บทที่ 241 ไร้ทางเลือก

เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙]

บทที่ 241 ไร้ทางเลือก

ใบหน้าของเหมยเชาฟงมืดมนลง เขาพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ข้าไม่ได้ไร้ประโยชน์ ข้ายังคงมีสำนักดอกบ๊วย!”

เขาไม่เต็มใจที่จะลอบสังหารซูอัน มันเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่ง เพราะ ซูอันไม่ใช่ขยะอย่างที่คนอื่นคิดอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าเขาจะฆ่าซูอันได้ เขาก็ไม่สามารถอยู่ในเมืองจันทร์กระจ่างต่อไปได้อีก ทั้งตระกูลฉู่ และสถาบันจันทร์กระจ่าง ย่อมไม่ยอมให้เรื่องนี้จบลงง่าย ๆ แน่นอน

และที่สำคัญเขาเป็นถึงเจ้าสำนักดอกบ๊วย เขาจะยอมถูกปฏิบัติราวกับเป็นเบี้ยในกระดานหมากรุกได้ยังไง!

“สำนักดอกบ๊วยงั้นเหรอ?” ซือเล่อจื่อเยาะเย้ย “ข่าวที่เจ้าฆ่า ดอกบ๊วยสิบสามได้แพร่กระจายออกไปแล้ว และเจ้ายังเพิ่งฆ่าดอกบ๊วยเจ็ดไปไม่นานด้วย ลูกน้องของเจ้าสูญเสียความเคารพและความภักดีต่อเจ้าไปแล้ว เจ้ายังคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าสำนักดอกบ๊วยผู้ยิ่งใหญ่เหมือนเดิมอีกงั้นเหรอ?”

เหมยเชาฟงกัดฟันกรอดด้วยความโกรธ

ข้ารู้เช่นกันว่าการฆ่าดอกบ๊วยเจ็ดจะทำให้ลูกน้องของข้าหมดความไว้วางใจในตัวข้า แต่ข้ามีทางเลือกอื่นด้วยเหรอ? ในเมื่อเจ้านายของเจ้าเป็นคนสั่งให้ข้าทำ!

ดอกบ๊วยสิบสามเป็นลูกน้องคนสนิทที่สุดของเขา แต่ตระกูลซือบังคับให้เขาฆ่ามันเพื่อให้เป็นไปตามแผน ตอนนี้กลับจะมาโทษว่าเป็นความผิดของเขางั้นเหรอ?!

เหมยเชาฟงรู้สึกขุ่นเคืองอย่างมาก แต่จากสถานการณ์ของตัวเองในปัจจุบันทำให้เขาไม่กล้าพูดออกมาดังๆ

“พวกเราออกไปจากที่นี่กันก่อนเถอะ” แม้แต่ผู้บ่มเพาะอันทรงพลังอย่างซือเล่อจื่อก็ยังไม่กล้าทำตัวประมาทที่นี่ การบุกเข้ามาในเรือนจำไม่ใช่เรื่องเล็กอย่างแน่นอน ถ้าเขาถูกจับได้ แม้แต่ตระกูลซือเองก็ต้องพบกับปัญหาครั้งใหญ่…

ทั้งสองรีบออกจากเรือนจำแล้วมุ่งหน้าไปยังที่พักอันห่างไกลภายในเมือง

“ตอนนี้เจ้ายังไม่ควรกลับไปที่สำนักดอกบ๊วย เมื่อทางการรู้ว่าเจ้าแหกคุกเมื่อไหร่ พวกเขาจะออกหมายจับเจ้าทันที เจ้าพักที่นี่ชั่วคราวไปก่อนจะดีกว่า” ซือเล่อจื่อกล่าว

เหมยเชาฟงมองดูกำแพงที่ทรุดโทรมรอบ ๆ ตัวเขา ขณะที่เขาคิดว่าเมื่อวานนี้เขายังคงกินเนื้อ ดื่มสุราชั้นดี และห้อมล้อมไปด้วยหญิงสาวสวย ๆ เขาอดไม่ได้ที่จะสมเพชตัวเองที่ตกต่ำภายในวันเดียวเช่นนี้

เมื่อสังเกตเห็นแววตาที่ขุ่นเคืองของเหมยเชาฟง ซือเล่อจื่อกล่าวว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องหดหู่ให้มากนักหรอก เมื่อไหร่ที่เจ้าทำเรื่องที่นายน้อยมอบหมายให้สำเร็จแล้ว เราจะส่งเจ้าไปที่เมืองอื่น เจ้าจะได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระและกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่เหมือนเดิม”

เหมยเชาฟงขมวดคิ้ว “การฆ่าซูอันนั้นไม่ยากเลย แต่ปัญหาคือตระกูลฉู่ คอยปกป้องเขาอยู่ มีทหารคอยคุ้มครองอยู่ทุกที่ที่เขาไป และตัวเขาเองก็ไปมาแค่สถาบันจันทร์กระจ่างกับคฤหาสน์ของตระกูลฉู่ข้าจะหาช่องว่างสังหารเขาได้ยังไง!?”

ถ้าสามารถฆ่าซูอันได้ง่ายขนาดนั้น ทำไมถึงต้องคิดแผนใส่ร้ายอะไรให้วุ่นวายด้วย? ก็ฆ่ามันไปเลยแต่แรกให้จบๆ!

“เจ้าไม่ต้องกังวลไป เราพบวิธีที่จะฆ่าเขาแล้ว” ซือเล่อจื่อตอบกลับ

“ยังไง?” คำพูดนี้เรียกความสนใจของเหมยเชาฟงได้ทันที นาทีนี้เขาไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการฆ่าซูอันด้วยมือตัวเองเพื่อระบายความโกรธ

“เจ้าจำเสียงเพลงแปลก ๆ บนเวทีประลองเมื่อวานนี้ได้ไหม?” ซือเล่อจื่อถาม

“ข้าจำได้! ข้าเคยได้ยินว่าเขาเรียกมันว่าบี..จี..เอ็มหรืออะไรสักอย่าง” เหมยเชาฟงตอบ แม้แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าทำนองเพลงนั้นค่อนข้างดึงดูดและทำให้รู้สึกฮึกเหิมเป็นอย่างมาก

“ซูอันใช้เปลือกหอยในการเล่นท่วงทำนอง และจากผลการตรวจสอบของเรา เปลือกหอยนั่นเป็นสมบัติส่วนตัวของอาจารย์สอนภาษาของสถาบันจันทร์กระจ่าง ดูเหมือนว่านางจะไม่เคยให้ใครยืมมาก่อน” ซือเล่อจื่อกล่าว

เหมยเชาฟงรู้สึกประหลาดใจ “อาจารย์ที่ว่าคนนั้นใช่ซางหลิวอวี้หรือเปล่า?”

ฉู่ชูเหยียน ภรรยาของซูอันเป็นสาวงามอันดับหนึ่งของเมืองจันทร์กระจ่าง แต่ก็มีข่าวลือว่าเขากำลังคบหากับผู้หญิงสวย ๆ หลายคนในสถาบันจันทร์กระจ่างด้วย จนถึงทุกวันนี้ ตำนานเจ้าแห่งแมงดา ยังคงแพร่กระจายไปทั่วเมือง สร้างความฮือฮาต่อผู้ที่ได้ฟังเป็นอย่างมาก

เหมยเชาฟงคิดว่าผู้หญิงที่คบหาสนิทสนมกับซูอันเหล่านั้นส่วนใหญ่เป็นเด็กสาวใจง่าย แต่ใครจะไปคิดล่ะว่าแม้แต่ผู้หญิงที่สง่างามและเป็นผู้ใหญ่อย่างซางหลิวอวี้ก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย?

เขาเริ่มสงสัยว่าผู้ชายลักษณะอย่างซูอันเป็นที่นิยมในหมู่หญิงสาวได้ยังไง?

ตัวเขาเองแค่มีจางอวี้ไว้สนองความต้องการคนเดียว เขายังลำบากแทบตายกว่าจะได้นางมาเป็นที่ระบายอารมณ์ความใคร่! ในขณะที่ซูอันเกี่ยวข้องกับผู้หญิงที่สวยและโดดเด่นที่สุดหลายคนในเมืองจันทร์กระจ่างในคราวเดียว ความเหลื่อมล้ำนี้ทำให้เขารู้สึกอิจฉาจนแทบคลั่ง

“เราไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของเขากับซางหลิวอวี้เป็นไปแบบไหน แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะค่อนข้างสนิทสนมกัน” ซือเล่อจื่อกล่าว

“พรุ่งนี้ เมื่อซูอันไปถึงสถาบันจันทร์กระจ่าง เราจะอ้างชื่อซางหลิวอวี้ ล่อเขาให้ออกมาพบแบบเป็นส่วนตัว ในรายงานฉบับหนึ่งของเจ้าที่ส่งถึงนายน้อย เจ้าบอกว่าดอกบ๊วยสิบสามเคยเห็นพวกเขาอยู่ด้วยกันในศาลาใกล้สถาบัน เราจะนัดให้ซูอันไปที่นั่น ข้าคิดว่าเขาคงไม่ปฏิเสธ”

“ดีมาก ข้าจะฉีกเนื้อของไอ้สารเลวนั่นเป็นชิ้น ๆ เพื่อสังเวยความโกรธของข้า!” เหมยเชาฟงกำหมัดแน่น

ท่านยั่วยุเหมยเชาฟงสำเร็จ

ได้รับคะแนนความโกรธแค้น +812!

เมื่อมองไปที่ค่าความโกรธแค้นที่ไหลเข้ามาอย่างกะทันหัน ซูอันก็ถอนหายใจ โอ้…เพื่อนของข้าคงคิดถึงข้าจนเข้ากระดูกดำ ยังดีที่ตอนนี้เขาถูกขังอยู่หลังลูกกรง ไม่อย่างนั้นข้าคงหนาว ๆ ร้อน ๆ เป็นแน่

จากนั้นเขาจึงหันกลับมาสนใจฉู่ชูเหยียนและพูดว่า “ที่รัก เจ้าไม่คิดจะอนุญาตให้ข้าย้ายเข้าไปนอนกับเจ้าจริง ๆ เหรอ? เจ้าถึงขั้นยอมรับว่านอนกับข้าต่อหน้าคนอื่น ๆ แล้วนี่!”

“ว่าไงนะ?” น้ำเสียงของฉู่ชูเหยียนเรียบเฉยคล้ายไม่ใส่ใจ

“ข้าก็แค่คิด! จะเสียหายอะไรในเมื่อเจ้าเองก็เสียชื่อเสียงไปแล้ว?” ซูอันอธิบาย “หากเจ้าไม่ถืออะไร ข้าแนะนำให้เรานอนห้องเดียวกันสักที!”

“…” ฉู่ชูเหยียน

เมื่อรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่นางจะเถียงชนะซูอัน นางจึงปิดประตูห้องของนางอย่างแรง…

จมูกของซูอันเกือบจะโดนประตูกระแทก เขาแทบจะถอยหลังหลบออกมาไม่ทัน จากนั้นเขาก็ถอนหายใจ “ฮ่าฮ่า ดูเหมือนหนทางยังอีกยาวไกลงั้นสินะ”

ในขณะเดียวกันที่ห้องนอนใหญ่ของคฤหาสน์ตระกูลฉู่ ฉู่จงเทียนได้อธิบายทุกอย่างที่เกิดขึ้นในห้องพิจารณาคดีให้ภรรยาของเขาฟัง จากนั้นเขาก็สรุปอย่างเคร่งขรึมว่า “ถึงแม้ว่าอาซูจะดูเหมือนคนบ้าระห่ำและบางครั้งคำพูดคำจาก็ไร้สาระ แต่ท้ายที่สุดเขายังมีความคิดที่เฉียบแหลมที่ช่วยให้เขาวิเคราะห์ปัญหาและจัดการกับต้นตอของปัญหาได้ บางครั้งในขณะที่ข้ายังคงคิดหาวิธีโต้ตอบอยู่เลย แต่อาซู กลับลงมือโต้กลับไปแล้ว”

“เขามีความสามารถขนาดนั้นเลยเหรอ?” ฉินหว่านหรูถามอย่างสงสัย

“ข้าได้บอกเจ้าทุกอย่างแล้ว เจ้าควรจะตัดสินด้วยตัวเอง หากเจ้ายังคงสงสัยในเรื่องนี้ก็ลองไปถามชูเหยียน ได้” ฉู่จงเทียนรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าภรรยาของเขายังคงแสดงสีหน้าไม่เชื่อถือ นี่ข้าดูเหมือนคนที่พูดออกมาโดยไม่ไตร่ตรองก่อนงั้นเหรอ?

ฉินหว่านหรูขมวดคิ้ว “แล้วทำไมเขาต้องทำเหมือนตัวเองเป็นคนไร้ค่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา?”

ฉู่จงเทียนส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เราน่าจะหาเวลาคุยกับเขาเรื่องนี้สักหน่อย”

“เป็นไปได้หรือเปล่าว่าเขาเป็นสายลับที่ตระกูลอื่นส่งมา?” ฉินหว่านหรู คาดเดา

“ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น” ฉู่จงเทียนตอบ “พูดตามตรง ข้ารู้สึกประหลาดใจจริง ๆ ที่เขาชนะการประลองระหว่างตระกูล แต่ข้าไม่ได้คิดอะไรในตอนนั้นเพราะอย่างไรก็ดี เขาก็เป็นเพียงแค่ผู้บ่มเพาะระดับสามเท่านั้น

แต่ที่ทำให้ข้าต้องมองเขาใหม่ก็คือท่าทีของเขาในห้องพิจารณาคดีในวันนี้ เขาทำให้ข้ารู้สึกว่าเขาเป็นคนที่เฉียบแหลมเป็นอย่างมากคนหนึ่ง บางทีชูเหยียนอาจได้สามีที่ดีมาจริงๆ”

“ท่านอย่าด่วนสรุป!” ฉินหว่านหรูพูดเสียงดัง “ท่านลืมความตั้งใจของ ชูเหยียนในการหาสามีแล้วงั้นเหรอ? หากซูอันมีความสามารถอย่างที่ท่านบอกและเขาจงใจซ่อนเขี้ยวเล็บของเขาจนถึงตอนนี้ เขาก็เป็นคนที่ไม่น่าไว้ใจเป็นอย่างยิ่ง!”

“คงไม่ร้ายแรงอย่างที่เจ้าคิดหรอกมั้ง?” ฉู่จงเทียนตอบกลับด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน

“ท่านลืมเรื่องโหยวเจาของเราแล้วหรือยังไง?” ฉินหว่านหรูอุทาน “เราอาจปิดเรื่องของโหยวเจาจากคนอื่นได้ แต่ไม่มีทางที่เราจะซ่อนเรื่องของโหยวเจาจากซูอันได้นาน ถ้าซูอันรู้ความลับของโหยวเจาและคิดไม่ซื่อขึ้นมาตระกูลฉู่ของเราจะเป็นยังไง? แล้วชูเหยียนจะเป็นยังไง? นางคงตกอยู่ในที่นั่งลำบากแน่นอน!”

ฉู่จงเทียนลังเลอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวว่า “ข้าคิดว่าเราควรพิจารณาให้ชูเหยียนเป็นผู้สืบทอดตระกูลฉู่ หลายปีมานี้นางเสียสละเพื่อตระกูลฉู่มามากแล้ว”

“แต่ราชสำนักและตระกูลอื่นจะไม่มีวันเห็นชอบด้วย!” ฉินหว่านหรูถอนหายใจ “ลืมมันไปก่อนเถอะ เราแค่ต้องก้าวไปทีละก้าวและดูสถานการณ์ว่ามันจะดำเนินไปยังไง”