกับฉันมากเกินไปแล้ว’
เจ้าสุนัขจิ้งจอกนอนอย่างเบื่อหน่ายอยู่ในพื้นที่ของระบบ [แปลกมากจริง ๆ เดินไปก้าวหนึ่งก็มองคุณกันแล้ว มาดูกันว่าตระกูลฮันคิดจะทำอะไรกันแน่]
ทั้งสองคนไม่ได้คิดถึงเรื่องที่ซูโย่วอี๋เป็นลูกสาวที่แท้จริงเลย เพราะคุณนายฮันอายุเกือบจะห้าสิบแล้ว รูปร่างและหน้าตาก็เทียบไม่ได้กับตอนที่ยังวัยรุ่นอยู่ เมื่อมองแวบแรกแม้ว่าจะดูคุ้นเคย แต่ก็ไม่ได้คล้ายกันมาก
อาหารมื้อนี้ดูน่าเบื่อมาก
คุณชายฮันเปิดปากถามหญิงสาวก่อนใคร “คุณซู เมื่อครู่ที่คุณพูดถึงเรื่องราคาของแหวนคือเรื่องอะไรกันเหรอ?”
คู่สามีตระกูลฮันไม่ได้ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงเพื่อการกุศลวันนั้น จึงไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ซูโย่วอี๋เล่าเรื่องทั้งหมด คุณชายฮันพยักหน้า “หนิงเชิงควรเลิกนิสัยอารมณ์ร้อนจริง ๆ”