ตอนที่ 375 รอดูการแสดงของนางอย่างเงียบๆ
จู่ๆ รถม้าที่ขับผ่านไปก็หยุดลง ซือเหลิ่งเย่ว์หันไปมองฉินหลิวซีอีกครั้ง ฉินหลิวซีหัวเราะเบาๆ ส่งสายตาราวกับว่าไม่ต้องมองข้า ข้าทำนายแม่นอยู่แล้ว
ท่าทางราวกับเด็ก
ซือเหลิ่งเย่ว์เม้มริมฝีปากพลางยิ้มเล็กน้อย มองดูคนที่ลงมาจากรถม้าตรงหน้า รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เอ่ยพึมพำว่า “รถม้าคันนั้นไม่พัง เห็นได้ชัดว่าแข็งแรงมาก”
ฉินหลิวซีได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะออกมา “เสี่ยวเย่ว์ก็เอ่ยเรื่องตลกเป็นด้วยหรือ”
บุรุษที่เดินมาหาพวกนางราวกับภูเขาลูกเล็ก ใช้ตาประเมินความสูงของเขาไม่ต่ำกว่าหกฉื่อ[1] รูปร่างบึกบึนกำยำ ดูมีกำลังวังชา หากเป็นสตรีธรรมดาทั่วไปคงจะตกใจกลัวอยู่บ้างเมื่อได้เห็น
แต่ฉินหลิวซีกับซือเหลิ่งเย่ว์ คนหนึ่งเอ่ยติดตลก อีกคนหนึ่งท่าทางผ่อนคลาย
คนในรถม้านามว่าจิ่งเสี่ยวซื่อมองมา เมื่อเห็นสีหน้าของทั้งสองคนก็สบถอย่างเย็นชา นี่หรือสตรีอ่อนแอ
สตรีอ่อนแอธรรมดาทั่วไปคงจะตกใจกลัวความกำยำของสยงเอ้อร์ไปนานแล้ว แต่พวกนางกลับดูร่าเริง แทบจะไร้ความเป็นสตรี
“คารวะแม่นางทั้งสอง” สยงเอ้อร์เดินมาหยุดห่างจากพวกนางทั้งสองคนหนึ่งหมี่[2] แล้วยกมือขึ้นประสาน
ฉินหลิวซีคารวะตอบ “คารวะท่านวีรบุรุษ”
เมื่อสยงเอ้อร์ได้ยินเช่นนั้นดวงตาทั้งสองข้างก็เป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อย เขาใฝ่ฝันอยากเป็นวีรบุรุษมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นเขาจึงชอบเล่นดาบและหอก เขาชอบการเรียกของฉินหลิวซีเป็นอย่างมาก
เมื่อมองดูทั้งสองคนอีกครั้ง คนหนึ่งสวมชุดสีเขียว อีกคนหนึ่งสวมชุดสีม่วง คนที่สวมชุดสีเขียวมีผิวขาว ดวงตาทั้งสองข้างเต็มไปด้วยจิตวิญญาณ ราวกับว่าสามารถมองเข้าไปลึกลงในหัวใจของคนได้ คิ้วโก่งยาว ริมฝีปากบาง ไว้หางม้า ค่อนข้างมีความกล้าหาญ
ส่วนสตรีชุดม่วงมีใบหน้างดงาม ท่าทางเย็นชา เพียงแต่สีหน้าซีดเซียวเล็กน้อย ดูมีความบอบบางอยู่บ้าง ทำให้คนรู้สึกเอ็นดู
สยงเอ้อร์มองไปยังซือเหลิ่งเย่ว์ ลดเสียงเบาลงสองส่วน กลัวว่าจะทำให้สาวงามตกใจ เอ่ย “ข้าเห็นแม่นางทั้งสองยืนอยู่ข้างถนน มีปัญหาอะไรหรือไม่ หรือต้องการจะไปที่ใด”
ฉินหลิวซียิ้มเล็กน้อยพลางเอ่ย “พวกเราสองคนพี่น้องอยากจะไปอำเภอจยา พี่สาวข้าไม่สบายเล็กน้อย ม้าที่ขี่มาก็เริ่มหิว พวกเราจึงหยุดพักงีบหลับกลางทางแล้วปล่อยให้ม้าหาอาหารกินเอง ใครจะไปรู้ว่าม้าตัวนั้นหายไปไหนแล้วไม่รู้ ไม่รู้ว่าหนีไปแล้วหรือถูกคนขโมยไป ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเดินเท้าเข้าเมือง”
ซือเหลิ่งเย่ว์ “!”
ข้าจะไม่เอ่ยอะไร รอดูการแสดงของนางอย่างเงียบๆ เท่านั้น
ม้าที่ไม่มีอยู่จริง “?”
คนที่เชื่อเจ้า หากไม่ใช่เพราะสมองเต็มไปด้วยน้ำก็คงเป็นคนปัญญาอ่อน
สยง ‘ปัญญาอ่อน’ “ว่ากันว่าม้าแก่ย่อมรู้ทาง หากวิ่งไปไกลก็จะกลับมาเอง หากไม่กลับมานาน เกรงว่าจะถูกคนขโมยไปแล้ว อย่างไรเสียด้านหน้ามีหมู่บ้านตั้งอยู่บนเขา ใครเห็นม้าก็ต้องอยากได้แน่นอน”
จิ่งเสี่ยวซื่อที่อยู่ในรถกลอกตา ‘เจ้าคนโง่เขลา เรื่องไร้สาระเจ้าก็เชื่อ’ โนเวลพีดีเอฟ
หากม้ากินหญ้าอยู่ไม่มีทางที่จะวิ่งไปไกล หากถูกคนขโมย ม้าจะไม่ส่งเสียงร้องหรือ
อีกอย่างจะเป็นม้าป่าหรือไม่ก็ไม่รู้ หากลองมองไปรอบๆ แล้วเห็นสตรีสองคน หากเป็นฝีมือคนในหมู่บ้านบนเขาจริงๆ ลักพาตัวสาวงามสองคนไปไม่ดีกว่าขโมยม้าหรอกหรือ
คนโง่เขลาผู้นี้กลับเชื่อคำพูดไร้สาระของอีกฝ่ายเสียได้
สตรีไว้ใจไม่ได้ โดยเฉพาะสาวงามย่อมมีพิษ
ฉินหลิวซีถอนหายใจพลางเอ่ย “พวกเราก็คิดเช่นนั้น บางทีพวกเรากับมันอาจไร้วาสนาต่อกัน”
“ที่นี่อยู่ไกลจากอำเภอจยา ตอนนี้ใกล้จะเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว ท้องฟ้าก็มืดเร็ว สตรีอย่างพวกเจ้าสองคนเดินบนถนน เกรงว่า…” สยงเอ้อร์เผยสีหน้ากังวล
ฉินหลิวซีก็แสดงสีหน้าสิ้นหวัง “ข้าไม่เป็นไรหรอก แต่พี่สาวของข้าไม่สบาย หากท่านวีรบุรุษให้เราติดรถไปด้วย ก็นับว่าเป็นโชคดีของพวกเรา เพียงแต่ไม่รู้ว่าพวกท่านจะไปที่ใด”
“อ้อ พวกเราไปเซียงหนาน ต้องผ่านอำเภอจยาด้วย” สยงเอ้อร์ตอบอย่างไม่คิดอะไร “พวกเจ้าขึ้นรถม้าไปกับพวกเราเถิด อย่างไรเสียก็เป็นทางผ่าน”
ไปเซียงหนานเสียด้วย
ช่างบังเอิญเสียจริง
จิ่งเสี่ยวซื่อโกรธแทบจะทนไม่ไหวแล้ว คนโง่เขลาผู้นี้ไม่เพียงแต่โง่ ซ้ำยังซื่อบื้อ พวกนางใช้แค่มุกตื้นๆ ก็บอกทิศทางที่จะไปแล้ว หากอีกฝ่ายตั้งใจเข้าหาพวกเขา เช่นนั้นจะไม่เป็นการเดินเข้าไปติดกับดักตายเองหรอกหรือ
เขากำลังจะเรียกสยงเอ้อร์กลับมา กลับเห็นสตรีที่ดูห้าวหาญผู้นั้นเอ่ยว่า “ท่านวีรบุรุษยินดีช่วยเหลือ พวกเราสองคนพี่น้องรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก จริงสิ ไม่ทราบว่าต้องเรียกท่านวีรบุรุษว่าอย่างไร ข้าแซ่ฉิน นางแซ่ซือ พวกเราเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน”
“เรียกข้าว่าสยงเอ้อร์ก็พอแล้ว ชายหนุ่มทางด้านนั้นแซ่จิ่ง เรียกเขาว่าเสี่ยวซื่อก็ได้” สยงเอ้อร์หัวเราะเสียงดัง
“ขอบคุณพี่สยง แล้วก็คุณชายจิ่ง” ฉินหลิวซีถือวิสาสะเปลี่ยนคำเรียก จากนั้นก็คารวะจิ่งเสี่ยวซื่อจากไกลๆ ซือเหลิ่งเย่ว์ก็คารวะด้วยเช่นกัน
จิ่งเสี่ยวซื่อโกรธจนข้างในแทบจะระเบิด เหวี่ยงผ้าม่านปิดไว้ไม่อยากเห็นอีกต่อไป
ฉินหลิวซีหรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง
หลังจากเก็บข้าวของแล้ว ฉินหลิวซีและซือเหลิ่งเย่ว์ก็ขึ้นรถม้าสำหรับคนรับใช้และไว้ขนสิ่งของ มุ่งหน้าไปอำเภอจยา
ส่วนจิ่งเสี่ยวซื่อกำลังตักเตือนสยงเอ้อร์เบาๆ “…พวกนางเอ่ยอะไรเจ้าก็เชื่อหมด เจ้าโง่หรืออย่างไร ซ้ำยังบอกชื่อเสียงเรียงนามกับพวกนาง ไม่กลัวพวกนางจะหลอกเจ้าหรือ”
“เจ้าคิดมากไปแล้ว พวกนางเป็นเพียงสตรีอ่อนแอสองคน ไม่ใช่สิ ทำไมเจ้าเห็นสตรีแล้วชอบคิดว่าพวกนางจะทำร้ายเจ้า ใช่ว่าทุกคนจะเป็นเช่น…”
จิ่งเสี่ยวซื่อจ้องมองเขาด้วยสายตาเย็นชา “หากเจ้ากล้าก็ลองเอ่ยมาสิ!”
สยงเอ้อร์สีหน้าลำบากใจ เอ่ยพึมพำ “สิ่งที่ข้าเอ่ยนั้นก็ไม่ผิด เจ้าไม่ควรใช้ความคิดเช่นนี้มองคนเสมอไป เช่นนั้นจะส่งผลต่อการตัดสินใจของเจ้า โลกกว้างใหญ่เช่นนี้สตรีก็มีมากมาย ทุกคนจะเป็นคนไม่ดีทั้งหมดได้อย่างไร”
“ข้าว่าเจ้าจะถูกสตรีหลอกจนหมดตัวไม่ช้าก็เร็ว” จิ่งเสี่ยวซื่อยิ้มอย่างเย็นชา ไม่สนใจเขาอีก นอนลงในรถ ดึงผ้าห่มมาหนุนศีรษะ รู้สึกโกรธจัด
เมื่อสยงเอ้อร์เห็นว่าเขาอารมณ์เสียก็ไม่กล้าเอ่ยต่อ เพียงแต่ช่วยจัดผ้าห่มให้เขาอย่างเงียบๆ
ซือเหลิ่งเย่ว์ก็เอ่ยกับฉินหลิวซีในรถม้าว่า “ม้าของพวกเราหนีไปแล้วหรือ”
ฉินหลิวซียิ้มพลางเอ่ย “ก็แค่พูดไปเรื่อยเปื่อย คิดไม่ถึงว่าเขาจะเชื่อจริงๆ”
“คุณชายจิ่งผู้นั้นอาจจะไม่เชื่อ ซ้ำยังคิดว่าเจ้าจงใจหลอกพวกเขา” ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ยเสียงดุว่า “ข้าเห็นว่าสยงเอ้อร์ผู้นี้เป็นคนจิตใจดี ตรงไปตรงมา ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม อย่าไปแกล้งเขาเลย”
“อืม ค่อนข้างเป็นคนตรงไปตรงมา เพียงแต่ไร้เดียงสาเล็กน้อย เห็นแก่ที่เขาจิตใจดีเช่นนี้ ข้าจะรักษาอาการป่วยให้คนแซ่จิ่งผู้นั้น ก็นับว่าเป็นการทดแทนค่าโดยสารแล้ว” ฉินหลิวซีตอบ
ซือเหลิ่งเย่ว์ประหลาดใจ “คุณชายผู้นั้นป่วยหรือ”
“สีหน้าดูไม่ค่อยปกติ หากไม่ใช่โรคก็คงโดนพิษ คงจะมาจากตระกูลชั้นสูง” ฉินหลิวซีเอ่ยต่อ “แต่ก็ยากจะบอกได้ว่าเขาจะคว้าโอกาสนี้หรือไม่ ข้าว่าเขามองพวกเราเป็นจิ้งจอกที่ชอบกลืนกินวิญญาณและล่อลวงผู้คน ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่ไว้วางใจและระแวดระวัง”
ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ยเสียงดุ “ก็ไม่ใช่เพราะเรื่องไร้สาระที่เจ้ากล่าวอย่างจริงจังหรอกหรือ”
หากไม่ใช่เพราะนางชอบแกล้งผู้อื่น ใครจะคิดเช่นนี้ แต่ลองคิดดูแล้วก็แปลกอยู่เช่นกัน ถนนสายหลักคนน้อย บริเวณรอบๆ ไม่มีหมู่บ้านหรือโรงเตี้ยม การปรากฏตัวของสตรีสองคนช่างน่าสงสัยจริงๆ
ไม่มีการสนทนากันอีกตลอดทาง กลุ่มคนเร่งเดินทางเข้าเมืองก่อนฟ้าจะมืด
หลังจากเข้าเมือง ฉินหลิวซีและซือเหลิ่งเย่ว์ก็ไม่ได้หน้าด้านตามสยงเอ้อร์และคนอื่นๆ อีก พวกนางลงจากรถแล้วมายังหน้ารถม้าของจิ่งเสี่ยวซื่อคันนั้น เอ่ยว่า “ขอบคุณพี่สยงที่ให้พวกเรานั่งรถมาด้วย”
“ด้วยความยินดี”
“ข้าเห็นว่าสีหน้าของคุณชายจิ่งไม่ค่อยดีนัก ข้าพอรู้วิชาแพทย์แผนจีนอยู่บ้าง หากไม่รังเกียจ ข้าเต็มใจจับชีพจรให้คุณชายเพื่อเป็นการขอบคุณความมีคุณธรรมของพวกท่าน” ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
สยงเอ้อร์ตกตะลึง
จิ่งเสี่ยวซื่อในรถเอ่ยด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง “สยงเอ้อร์ ยังไม่รีบกลับขึ้นมาอีก”
ตามที่ฉินหลิวซีคาดไว้ เขาไม่ยอมรับความหวังดีนี้เลยแม้สักนิด
[1] หกฉื่อ 153 เซนติเมตร
[2] หนึ่งหมี่ 1 เมตร