บทที่ 248 เหมียวหยุนจื่อถูกจัดการ

มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง

มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 248 เหมียวหยุนจื่อถูกจัดการ

เมื่อผู้แข็งแกร่งนั่งลงทีละคน พวกเขาจะได้ยินเสียงอุทานจากฝูงชน

“คนนี้เป็นปรมาจารย์หลินไม่ใช่เหรอ?คิดไม่ถึงว่าเขาจะเข้าร่วมการแข่งขันด้วย”

“ปรมาจารย์หยูก็มา ดูเหมือนว่าครั้งนี้บริษัทซือไท่จะทุ่มสุดตัวเลยนะ เหมือนจะชนะการแข่งขันครั้งนี้ให้ได้”

“ไม่ธรรมดาจริงๆ พวกเขาล้วนเป็นปรมาจารย์ยอดฝีมือ”

“เอ๋ คนๆนี้คือใครกัน ผมไม่เคยเห็นเขามาก่อนเลย”

ขณะที่พวกเขาเข้าไปนั่งลง ทุกคนก็เงียบลงทันที ในบรรดาปรมาจารย์เหล่านี้ แม้แต่ผู้ที่มีความแข็งแกร่งต่ำที่สุดก็ยังเป็นปรมาจารย์บู๊ และทุกคนก็ให้ความเคารพแก่พวกเขามาก

และในไม่ช้า สาวสวยในชุดกี่เพ้าก็เดินขึ้นเวทีทีละก้าว สิ่งที่ทำให้มู่เซิ่งแปลกใจก็คือ พิธีกรคือคุณเดวี่

เธอสวยมากอยู่แล้ว เมื่อผ่านการแต่งหน้าทำผมมาอย่างดี ทันทีที่เธอก้าวขึ้นไปบนเวที เธอก็ดึงดูดความสนใจของคนมากมายรอบๆเวที คุณเดวี่ที่อยู่บนเวทีก็สังเกตเห็นมู่เซิ่งเหมือนกัน เธอเผยรอยยิ้มแสนหวาน มองไปที่มู่เซิ่งและพูดว่า

“ทุกท่าน เราได้พบกันอีกแล้ว ทุกท่านที่มาที่นี่ในวันนี้ คงรู้จุดประสงค์ของการมาครั้งนี้แล้ว ดังนั้นฉันจะไม่เสียเวลาอันมีค่าของทุกคน มีเพียงสองประเด็นที่ฉันอยากจะพูดซ้ำอีกครั้ง”

“ก่อนขึ้นเวที คุณได้ลงนามในข้อตกลงความเป็นความตายแล้ว และเราไม่มีผู้ตัดสิน ดังนั้นจะเป็นหรือตาย คุณต้องรับผิดชอบเอง”

ผู้แข่งขันทั้งหมดที่นั่งด้านล่างพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม

ตลกละ ในฐานะปรมาจารย์บู๊ถ้าพวกเขาสู้กัน ดินถล่มฟ้าสลาย นอกเสียจากว่าจะมีนักเสวียนมาเป็นผู้ตัดสิน ไม่งั้นก็ไม่มีใครหยุดพวกเขาได้

“มีอีกประเด็นหนึ่ง นั่นคือการแข่งขันนี้ ไม่ว่าจะเป็นหรือ แต่แพ้ก็ต้องทำตามกฏ ถ้าใครไม่ปฏิบัติตาม ก็อย่าโทษฉันที่เป็นคนกลางของตระกูลเย่ที่ต้องหยาบคายกับพวกคุณ!”

คุณเดวี่เอ่ยปากของเธอ กวาดมองผู้ฟังด้วยสายตาที่ลึกล้ำ แล้วเดินออกจากเวทีไปอย่างนุ่มนวล

ปรมาจารย์ทั้งหลายต่างก็ดูเคร่งขรึม

แม่ของคุณเดวี่เป็นคนของตระกูลเย่ ในฐานะหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ในเยียนจิง แน่นอนว่าในตระกูลต้องมีนักเสวียนอยู่แล้ว ดังนั้นความแข็งแกร่งของตระกูลเย่จึงไม่ธรรมดา

อีกประเด็นคือ พ่อของคุณเดวี่มาจากตระกูลที่อยู่ต่างประเทศ ตระกูลอื่นๆก็ให้ความเคารพแก่พวกเขา และทุกครั้งที่มีบุคคลสำคัญจากต่างประเทศมา เช่นคุณวิลเลี่ยมและคนอื่นๆ พวกเขาจะขอให้คุณเดวี่มาต้อนรับพวกเขา

ดังนั้น การแข่งขันแบบนี้ พวกเขาก็หาคุณเดวี่มาเป็นคนกลาง เกียรตินี้ ต้องให้อยู่แล้ว

เมื่อคุณเดวี่ก้าวลงมา ชายวัยกลางคนจากตระกูลในต่างประเทศก็ยืนขึ้น มองไปทางเหยาเผิงและคนอื่นๆ แล้วตะโกนด้วยความโกรธ

“เหยาเผิง เรื่องเมื่อปีที่แล้ว คุณยังไม่ลืมใช่ไหม ปีนี้กูกลับมาแล้ว ผมยังได้เชิญปรมาจารย์หลินมาด้วย ผมจะคอยดูว่าวันนี้คุณยังกล้าอวดดีไหม

เมื่อชายวัยกลางคนพูดจบ ดวงตาของชายชราที่อยู่ข้างๆก็ฉายแววเฉียบคม และเขาก็กระโดดขึ้น บินตรงจากเก้าอี้ไปที่บนเวที

ระยะห่างระหว่างทั้งสองคือสิบเมตรเต็ม แต่ชายชราก็กระโดดข้าม

แค่ความสามารถนี้เพียงอย่างเดียว ก็ทำให้ผู้ชมด้านล่างสูบหายใจเข้าลึก

“เก่งจริงๆ นี่ต้องเป็นปรมาจารย์บู๊ระดับกลางอย่างแน่นอน และก้าวเข้าสู่แดนนี้มานานแล้ว”

“ครั้งนี้ ผมว่าเหยาเผิงซวยแน่”

“ลองดูไปก่อน การแข่งขันในปีนี้ ไม่ใช่แค่ความแค้นระหว่างบริษัทเหวินเฟิงกับตระกูลต้วนเท่านั้น เขาต้องการท้าทายทุกบริษัทในเยียนจิง”

หลังจากที่ถูกชี้ต่อหน้าสาธารณชน สีหน้าของเหยาเผิงก็อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนไป เหมียวหยุนจื่อซึ่งนั่งอยู่ห่างๆก็ลุกขึ้นยืนทันที และพูดกับเหยาเผิงว่า”ประธานเหยา ดูเหมือนว่าครั้งนี้ ผมทำได้เพียงลงมือแล้ว”

ทำได้เพียง สามคำนี้เขาพูดดังมาก และสายตาของเขาก็จงใจมองไปที่มู่เซิ่ง

เมื่อเห็นว่ามู่เซิ่งดูเฉยเมย เหมียวหยุนจื่อก็เยาะเย้ยทันที ยังเป็นปรมาจารย์บู๊อยู่เหรอ ขี้ขลาดจริงๆ จากนั้นก็ลุกขึ้น เตะเก้าอี้ทันที เตะเก้าอี้ขึ้นไปในอากาศ แล้วเหยียบเก้าอี้ขึ้นไปในอากาศและบินตรงไปบนเวที

“ดี!”

“สมแล้วที่เป็นเหมียวหยุนจื่อ ผู้โดดเด่นในปรมาจารย์บู๊!”

ทุกคนชื่นชม การเคลื่อนไหวที่น่าทึ่งนี้ไม่ได้ด้อยกว่าของหลินยิงโส่วเลย

เมื่อปรมาจารย์บู๊ทั้งสองเผชิญหน้ากันจากระยะไกล บรรยากาศโดยรอบบนเวทีก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ราวกับว่าจู่ๆก็มีก้อนหินขนาดใหญ่กดทับหัวใจของพวกเขา ทำให้ทุกคนรู้สึกหดหู่ใจอย่างมาก

ทุกคนมองไปบนเวทีด้วยความประหม่า และปรมาจารย์ที่เหลือที่เข้าร่วมการแข่งขันต่างก็มองดู

ไม่มีผู้ตัดสินบนเวที หลังจากที่ทั้ง 2 คนมาถึงเวที พวกเขาคารวะอีกฝ่าย และถือว่าการแข่งขันได้เริ่มขึ้นแล้ว

หู้!

แม้ว่าเหมียวหยุนจื่อจะมาในฐานนะ “ปรมาจารย์บู๊”แต่เขาไม่มีจิตใจของปรมาจารย์บู๊เลย หลังจากที่ทั้งสองทำความเคารพเสร็จ เขาก็จู่โจมด้วยความเร็วที่รวดเร็วจนดูเหมือนเป็นการลอบโจมตี

“หึ!”

หลินยิงโส่วส่งเสียงอย่างเย็นชา ในเมื่อขึ้นมาในเวทีประลองแล้ว ชีวิตและความเป็นความตายก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของตนเอง เขามองไปที่เหมียวหยุนจื่อซึ่งกำลังพุ่งเข้ามาหาเขา ซึ่งสวมเสื้อคลุมลัทธิเต๋า ด้วยมือในท่ากรงเล็บนกอินทรี และพุ่งเข้าไปหาเขา

ปังปังปัง!

ทั้งสองต่อสู้ด้วยมือเปล่า ในมุมที่ยากอย่างยิ่ง และฝ่ามือของพวกเขาชนกันในอากาศ ระเบิดเสียงการชนกัน ทำให้ทุกคนประหลาดใจ ทั้งหลินยิงโส่วและเหมียวหยุนจื่อคิดไม่ถึงว่าจะฝึกฝ่ามือได้ดีจนสามารถหักโลหะและเหล็กได้!

มู่เซิ่งดูออกว่า เหมียวหยุนจื่อน่าจะฝึกเทคนิคการชกมวยชนิดหนึ่ง และการโจมตีของเขาส่วนใหญ่รุนแรงและโหดร้าย แม้ว่ากรงเล็บอินทรีจะโจมตีเขา เขาก็ยังเอาชนะหลินยิงโส่วได้ ด้วยความเฉียบคมเช่นนี้ แม้แต่หลินยิงโส่วก็ถอยไปเรื่อยๆ

ทั้งสองสู้กันอย่างดุเดือด และอากาศก็สั่นสะเทือนพร้อมกับเสียงดังสนั่น ผู้ชมที่เข้าใกล้ต่างก็ปิดหูโดยไม่รู้ตัว เพราะทนเสียงไม่ได้

เหมียวหยุนจื่อเย่อหยิ่ง เขามีทุนที่จะหยิ่งผยองจริงๆ เพราะด้วยระดับความแข็งแกร่งของเขา แม้ว่าจะเป็นปรมาจารย์บู๊ระดับกลาง ก็มีไม่มากนักที่เป็นคู่ต่อสู้ของเขา

“การต่อสู้รุนแรงเกินไปแล้ว ดีนะที่ผมไม่ได้ขึ้นเวที ไม่อย่างนั้นผมคงถูกชกจนกระเด็นลงจากเวทีตั้งนานแล้ว”

“ใช่ บางทีในตอนท้ายอาจจะสูสีกันก็ได้?”

นั่งถัดจากมู่เซิ่ง ปรมาจารย์สกุลฟางกล่าว

“ไม่หรอก อีกไม่เกิน 10 กระบวนท่า เหมียวหยุนจื่อจะแพ้”ในเวลานี้ มู่เซิ่งกล่าว ปรมาจารย์ฟางตกตะลึง”คุณ คุณรู้ได้อย่างไร?”

ปรมาจารย์อีกคนหนึ่งก็มองมา สายตาของเขาจับจ้องไปที่มู่เซิ่ง และพูดว่า “คุณคือคนที่จมน้ำเมื่อวานนี้ไม่ใช่เหรอ?คุณก็เป็นปรมาจารย์ด้วยเหรอ มาเข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ด้วย?”

ขณะพูด เขายังคงดูไม่พอใจ ความแข็งแกร่งของมู่เซิ่งนั้นธรรมดา แต่เขากล้าที่จะตัดสินผลการแข่งขันครั้งนี้อย่างหยิ่งยโส เขาจะไม่โมโหได้อย่างไร

มู่เซิ่งหัวเราะ แต่ไม่ได้พูด

เพราะเขาดูออกตั้งนานแล้วว่า แม้ว่าความแข็งแกร่งของทั้งคู่จะเป็นปรมาจารย์บู๊ระดับกลาง แต่ระหว่างกระบวนท่า ยังคงมีส่งผลกระทบต่อเนื่องกันเป็นทอดๆ แม้ว่าหมัดของเหมียวหยุนจื่อจะแข็งแกร่ง แต่กรงเล็บอินทรีของหลินยิงโส่วมีความอ่อนนุ่ม

แม้ว่าตอนนี้เขาดูเหมือนจะป้องกัน แต่เขากำลังนำเหมียวหยุนจื่อเข้าสู่จังหวะของเขาเองทีละนิด

สิบกระบวนท่า

หากไม่สามารถเอาชนะหลินยิงโส่วภายในสิบกระบวนท่า เขาจะพลิกการโจมตี และเปลี่ยนความพ่ายแพ้เป็นชัยชนะ

ตามที่คาดไว้ไม่ผิด

หลังจากสิบกระบวนท่าที่มู่เซิ่งบอก มือของหลินยิงโส่วได้จับจุดอ่อนของเหมียวหยุนจื่อในทันที คว้ามือขวาของเหมียวหยุนจื่ออย่างกะทันหัน เอนตัวไปด้านข้างและเข้าใกล้แนวป้องกันของเหมียวหยุนจื่อ จากนั้นใช้แขนของเขา บีบแขนของเขาอย่างแรง

แคร่กๆๆ!

กระดูกแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และแขนของเหมียวหยุนจื่อก็ถูกบิดเป็นมุมที่น่ากลัวอย่างยิ่งในทันที

“อ๊ะ อ้าก—”

เหมียวหยุนจื่อกรีดร้องและล้มลงจากเวที ทันใดนั้น ทั้งเวทีก็เงียบลง

นอกเหนือจากผู้ชมที่เงียบแล้ว ปรมาจารย์บู๊สองคนที่นั่งถัดจากมู่เซิ่งก็เงียบเช่นกัน จู่ๆก็มีความคิดหนึ่งพลุ่งพล่านในหัวของพวกเขา ผู้ชายคนนี้รู้ได้อย่างไรว่าเป็นสิบกระบวนท่าพอดี?