เป็นธรรมดาที่ฝานลี่เทียนจะไม่เห็นด้วยกับคำพูดของฝานซุยเหวิน “ยังไม่เกิดอย่างงั้นหรอ? เจ้าหนุ่ม เจ้าเป็นคนแรกเลยนะที่กล้าพูดแบบนี้ต่อหน้าข้าน่ะ”
“เจ้าเองก็เป็นคนแรกที่กล้าพูดแบบนี้ต่อหน้าข้าเช่นกัน”
เมื่อฝานลี่เทียนได้ยินแบบนั้นเขาก็ได้หัวเราะเยาะเย้ยก่อนที่จะพูดออกมา “เจ้าหนุ่ม พวกเราน่ะไม่จำเป็นจะต้องเป็นศัตรูกันหรอกนะ เอาล่ะ มาดื่มด้วยกันเถอะ นี่คือเหล้าที่ผ่านการบ่มมากว่าหลายสิบปี”
ฝานซุยเหวินส่ายหัว ตัวเขาได้จ้องมองกลับไปที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าต่อไป “ม่านพลังในตอนนี้อ่อนแอลงมาก ที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าเองก็มีพลังลมปราณผันผวน ข้ากลัวว่าในตอนนี้จะมีใครบางคนที่กำลังทำให้ศาลาปีศาจลอยฟ้ากำลังแย่”
ฝานลี่เทียนได้ดื่มเหล้าของเขาต่อไปก่อนที่จะเหยียดแขนออกมา “ข้าง่วงจริงๆ …หวังว่าข้าจะมีเหล้ารสเลิศดื่มในตอนที่ข้าตื่นมาแล้วนะ” หลังจากที่หาวอีกหลายครั้งตัวเขาก็ได้เอนหลังก่อนที่จะเหยียดตัวลงนอน
ฝานซุยเหวินที่เห็นแบบนั้นก็ได้พูดออกมา “ข้าก็หวังว่าจะเป็นแบบนั้น” หลังจากที่พูดจบตัวเขาก็ได้หันไปมองที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าต่อไป
ในตอนนั้นเองที่ห้องลับ
ฮั๊ววู่เด๋า, ต้วนมู่เฉิง, จ้าวยู่ และหยวนเอ๋อกำลังเตรียมพร้อมที่จะบุกเข้าไปแล้ว
ฮั๊ววู่เด๋าได้ส่งสัญญาณออกมา “เอาเลย! ” แม้ว่าตัวเขาจะเป็นผู้ฝึกยุทธที่มีพลังร่างอวตารดอกบัว 7 กลีบ แต่ถึงแบบนั้นฮั๊ววู่เด๋าก็ไม่ได้ถนัดเรื่องการโจมตีเท่ากับที่ต้วนมู่เฉิงมี ต้วนมู่เฉิงได้กระโจนขึ้นมาจากพื้น ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยพลังลมปราณ ต้วนมู่เฉิงจ้องมองไปที่ประตูห้องลับก่อนที่จะพุ่งไปอย่างไม่ลังเล
ตู๊ม!
เสียงพลังทำลายล้างได้ดังไปทั่วทั้งศาลาปีศาจลอยฟ้า แต่ถึงแบบนั้นประตูหินก็ไม่ได้พังทลายไป
ฮั๊ววู่เด๋าตกใจเล็กน้อยหลังจากที่เห็นแบบนั้น “ข้าไม่คิดมาก่อนเลยว่าประตูหินนี้จะแข็งแกร่งถึงขนาดนี้”
ในทางกลับกันต้วนมู่เฉิงดูไม่ได้แปลกใจอะไร ท้ายที่สุดแล้วห้องลับที่ซ่อนอยู่เป็นเหมือนกับห้องที่ผู้เป็นอาจารย์จะใช้ฝึกฝนตัวเอง การที่มันจะมีพลังป้องกันที่แข็งแกร่งจึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกอะไร ต้วนมู่เฉิงไม่คิดที่จะยอมแพ้ครั้งนี้ ในเมื่อการโจมตีครั้งแรกไม่สำเร็จ ตัวเขาก็คิดที่จะลองครั้งที่สอง “อีกครั้ง! “
ต้วนมู่เฉิงกำหมัดแน่น ตัวเขาได้ย่อตัวลงไปก่อนที่จะใช้กำปั้นชกไปที่ประตู ที่กำปั้นของตัวเขาเต็มไปด้วยแสงสว่าง หมัดที่แสนจะดูรุนแรงได้พุ่งเข้าใส่ประตูอีกครั้ง
เสียงระเบิดได้ดังออกมาจากห้องลับ เสียงระเบิดนี้เองได้ดังไปทั่วห้องโถงใหญ่รวมไปถึงศาลาทั้งสี่ทิศ ท้ายที่สุดแล้วเสียงระเบิดก็ได้ดังไปทั่วภูเขาทอง
แคล๊ก!
ประตูหินได้ถูกพังทลาย ต้วนมู่เฉิงรีบเคลียเศษหินที่พังทลายก่อนที่จะรีบพุ่งเข้าไปด้านใน ฮั๊ววู่เด๋า, จ้าวยู่ และหยวนเอ๋อเองตามหลังตัวเขาไปติดๆ … เมื่อทั้งสี่คนเข้าไปที่ห้องลับได้ พวกเขาก็ได้แต่อ้าปากค้างในระหว่างที่จ้องมองอะไรบางอย่างอยู่
ลู่โจวในตอนนี้กำลังลอยอยู่ที่ใจกลางห้อง รอบตัวของเขาถูกห่อหุ้มไปด้วยพลังสีแดงที่ส่องแสงราวกับแสงของดวงดาว ดวงตาของตัวเขายังคงปิดแน่นไม่ต่างอะไรจากการนอนหลับ เห็นได้ชัดว่าลู่โจวไม่สามารถที่จะรับรู้เรื่องภายนอกได้ในตอนนี้ ที่ด้านบนของตัวเขามีช่องสี่เหลี่ยมอยู่ ดูเหมือนว่าช่องสี่เหลี่ยมตรงนั้นจะมีเพื่อระบายอากาศนั่นเอง
พลังจากม่านพลังได้หลั่งไหลเข้ามาหาลู่โจวผ่านช่องระบายอากาศตรงนั้น
พลังงานทั้งหมดมาบรรจบกันก่อนที่จะพุ่งเข้าใส่ร่างกายของลู่โจว
ฮั๊ววู่เด๋าที่เห็นแบบนั้นก็ได้พูดขึ้น “อย่าเข้าไปใกล้ท่านปรมาจารย์! “
“เกิดอะไรขึ้นกัน…ท่านอาจารย์? ” หยวนเอ๋อได้ถามออกไปด้วยท่าทีที่ดูกระวนกระวาย
“ท่านปรมาจารย์กำลังแย่ พลังลมปราณของเขาผันผวนจนเกินไป ข้าเดาว่าท่านปรมาจารย์คงกำลังยับยั้งพลังลมปราณที่ผันผวนด้วยม่านพลังที่ภูเขาทองมี” ฮั๊ววู่เด๋าได้พูดออกมาในขณะที่จ้องมองไปที่ลู่โจว “ข้าจะเป็นคนทำลายพลังจากม่านพลังนั่นเอง…พวกเจ้าทั้งสามจะไปจับท่านปรมาจารย์เอาไว้ จำเอาไว้ล่ะว่าอย่าลืมป้องกันตัวเองเด็ดขาด! “
“พวกข้าเข้าใจแล้ว”
ทุกคนเข้าใจดีว่าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายคืออะไร
ในตอนนั้นเองผนึกตราประทับก็ได้ปรากฏขึ้นที่ร่างกายของฮั๊ววู่เด๋า รอบตัวของเขาถูกล้อมไปด้วยตัวหนังสือขนาดใหญ่
ตัวหนังสือสวรรค์, โลก, ชีวิต, น้ำ และไฟ ได้ลอยรอบตัวของฮั๊ววู่เด๋า หลังจากที่ใช้พลังเสร็จตัวเขาก็ได้กระโดดไปยังช่องระบายอากาศที่มีอยู่ในห้องแห่งนี้
ต้วนมู่เฉิง, หยวนเอ๋อ และจ้าวยู่ต่างก็สร้างม่านพลังอันแข็งแกร่งเพื่อปกป้องตัวเองเอาไว้ ดวงตาของทั้งสามคนจับจ้องไปที่ฮั๊ววู่เด๋าที่กำลังใช้พลังผนึกตราประทับทั้งหก
ตู๊ม!
พลังงานที่ถูกฮั๊ววู่เด๋ากั้นขวางเอาไว้ได้กระจายตัวออกไป ในตอนนี้เหลือเพียงลมที่พัดผ่านมาที่ห้องลับ! “ตอนนี้แหละ! “
ต้วนมู่เฉิง, จ้าวยู่ และหยวนเอ๋อวิ่งเข้าหาลู่โจวในเวลาเดียวกัน พวกเขาทั้งสามฝ่าแรงต้านทั้งหมดจากพลังอันมหาศาลก่อนที่จะไปถึงลู่โจวในเวลาสั้นๆ
แต่ไม่ทันที่จะได้ทำอะไรลู่โจวก็ได้ลืมตาขึ้น เมื่อเห็นสาวกทั้งสามวิ่งเข้าใส่ตัวเขาก็ได้แต่พูดออกมาตามสัญชาตญาณ “สามหาว! “
เพื่อให้ได้มาซึ่งพลังแห่งความเงียบ พลังที่สามารถรักษาทุกอย่างได้ พลังแห่งสมาธิ พลังที่เป็นเหมือนกับแสงสว่างและเงาที่แทรกซึมอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นตราบใดที่ยังมีพลังสมาธิอยู่ พลังที่จะทำให้ทุกอย่างนั้นเงียบลงได้
ตัวของลู่โจวนับว่าเป็นจุดศูนย์กลาง พลังสีฟ้าอ่อนที่ดูคล้ายกับน้ำทะเลได้แพร่ออกมาจากตัวของลู่โจวที่เปรียบได้กับดอกบัว มันแพร่กระจายไปรอบๆ ดวงตาของสาวกทั้งสามที่เห็นแบบนั้นต่างก็เบิกกว้าง เหล่าสาวกทั้งหมดสัมผัสได้ถึงพลังอันน่ากลัว และเพราะแบบนั้นสัญชาตญาณของพวกเขาจึงได้ใช้พลังร่างอวตารออกมาในทันที!
ต้วนมู่เฉิงได้ใช้พลังร่างอวตารแห่งร้อยวิถีที่มีดอกบัวสองกลีบออกมา
จ้าวยู่เองได้ใช้พลังร่างอวตารทศภพออกมา
และหยวนเอ๋อก็ได้ใช้พลังร่างอวตารร้อยวิถีที่ไม่มีดอกบัวขึ้นมาเช่นกัน
คำพูดของลู่โจวที่พูดว่า ‘สามหาว! ‘ ไม่ใช่เคล็ดวิชาการใช้คลื่นเสียง…แม้ว่าจะเทียบไม่ได้กับสุดยอดเคล็ดวิชาแห่งคลื่นเสียงที่ลู่โจวได้ใช้เมืองอันยาง แต่ถึงแบบนั้นเสียงของตัวเขาที่ถูกพลังลมปราณแผ่ขยายก็ยังคงดังแสบแก้วหูของทุกๆ คน แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่พลังเสียง แต่เป็นพลังที่ดูคล้ายกับดอกบัวสีฟ้าของลู่โจว! มันกำลังเบ่งบานขึ้นมาเรื่อยๆ พลังงานที่ถูกปล่อยออกมาจากตัวของลู่โจวรุนแรงมากยิ่งขึ้น
ในขณะที่ฮั๊ววู่เด๋ากำลังลงมา พลังผนึกตราประทับทั้งหกของเขาก็ได้ล้อมตัวต้วนมู่เฉิง, จ้าวยู่ และหยวนเอ๋อเอาไว้เป็นวงกลม พลังของตัวเขาได้ลงมาพร้อมกับพลังอวตารดอกบัวทั้งเจ็ดแห่งร้อยวิถี
ตู๊ม!
ในตอนที่ดอกบัวสีฟ้ากำลังบานสะพรั่ง พลังของมันก็ได้สัมผัสกับพลังของผนึกตราประทับทั้งหก พลังผนึกตราประทับของฮั๊ววู่เด๋าได้แตกสลายกลายเป็นเสี่ยงๆ อย่างง่ายดาย!
ฮั๊ววู่เด๋าที่เป็นผู้ปกป้องทุกคนได้กระเด็นกลับไปชนกำแพงหินที่อยู่ด้านหลัง
“ผู้อาวุโสฮั๊ว! ” ต้วนมู่เฉิงและจ้าวยู่ตะโกนออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
แม้แต่พลังของผนึกตราประทับทั้งหกเองก็ไม่อาจที่จะหยุดยั้งพลังของดอกบัวสีฟ้าได้ พลังทั้งหมดได้ตรงไปที่สาวกทั้งสามอย่างรวดเร็ว ในตอนที่ฮั๊ววู่เด๋ากระเด็นลอยไปจนถึงตอนนี้ทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงแค่อึดใจเดียว ไม่มีใครมีเวลาที่จะได้ตอบโต้เลย
ดอกบัวสีฟ้ากระทบเข้ากับอกของทุกๆ คนไป พลังร่างอวตารของทั้งสามได้หายไปในทันที
ต้วนมู่เฉิง, จ้าวยู่, และหยวนเอ๋อต่างก็กระอักเลือดออกมาก่อนที่จะถูกซัดจนถอยหลังกลับไป
พลังวรยุทธที่จ้าวยู่มีอ่อนแอมากที่สุด เพราะแบบนั้นนางจึงได้รับความเสียหายไปเต็มๆ …พลังอวตารทศภพของนางไม่อาจที่จะต้านทานการโจมตีได้แม้แต่ครั้งเดียว พลังของดอกบัวสีน้ำเงินได้ทำให้จ้าวยู่บาดเจ็บจนถึงกับกระอักเลือดออกมา ถ้าหากพลังตราผนึกทั้งหกไม่ได้ดูดซับความเสียหายส่วนใหญ่ไป ในตอนนี้จ้าวยู่ก็คงจะบาดเจ็บสาหัสไปแล้ว โชคดีที่นางไม่ได้ยืนอยู่ที่แถวหน้า
ในขณะเดียวกันต้วนมู่เฉิงก็ได้กระเด็นออกไปจากห้องลับ
หยวนเอ๋อโชคดีกว่ามาก นางมีชุดขนเมฆาที่มีความสามารถในการดูดซับพลังลมปราณรวมไปถึงแรงกระแทก และด้วยรองเท้าเหยียบเมฆารวมไปถึงสายสะพายนิพพานที่มีอยู่ในมือทำให้หยวนเอ๋อไม่ได้รับความเสียหายอะไรมากนัก นางได้ตีลังกากลางอากาศก่อนที่จะหนีไปยังทางที่ฮั๊ววู่เด๋าลอยไป
ที่ด้านนอกของศาลาปีศาจลอยฟ้า
ผู้ฝึกยุทธหญิงต่างก้จ้องมองไปยังทิศที่ห้องลับตั้งอยู่พร้อมกับอ้าปากข้าง แม้ว่าพวกนางจะยืนอยู่ไกลสักแค่ไหน แต่พวกนางก็ยังสามารถมองเห็นพลังสีฟ้าได้ส่องสว่างมาแต่ไกลได้ มันเป็นทิศที่ห้องลับตั้งอยู่ไม่ผิดแน่
ฝานลี่เทียนที่ได้นอนไปแล้วกลับถูกปลุกตื่นขึ้นโดยเสียงของลู่โจว ‘สามหาว! ‘ ตัวเขาได้หันมามองด้วยสายตาอันแปลกประหลาด เมื่อเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง “จะล้มเหลวหรือจะก้าวข้ามผ่านขีดจำกัดไปได้กัน? ” ขวดเหล้าที่ฝานลี่เทียนอยู่ได้หลุดมือของตัวเขาไป ที่เป็นแบบนี้มันเป็นเพราะแรงสั่นสะเทือนที่มาจากศาลาปีศาจลอยฟ้าที่อยู่ตรงหน้า หลังจากที่จ้องมองได้ชั่วครู่หนึ่งตัวเขาก็ได้ส่ายหัวก่อนที่จะถอนหายใจออกมา “ยังไงซะเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้าอยู่แล้ว”
ในขณะที่สาวกทั้งสี่ถูกซัดจนกระเด็นถอยกลับหลังไป พลังอันมหาศาลก็ได้ทำลายห้องลับจนไม่เหลือชิ้นดี ในตอนนี้กำแพงทั่วทั้งห้องถูกทำลายจนเหลือแต่ซากปรักหักพัง
ฮั๊ววู่เด๋าได้รวบรวมพลังก่อนที่จะลอยขึ้นไปบนอากาศ ตัวเขาพยายามใช้พลังลมปราณห้ามเลือดเอาไว้ ในตอนนั้นเองแสงสีทองก็ได้ส่องสว่างขึ้น มันเป็นแสงที่มาจากพลังผนึกตราประทับทั้งหกของตัวเขา
หยวนเอ๋อได้ใช้สายสะพายแห่งนิพพานหมุนรอบตัวเองราวกับกำลังเต้นรำ
ดวงตาของฮั๊ววู่เด๋าที่เห็นเรื่องทั้งหมดไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น…แม้ว่าจะยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากสักแค่ไหนแต่ยังไงมันก็เป็นความจริง
ฮั๊ววู่เด๋าได้ศึกษาเคล็ดวิชาแห่งเต๋านี้มากว่า 20 ปี ตัวเขาสามารถต้านทานสุดยอดเคล็ดวิชามานักต่อนักแล้ว ฮั๊ววู่เด๋าได้มาที่นี่ด้วยความมั่นใจ ตัวเขาไม่ได้หวังว่าจะผนึกตราประทับทั้งหกจะสามารถเอาชนะศาลาปีศาจลอยฟ้าได้ แต่ฮั๊ววู่เด๋าก็ไม่ได้คิดว่าตัวเขาจะพ่ายแพ้ให้กับพลังคลื่นสายฟ้าในการโจมตีเพียงครั้งเดียว แม้ว่าฮั๊ววู่เด๋าจะพ่ายแพ้ให้กับการดวล แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ไม่ได้ใช้พลังอย่างเต็มที่ หลังจากได้ต่อสู้กับสุดยอดเวทมนตร์คาถามาฮั๊ววู่เด๋าก็ก้าวข้ามผ่านขีดจำกัดของตัวเองไปได้ พลังผนึกตราประทับทั้งหกของเขาแข็งแกร่งขึ้นหลังจากที่ผ่านการต่อสู้ไปมากกว่าเดิมหลายเท่า ในขณะที่ตัวเขากำลังหาโอกาสในการขอคำชี้แนะของปรมาจารย์อีกครั้ง แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้ตัวเขาจะได้สูญเสียโอกาสนั่นไปซะแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสุดท้ายแล้วตัวเขาก็คงจะแพ้เหมือนเดิม แม้แต่พลังผนึกตราประทับทั้งหกที่เพิ่มพลังมาแล้วก็ยังพ่ายแพ้ให้กับพลงสีฟ้าอันลึกลับที่อยู่ตรงหน้า ในตอนนี้ความมั่นใจทั้งหมดที่มีได้ถูกทำลายไปอย่างสมบูรณ์แบบ
“มันเป็นพลังของม่านพลังอย่างงั้นหรอ? ” ฮั๊ววู่เด๋าไม่เชื่อว่าผู้ฝึกยุทธเพียงแค่คนเดียวจะสามารถปลดปล่อยพลังที่มากมายขนาดนี้ได้ ถ้าหากเป็นแบบนี้แล้วคงจะมีเพียงความเป็นไปได้เพียงแค่หนึ่งเดียวเท่านั้น พลังที่ถูกปล่อยออกมาเป็นพลังของม่านพลังภูเขาทอง แต่ถึงแบบนั้นนี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดถึงเรื่องแบบนี้
ฮั๊ววู่เด๋าและหยวนเอ๋อต่างก็ล้มลงในเวลาเดียวกัน
ในตอนนั้นเองลู่โจวก็ได้ฟื้นคืนสติ ตัวเขาได้สำรวจสภาพแวดล้อมที่อยู่รอบๆ ตัวก่อนที่จะลอยลงไปสู่พื้นอย่างช้าๆ
ลู่โจวจำได้อย่างชัดเจนว่าตัวเขากำลังศึกษาเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์อยู่ นับตั้งแต่ที่ตัวเขาได้รับชิ้นส่วนเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ ในตอนที่ทำความเข้าใจเคล็ดวิชานี้ลู่โจวก็ได้เปลี่ยนไป ตัวเขายิ่งมีสมาธิและจมดิ่งไปกับการทำความเข้าใจได้ และเพราะเหตุผลนี้เองห้องลับจึงเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในการศึกษาทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์
ทันทีที่ลู่โจวเปิดตาขึ้น ตัวเขาก็ได้เห็นลูกศิษย์ทั้งสามที่กำลังอยู่ในห้องลับของตัวเขา ในตอนนั้นเองลู่โจวจึงถูกพลังของเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์กระตุ้นพลังพิเศษโดยสัญชาตญาณ
“ทะ…ท่านอาจารย์? ” จ้าวยู่นั่งอยู่บนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง ในตอนนี้นางได้แต่จ้องมองลู่โจวที่ไม่ได้เป็นอันตรายอะไรเลย
ต้วนมู่เฉิงผลักซากปรักหักพังที่ทับตัวเองออกก่อนที่จะลุกขึ้นยืน ตัวเขากำลังมองไปที่ลู่โจวด้วยความตกใจเช่นกัน
ในตอนนั้นเองฮั๊ววู่เด๋าและหยวนเอ๋อก็ได้ลอยลงมาที่พื้น “ท่านอาจารย์”
“ท่านปรมาจารย์”
หยวนเอ๋อในตอนนี้ดูไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย
ในทางกลับกันใบหน้าและสภาพที่ฮั๊ววู่เด๋ามีในตอนนี้ดูสกปรกเป็นอย่างมาก ดูเหมือนว่าตัวเขาจะได้รับบาดเจ็บนิดหน่อย
ลู่โจวได้มองไปที่ทุกคนอย่างหงุดหงิดก่อนที่จะพูดออกมา “พวกเจ้าช่างกล้าซะจริง”
ต้วนมู่เฉิง, จ้าวยู่ และหยวนเอ๋อต่างก็จ้องไปที่ลู่โจว พวกเขาได้แต่โค้งคำนับให้กับผู้เป็นอาจารย์
ฮั๊ววู่เด๋ารีบอธิบายออกมาอย่างรวดเร็ว “ได้โปรดอย่าเพิ่งโกรธเลยท่านปรมาจารย์”
จ้าวยู่รีบโค้งคำนับก่อนที่จะอธิบายออกมา “ได้โปรดอย่าโกรธพวกเราเลยท่านอาจารย์ ม่านพลังของภูเขาทองทั้งหมดได้ไหลมารวมอยู่ที่แก่นแท้ม่านพลัง…พวกเราคิดว่าท่านกำลังแย่ นั่นคือสาเหตุที่ทำให้พวกเราต้องพังห้องลับมาเพื่อช่วยเหลือท่าน ได้โปรดอภัยให้พวกเราด้วยท่านอาจารย์! “
ลู่โจวได้จ้องมองไปยังม่านพลังที่อยู่ด้านบน ในตอนนี้มันดูอ่อนแรงกว่าในอดีตมากแล้ว
ลู่โจวรู้สึกงุนงง ตัวเขาก็แค่ทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ตามปกติเท่านั้น แล้วทำไมจู่ๆ ตัวเขากลับดูดซับม่านพลังไปแบบนี้กัน? ลู่โจวต้องพบกับความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่หลังจากการทำความเข้าใจในครั้งนี้ เนื่องจากพลังของเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ขัดแย้งกับพลังที่ม่านพลังมี เพราะแบบนั้นห้องลับที่ตัวเขาอยู่จึงถูกทำลายไป
ลู่โจวได้มองไปที่เหล่าสาวกทั้งหมดก่อนที่จะพูดออกมา “ผู้ที่กล้าบุกรุกห้องลับของข้าจะต้องได้รับการลงโทษ ฮั๊ววู่เด๋าและต้วนมู่เฉิงจะต้องถูกเฆี่ยน 30 ครั้ง ส่วนจ้าวยู่ จะต้องถูกเฆี่ยน 20 ครั้ง”
“ศิษย์ยอมรับโทษแต่โดยดี…” เหล่าสาวกทั้งหมดไม่แม้แต่จะหายใจดังๆ ออกมา ไม่มีใครสักคนที่กล้าถามอะไรถึงหยวนเอ๋อ
เป็นไปไม่ได้เลยที่หยวนเอ๋อจะเป็นคนที่เสนอแนวคิดนี้ ดังนั้นฮั๊ววู่เด๋า, ต้วนมู่เฉิง และจ้าวยู่จะต้องได้รับโทษไป
ลู่โจวได้พูดออกมาอย่างใจเย็น “สร้างห้องลับใหม่ให้เสร็จภายในหกเดือนซะ”
ฮั๊ววู่เด๋ายอมรับการลงโทษด้วยความเต็มใจ แต่เมื่อมองกลับไปที่ลู่โจวดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้เป็นอะไรเลยแม้แต่น้อย ฮั๊ววู่เด๋าได้แต่สับสน “ท่านปรมาจารย์ ท่านได้พบกับอุปสรรคอันยิ่งใหญ่ในตอนที่ฝึกฝนตนหรอครับ? “
“เจ้ากำลังสงสัยอะไรในตัวข้ากัน? “
“ข้าน้อยไม่กล้า” ฮั๊ววู่เด๋าตอบกลับก่อนที่จะโค้งคำนับให้ หลังจากนั้นตัวเขาก็ได้พูดต่อไป “ก่อนหน้านี้ข้าคิดว่าจะมีเรื่องฉุกเฉินเกิดขึ้น ท่านคงจะจงใจที่จะเสี่ยงตัวเองเพื่อให้ก้าวข้ามผ่านขีดจำกัดของตัวเองไป พรสวรรค์ของท่านไม่มีใครเทียบเคียงได้จริงๆ ท่านปรมาจารย์”
ลู่โจวไม่ได้อธิบายอะไรออกไปมากนัก ลำพังตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจอะไรเช่นกัน ตัวเขาเพิ่งจะมีวรยุทธอยู่ที่ขั้นศักดิ์สิทธิ์ระดับแรกเท่านั้น ในแง่ของพลังวรยุทธที่มีตัวเขายังมีพลังไม่เท่ากับพลังของโจวจี้เฟิงด้วยซ้ำไป
แม้แต่ผู้ฝึกยุทธขั้นศักดิ์สิทธิ์ที่มีกัน 100 คนยังไม่อาจที่จะเอาชนะผู้ฝึกยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์เพียงแค่ 3 คนได้ แต่ถึงแบบนั้นลู่โจวก็ได้แต่ตกใจกับพลังของเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ที่ทรงพลังถึงขนาดนี้ นอกเหนือจากพลังคลื่นเสียงที่สามารถใช้ขับไล่เหล่ายอดฝีมือไปได้ พลังที่ตัวเขาเพิ่งจะใช้มาก็สามารถทำลายพลังผนึกตราประทับทั้งหกได้อย่างง่ายดายเช่นกัน
“ข้าน่ะหรอที่กำลังแย่? ” ลู่โจวรู้สึกอยากจะหัวเราะออกมา “ฉันก็แค่อยู่ในสภาวะที่ใช้สมาธิสูงก็เท่านั้น แค่ใช้สมาธิมากๆ จะไปตกอยู่ในสถานะที่กำลังแย่ได้ยังไงกัน? “
ฮั๊ววู่เด๋ารู้สึกอึดอัดเกินกว่าที่จะทนคุยต่อไปได้ ถ้าหากตัวเขายังคงพูดถึงเรื่องนี้ต่อไปเห็นทีจะมีแต่โดนลงโทษ
“พวกเราประเมินสถานการณ์ผิดพลาดไปเอง ขออภัยด้วย”
เห็นได้ชัดว่าศิษย์สาวกทุกคนที่ตัวเขามีไม่ใช่พวกเลือดเย็น
“แล้วม่านพลังเป็นยังไงบ้าง? ” ลู่โจวได้ถามออกมา
“พวกเรายังไม่ได้ตรวจสอบ”
ลู่โจวได้เดินออกไปที่ด้านนอกก่อนที่จะเอามือไขว้หลังไปด้วย
ในตอนนั้นเองผู้ฝึกยุทธหญิงที่มองดูเหตุการณ์จากในระยะไกลต่างก็ได้แต่ลุกลี้ลุกลน หลังจากที่พวกนางทั้งหมดเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พวกนางก็ได้แต่ลังเลว่าจะไปดูเรื่องที่เกิดขึ้นดีไหม
ม่านพลังป้องกันได้ถูกทำลายไปกว่าครึ่ง
ฝานลี่เทียนได้ลงไปนอนอีกครั้ง ตัวเขาก็พูดออกมาอย่างเฉื่อยชา “ไม่ว่าจะเป็นหรือจะตาย…ยังไงซะมันก็คงจะไม่ได้แตกต่างอะไรกันหรอก”
เหล่าผู้ฝึกยุทธหญิงก้าวเดินไปยังขอทานเฒ่า
“แต่ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นกับศาลาปีศาจลอยฟ้าจริงๆ เจ้านั่นแหละที่จะไม่มีเหล้าดื่ม”
ฝานลี่เทียนเบิกตากว้างก่อนที่จะพูดออกมา “เจ้าพูดมีเหตุผล ข้าหวังว่าศาลาปีศาจลอยฟ้าจะไม่ได้เป็นอะไร” ตัวเขาได้เหลือบมองไปที่แก่นแท้ม่านพลัง ในตอนนี้ดูเหมือนว่าม่านพลังจะกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง สีของท้องฟ้าไม่เหมือนกับเมื่อก่อน ม่านพลังที่ทำให้ตัวเขาไม่สามารถออกไปได้ตอนนี้ได้จางลงแล้ว สำหรับฝานลี่เทียนที่หาทางเข้ามาได้ม่านพลังแบบนี้ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรสำหรับตัวเขาเลย
ฝานลี่เทียนได้แต่ส่ายหัวออกมา “ความรุ่งโรจน์ของศาลาปีศาจลอยฟ้าคงจะไม่กลับย้อนมาแล้วสินะ”
ผู้ฝึกยุทธหญิงทุกคนต่างก็หันไปมองที่ชายชรา พวกนางทั้งหมดรู้สึกว่าขอทานคนนี้เป็นเพียงแค่คนธรรมดาๆ คนธรรมดาแบบเขาจะไปพูดถึงเรื่องอะไรแบบนี้ได้ ทุกคนในตอนนี้ยังคงดูกังวล ในที่สุดลู่โจวก็ได้ออกมาจากศาลาปีศาจลอยฟ้าพร้อมกับมือที่ไขว้หลัง
ต้วนมู่เฉิง, จ้าวยู่, หยวนเอ๋อ และฮั๊ววู่เด๋าเดินตามหลังของเขามาด้วยท่าทีที่สะบักสะบอมราวกับว่าพวกเขาทั้งหมดเพิ่งจะผ่านการต่อสู้มา
“ท่านปรมาจารย์! ” ผู้ฝึกยุทธหญิงได้โค้งคำนับให้ลู่โจวอย่างพร้อมเพรียง
“ช่วยทำความสะอาดทีนะ” ลู่โจวได้โบกแขนของตัวเองไปที่ศาลาปีศาจลอยฟ้า
ฝานลี่เทียนนอนอยู่บนที่ที่สูงกว่าเดิม เมื่อเห็นลู่โจวกำลังจะเดินเข้ามาหา สีหน้าที่ซีดเซียวของเขาก็ดูจริงจังมากขึ้น “เจ้าสบายดีสินะ? “
ลู่โจวได้เดินผ่านไปอย่างไม่แยแสในขณะที่เอามือไขว้หลังอยู่ ตัวเขาได้จ้องไปที่ม่านพลังที่อยู่ใกล้ๆ “เจ้าหวังให้มีอะไรเกิดขึ้นกับข้าสินะ? “
“ข้าไม่ได้หวังแบบนั้นหรอก…” ฝานลี่เทียนพูดในขณะที่กอดขวดเหล้าของตัวเองเอาไว้ “ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นกับเจ้าจริง ข้าก็คงจะไม่ได้ดื่มเหล้ารสชาติดีแบบนี้ต่อไปแน่”
หยวนเอ๋อที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้ตะโกนกลับมา “เจ้าน่ะก็แค่เอาแต่ดื่มเหล้าก็เท่านั้น ข้าหวังว่าวันหนึ่งเจ้าจะสำลักเหล้าพวกนั้นจนตายไป! “
โดยปกติแล้วฝานลี่เทียนไม่เคยที่จะรู้สึกรำคาญเมื่อจะต้องเถียงกับสายน้อยอย่างหยวนเอ๋อ ตัวเขาจ้องไปที่ลู่โจวก่อนที่จะพูดออกมา “ช่างน่าเสียดาย…”
“น่าเสียดายอะไรกัน? “
“ข้ากลัวว่าข้าจะนอนหลับไม่สนิทก็เพราะเหตุความวุ่นวายในครั้งนี้” หลังจากพูดจบตัวเขาก็ได้หลับตาลงนอนอีกครั้ง ตัวเขากำลังพักผ่อนพร้อมกับเพลิดเพลินไปกับการอาบความอบอุ่นจากแสงอาทิตย์
ลู่โจวมองไปที่ฝานลี่เทียนก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าน่ะช่วยให้เจ้าหลับสบายได้ดีมากกว่านี้ได้นะ”