หยางฟู่ไม่ได้รู้สึกว่าน้ำเสียงของเจินซื่อเฉิงดูแปลกไป เขากลับหัวเราะออกมาด้วยความเยือกเย็นว่า “ท่านเจิน ท่านจะปกป้องคนของท่านงั้นหรือ”
“ข้าไม่ทำเช่นนั้นอย่างแน่นอน เพียงแต่ข้าต้องขอเตือนท่านหยางไว้ก่อนว่า คนของข้าผู้นั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการที่บุตรชายของท่านตายอย่างแน่นอน”
“เรื่องนี้ค่อยคุยกันเมื่อได้พบเขา!” ในมุมมองของหยางฟู่ เขารู้สึกว่าเจินซื่อเฉิงกำลังปกป้องคนใต้บังคับบัญชาอยู่
ไม่เกี่ยวข้องกันงั้นหรือ ในเมื่อสามารถช่วยชีวิตเจ้าเด็กในจวนตงผิงปั๋วได้ในเวลานั้น แต่เหตุใดจึงไม่ช่วยลูกชายของเขาเล่า
ต่อให้ไม่เกี่ยวข้องกัน ก็จะต้องไปตามตัวมา! หยางฟู่ตัดสินใจค้นหาความผิดปกติจากจุดนี้ สีหน้าเขาดูมืดมนและรอคอยยิ่งนัก
บัดนี้อวี้จิ่นยังคงอยู่ในตรอกเชวี่ยจื่อ
เพื่อเอาใจพ่อตาในอนาคต ดูเหมือนว่าอวี้ชีจะอารมณ์ดีไม่น้อย เขาใช้แปรงเล็กๆ หวีขนของเอ้อร์หนิวไปมา
เอ้อร์หนิวดูสนุกกับการนอนอยู่ใต้ต้นไม้และหรี่ตาลงครึ่งหนึ่งเช่นนี้
ในเวลาไม่นานต่อมา ก็ได้มีคนตามเขาไปยังศาลาว่าการพระนคร
“สมาชิกคนหนึ่งของตระกูลหยางเดินทางไปที่นั่น และต้องการพบข้าอย่างงั้นหรือ”
แม้ว่าอวี้จิ่นจะไม่ใช่คนอารมณ์ดี แต่เขาก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับบรรดาเจ้าหน้าที่เหล่านี้ เจ้าหน้าที่ที่เดินทางมาเตือนว่า “นายท่านของตระกูลหยางคิดว่าท่านเกี่ยวข้องกับการตายของคุณชายหยาง ดูเหมือนว่าเขาต้องการเชิญไปเพื่อจับผิด ท่านโปรดระมัดระวังด้วย”
“จับผิดหรือ” อวี้จิ่นหรี่ตาลงและกล่าวเบาๆ ว่า “ไปกันเถอะ”
หืม เกิดอะไรขึ้นกับอารมณ์อันกระตือรือร้นของเขา? เขาไม่ใช่คนชอบสร้างปัญหาเช่นนี้มาก่อนนี่ แต่เมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืนนี้ที่เจียงซื่อซ่อนตัวอยู่ในน้ำ จากนั้นก็ลงมือสังหาร อวี้จิ่นก็รู้สึกปวดใจ หากไม่ใช่เพราะหยางเซิ่งไฉไอ้สารเลวนั่น จะทำให้มือของอาซื่อต้องแปดเปื้อนได้อย่างไร เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาก็รู้สึกว่าไอ้หมอนั่นถูกกระทำน้อยไป
อืม รอให้ความสัมพันธ์ของเขากับอาซื่อในอนาคตดีกว่านี้หน่อย เขาจะบอกนางว่าเรื่องการสังหารคน มอบให้เขาทำเอง อาซื่อคอยส่งมีดให้เขาก็พอ
เมื่อนึกถึงอนาคตอันสดใส อวี้จิ่นก็เผยอริมฝีปากและยิ้มขึ้น
เขาเดินเข้าไปในห้องโถงศาลาว่าการพระนครด้วยรอยยิ้มเช่นนั้น เมื่อหยางฟู่เห็นเช่นนั้นก็โมโหจ้องมองมาที่เขาอย่างเย็นชาและถามว่า “เจ้าคือเจ้าหน้าที่ผู้ที่ช่วยชีวิตคุณชายรองแห่งจวนตงผิงปั๋วงั้นหรือ”
อวี้จิ่นก็ไม่ได้ปกปิดบิดเบือนหยางฟู่ เขายอมรับออกไปตรงๆ ว่า “อืม เป็นข้าเอง แต่ข้าไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของที่นี่ ข้าคือผู้ช่วยของใต้เท้าเจิน นายท่านผู้นี้จะมาตกรางวัลแก่ข้าหรือ”
หยางฟู่ไม่ได้สนใจเกี่ยวกับการอธิบายเรื่องฐานะตัวตนของอวี้จิ่นนัก แต่หลังจากแน่ใจว่าเป็นเขา จึงได้กล่าวออกไปว่า “เมื่อคืนนี้เหตุใดเจ้าจึงปรากฏกายขึ้นที่แม่น้ำจินสุ่ย ตอนที่เจ้าช่วยคุณชายรองแห่งจวนตงผิงปั๋ว ไม่ได้สังเกตเห็นผู้อื่นหรือ”
อวี้จิ่นมองไปทางเจินซื่อเฉิง ด้วยความประหลาดใจแล้วเอ่ยถามว่า “ท่านเจิน ท่านผู้นี้คือ?”
“อ้อ นี่คือบิดาของคุณชายหยาง นามว่าหยางฟู่”
“อ๋อ ใต้เท้าเจินเชิญนายท่านหยางมาช่วยสืบคดีอย่างงั้นหรือ”
“ไม่ใช่หรอก ท่านหยางเป็นผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน เขาเดินทางมาที่นี่เพื่อดูความคืบหน้าของคดี”
“เป็นเช่นนี้นี่เอง” อวี้จิ่นยกมือขึ้นลูบจมูกแล้วกล่าวอย่างสบายใจว่า “ข้าคิดว่าใต้เท้าเจินจะมีผู้ช่วยเพิ่มสักคนเสียอีก”
“ใต้เท้าเจิน ท่านตามใจผู้ใต้บังคับบัญชาเกินไปแล้วกระมัง เป็นเพียงแค่เจ้าหน้าที่ธรรมดา กลับกล้าเอ่ยคุยกับท่านด้วยท่าทางเช่นนี้”
อวี้จิ่นขมวดคิ้วขึ้น ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาปกคลุมไปด้วยความเย็นชาในทันควัน “ข้าจะสนทนาอย่างไรกับใต้เท้าเจินแล้วเกี่ยวข้องอันใดกับท่านหรือ ในเมื่อท่านไม่ได้เดินทางมาเพื่อช่วยสืบสวนคดี แต่กลับเดินทางมาเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับความคืบหน้าของคดี เช่นนั้นก็ควรจะระมัดระวังท่าทางของตนด้วย!”
“เย่อหยิ่งยิ่งนัก! เป็นเพียงแค่เจ้าหน้าที่ธรรมดาแต่กลับไร้ซึ่งมารยาทนักหนา กล้าหาญเหลือเกิน ข้ามีเหตุผลเพียงพอที่จะสงสัยว่าเจ้าปรากฏตัวต่อที่แม่น้ำจินสุ่ยเมื่อคืนนี้เพราะมีวัตถุประสงค์อื่น ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะเป็นผู้ที่วางเพลิงก็เป็นได้”
หยางฟู่คุ้นเคยกับกลอุบายนี้ที่ทำให้ผู้คนสะดุดล้มลง
เขารู้ดีว่าชายผู้นี้ไม่ใช่ผู้ที่ลอบวางเพลิง แต่จากตำแหน่งของเขาจะให้โจมตีเจ้าหน้าที่ต่ำต้อยผู้นี้ตรงๆ ก็คงไม่ดี ในฐานะผู้ที่อยู่เหนือกว่าเจ้าหน้าที่คนนี้ เขาจะต้องให้เจ้าหมอนี่ได้รับบทเรียนอย่างไม่มีความสุขแน่นอน
แต่มันยังไม่จบเพียงเท่านี้แน่ รอให้เรื่องของบุตรชายเขาค่อยๆ เงียบไปจนผู้คนไม่พากันจับตามองแล้ว เขาที่อยู่ในจวนของเสนาบดีจะจัดการกับเจ้าหน้าที่ตำแหน่งเล็กๆ เช่นนี้ช่างง่ายดายเหลือเกิน
“หึๆๆ” อวี้จิ่นหัวเราะขึ้นมา
หยางฟู่ตกตะลึงกับเสียงหัวเราะของเขา
อวี้จิ่นยิ้มขึ้นจากนั้นมองไปทางหยางฟู่ด้วยความอ่อนโยน
จะให้เขาทำอย่างไรได้เล่า เมื่อต้องเผชิญหน้ากับพวกปัญญาอ่อนเขาก็ควรจะต่อรองให้หน่อย
“นายท่านหยาง ท่านกล่าวว่ามีเหตุผลพอที่จะสงสัยข้า เช่นนั้นท่านก็สงสัยข้าได้ตามใจชอบหรือ ที่ศาลาว่าการพระนครนี้ก่อตั้งขึ้นโดยจวนเสนาบดีหรือ” อวี้จิ่นไม่อยากจะสนทนาให้เสียเวลาอีกต่อไป เขาเหล่ตามองหยางฟู่แล้วกล่าวว่า “ข้าบอกแล้วไงว่าข้าไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของที่นี่ การที่ท่านหยางไม่รู้ว่าใต้เท้าเจินมีผู้ช่วยพิเศษเข้ามาเช่นนี้ ทำให้ข้าประหลาดใจเล็กน้อย”
แม้ว่าอวี้จิ่นจะย้ายจากกรมอาญามาศาลาว่าการพระนครจะยังไม่ได้เปิดเผยตัวตนของตนเอง แต่ในคราก่อนที่ฮ่องเต้ได้เรียกอ๋องทั้งหกเดินทางออกไปฝึกฝนปฏิบัติหน้าที่ เรื่องนี้หลายคนก็รู้ดี จากตำแหน่งทางสังคมของตระกูลหยาง แน่นอนว่าเขาคงไม่อาจปกปิดตัวตนของตนเองได้ ดังนั้นควรชี้แจงให้กระจ่างแจ้งเสียดีกว่า อีกอย่างบิดาของเขาเป็นฮ่องเต้ เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องอาย
คนที่อวี้จิ่นต้องการจะปิดบังตัวตนเอาไว้มีเพียงคนเดียวนั่นก็คือเจียงซื่อ
เขาเกรงว่าหากบอกออกไปว่าตนเป็นอ๋อง จะทำให้นางในดวงใจยากที่จะยอมรับ ส่วนคนอื่นนั้นจะรู้สึกอย่างไรเขาไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย
ประโยคของอวี้จิ่นเมื่อครู่ทำให้หยางฟู่ตกตะลึง เขาอดไม่ได้ที่จะจ้องมองไปทางเจินซื่อเฉิง
“ท่านหยาง นี่คือเยี่ยนอ๋อง”
หยางฟู่เบิกตากว้างในทันที ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างไม่อาจควบคุมน้ำเสียงตนเองได้ว่า “เยี่ยนอ๋อง?”
“ถูกต้องแล้ว เยี่ยนอ๋องเดินทางมาฝึกฝนการทำงานที่กรมอาญา แต่บังเอิญว่าช่วงนี้มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นในศาลาว่าการพระนคร จึงได้เดินทางมาช่วยข้าจัดการเรื่องราวที่นี่ ดังนั้นเพื่อความสบายใจ ท่านอ๋องจึงไม่ได้เปิดเผยตัวตนออกมา”
หยางฟู่มองไปทางอวี้จิ่นด้วยท่าทางเหลือเชื่อ ในไม่ช้าใบหน้าของเขาอันขาวผ่องก็แดงเรื่อ ก่อนจะเปลี่ยนจากแดงเป็นดำราวกับจานสีหลากสี
วินาทีนี้ เขาตระหนักได้อย่างลึกซึ้งว่าความอับอายและตื่นตระหนกคือสิ่งใด
แน่นอนว่าเขาเคยได้ยินเรื่องที่ท่านอ๋องทั้งหกเดินทางออกไปเรียนรู้หน้าที่ในทั้งหกกรม เพียงแต่ว่าเยี่ยนอ๋องนั้นไม่ค่อยเดินทางไปที่ใด เขาจึงไม่รู้จักหน้าตา คิดไม่ถึงว่าเยี่ยนอ๋องจะเป็นเจ้าหน้าที่คนนี้
บัดนี้สีหน้าของหยางฟู่ดูซับซ้อนยิ่งนัก เขาหันไปยิ้มกับอวี้จิ่นอย่างเคอะเขินแล้วกล่าวว่า “เป็นท่านอ๋องนี่เอง ขออภัยที่ปฏิบัติตนอย่างไม่สุภาพ”
บุตรสาวของเขานั้นคือพระชายาองค์รัชทายาท ตัวเขาเองจึงนับว่าอาวุโสกว่าอวี้จิ่นหนึ่งรุ่น หลังจากที่ตกตะลึงไปเช่นนั้น จะเสียศักดิ์ศรีไปกว่านี้ไม่ได้ เนื่องจากเปรียบเทียบกันแล้วกับพระชายาองค์รัชทายาทนั้น เยี่ยนอ๋องเทียบเท่าไม่ได้เลย
อวี้จิ่นยิ้มขึ้นแล้วกล่าวว่า “บัดนี้ท่านหยางคงไม่คิดว่าข้าเป็นผู้ลอบวางเพลิงแล้วใช่หรือไม่”
หยางฟู่กระแอมออกมาแล้วกล่าวว่า “มันเป็นเพียงความเข้าใจผิดเท่านั้น ขอท่านอ๋องอย่าได้ถือสาเลย”
“ไม่หรอก”
หยางฟู่กลับมาทำท่าทางสงบนิ่งอีกครั้งและดูไม่แยแสต่ออวี้จิ่น
เขาคือพ่อตาขององค์รัชทายาท ที่จริงแล้วจะว่าไปเป็นการส่วนตัว เยี่ยนอ๋องควรจะเรียกเขาว่าท่านลุงจึงจะถูก
อวี้จิ่นสัมผัสได้และรู้สึกหงุดหงิดเมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้น เจ้าปัญญาอ่อนผู้นี้คิดว่าตัวเองเป็นพ่อตาขององค์รัชทายาทแล้วสามารถเสแสร้งทำเย่อหยิ่งต่อหน้าเขาได้หรือ ช่างน่าขันสิ้นดี
อวี้จิ่นหันไปยกมือขึ้นคารวะเจินซื่อเฉิงแล้วกล่าวด้วยใบหน้าจริงจังว่า “ใต้เท้าเจิน บางทีเมื่อครู่นายท่านหยางอาจจะเข้าใจข้าผิดไป แต่ข้านั้นมีเหตุการณ์หนึ่งที่จะรายงานแก่ท่านและไม่ใช่ความเข้าใจผิดอย่างแน่นอน”
“อ้อ ไม่ทราบว่าท่านอ๋องมีเรื่องใดจะกล่าวหรือ” ดวงตาของเจินซื่อเฉิงดุจจิ้งจอกหรี่ลงเล็กน้อย
จากประสบการณ์ของเขารู้ดีได้ว่าฉากเด็ดกำลังจะมาถึง
อวี้จิ่นเหลือบมองไปทางหยางฟู่ ดวงตาของเขาดูเยือกเย็นไม่แยแส
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จู่ๆ หยางฟู่ก็รู้สึกว่าหนังศีรษะของตนเย็นชาและเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้น
“ที่จริงแล้วเมื่อคืนนี้ ตอนที่คุณชายรองแห่งจวนตงผิงปั๋วตกน้ำ ข้าเห็น”
“เห็นสิ่งใดหรือ” เจินซื่อเฉิงเอ่ยถาม
หัวใจของหยางฟู่เริ่มสั่น
“ข้าเห็นมือคู่หนึ่งผลักคุณชายรองของจวนตงผิงปั๋วลงไป” อวี้จิ่นกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย