ตอนที่ 254 แผนการของคุณแม่ว่าน

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 254 แผนการของคุณแม่ว่าน

หลังมื้ออาหารกลางวัน หลี่หมิงเฉิงเก็บสัมภาระของตัวเองที่มีอยู่แค่ไม่กี่ชิ้น ก่อนจะเรียกหาหลินม่ายจากใต้บันได “เราจะออกไปตอนไหน?”

หลินม่ายยังกินข้าวไม่เสร็จ จึงตอบกลับไปว่า “รออีกเดี๋ยวก็แล้วกัน”

ฟางจั๋วหรานถาม “คุณจะพาเขาไปไหน?”

หลินม่ายเล่าให้เขาฟังว่าเธอซื้อห้องเดี่ยวบนถนนเฉียนจิ้นเอาไว้ให้หลี่หมิงเฉิง วางแผนว่าจะให้เขาย้ายเข้าไปอยู่ที่นั่นตั้งแต่วันนี้

เดิมทีฟางจั๋วหรานก็ไม่อยากให้หลี่หมิงเฉิงอยู่บ้านเดียวกันกับหลินม่ายนานนัก ถึงแม้ว่าเขาจะมีที่นอนชั่วคราวอยู่ในบ้านชั้นล่างก็ตาม

ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นชายหนุ่ม การที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับหลินม่ายซึ่งเป็นแฟนสาวของเขา ไม่แน่ว่าอาจทำให้หลงลืมตัวเข้าสักวัน

ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่เขาจะมีความสุขเมื่อรู้ว่าวันนี้หลี่หมิงเฉิงจะได้ย้ายออกไปเสียที

หลังจากกินข้าวในชามอย่างรีบร้อนจนหมด ฟางจั๋วหรานก็หยิบธนบัตรสองสามใบออกมาจากกระเป๋าสตางค์ แล้วยื่นให้หลินม่าย “ให้หลี่หมิงเฉิงเอาไปซื้อของใช้ส่วนตัวเถอะ”

หลินม่ายส่ายหน้า “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันพอมีเงินอยู่”

“ผมรู้อยู่แล้วว่าคุณมีเงิน” ฟางจั๋วหรานยัดธนบัตรพวกนั้นไว้ในมือเธอ “คิดซะว่านี่เป็นความปรารถนาดีเล็ก ๆ น้อย ๆ จากผมที่มีต่อหลี่หมิงเฉิง แต่ไม่ต้องบอกเขาเรื่องนี้นะ เดี๋ยวเขาจะได้ใจ”

หลินม่ายยิ้ม “ไม่รู้สิ เห็นคุณดีกับหมิงเฉิงขนาดนี้ ฉันคิดว่าคุณสนใจเขาเสียอีก!”

ฟางจั๋วหรานแค่นเสียง “ต่อให้ผมจะสนใจผู้ชาย แต่ผมไม่มีทางสนใจผู้ชายแบบเขาแน่ กล้ามเนื้อแน่นอกผึ่งผายสมวัย แต่มันสมองกลับไม่พัฒนา…”

ทันใดนั้นภาพคนคนหนึ่งที่ ‘กล้ามอกเป็นมัดแต่ไม่มีสมอง’ ก็ผุดขึ้นมาในความคิดของหลินม่าย เธอยิ่งหัวเราะด้วยความขบขัน “ใช่ว่ามันสมองของหมิงเฉิงไม่พัฒนาซะหน่อย เขาแค่ซื่อบื้อเกินไปจนถูกคนอื่นหลอกลวงได้ง่าย ๆ”

โต้วโต้วเองก็อยากไปดูห้องใหม่ของหลี่หมิงเฉิงเช่นกัน ส่วนอาหวงกระดิกหางไม่หยุด สื่อว่ามันเองก็ต้องการเช่นเดียวกับเจ้านายตัวน้อย

ฟางจั๋วหรานพูดขึ้นมา “ผมไปด้วย”

หลินม่ายสะบัดเสียงใส่ “มีอะไรให้น่าแห่ไปดูกัน”

ว่าแล้วเธอก็เหยียดขาขวางทางอาหวงไว้ “แกน่ะไม่ต้องตามไปหรอก”

อาหวงเห่าหอนอยู่สองสามหนด้วยความไม่เต็มใจ

โต้วโต้วจึงต้องก้มลงลูบศีรษะมัน กระซิบปลอบใจว่า “อยู่ที่บ้านต้องทำตัวดี ๆ นะ แล้วฉันจะซื้อเนื้อให้แกกิน”

พออาหวงได้ยินแบบนั้นก็กระดิกหางเป็นใบพัดด้วยความดีใจ

ทั้งสามเดินลงบันไดไปชั้นล่าง โจวฉายอวิ๋นกับหลี่หมิงเฉิงยืนรออยู่ก่อนแล้ว ไม่จำเป็นต้องถามก็รู้ว่าหล่อนอยากตามไปดูด้วยเหมือนกัน

ในที่สุด ผู้ใหญ่สี่คนกับเด็กหญิงอีกคนหนึ่งก็เดินทางไปยังห้องเดี่ยวบนถนนเฉียนจิ้น

หลินม่ายผลักประตูที่ผู้พักอาศัยต้องใช้ร่วมกันเข้าไป เดินนำไปยังห้องเดี่ยวที่เธอซื้อไว้

ในห้องครัว เพื่อนบ้านครอบครัวหนึ่งกำลังทำอาหารกันอยู่ ใครคนหนึ่งชะโงกหน้าออกมาเมื่อได้ยินเสียง

หลินม่ายสบตากับอีกฝ่าย ทันใดนั้นต่างฝ่ายต่างก็ตกตะลึง เด็กสาวคนนั้นหลบหน้ากลับเข้าไปในห้องครัวตามเดิม จดจ่ออยู่กับการทำอาหารต่อไป

คนคนนั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากว่านฮุ่ย

หลินม่ายนึกไม่ถึงว่าตัวเองจะบังเอิญซื้อห้องเดี่ยวอยู่ติดกับห้องของครอบครัวว่านฮุ่ย

จากนั้นผู้หญิงร่างผอมคนหนึ่งก็เดินออกมาจากห้อง พอเห็นว่าในมือของหลี่หมิงเฉิงถือกระเป๋าสัมภาระเอาไว้ ก็ถามหลินม่ายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ย้ายเข้าวันนี้แล้วสินะ”

ท่าทางที่ดูกระตือรือร้นเป็นพิเศษของอีกฝ่าย ทำให้หลินม่ายอดคิดไม่ได้ว่าก่อนหน้านี้เธอกับอีกฝ่ายมีความบาดหมางอะไรต่อกันหรือเปล่า?

ขณะที่ผู้หญิงร่างผอมพูดอยู่นั้น สายตาของเธอก็จับจ้องไปที่หลินม่ายและหลี่หมิงเฉิง ก่อนจะเหลือบมองไปที่ฟางจั๋วหราน แล้วแสดงท่าทางประหลาดใจออกมา

หลินม่ายพยักหน้า “ใช่ค่ะ แต่ฉันไม่ได้เป็นคนย้ายเข้านะคะ พี่ชายของฉันต่างหาก”

สำหรับคนแปลกหน้าแล้ว เธอมักจะแนะนำหลี่หมิงเฉิงแบบนี้เสมอ

บอกตามตรงว่าเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงการคาดเดาสกปรกทุกประเภทจากคนอื่น ‘เพื่อนงั้นเหรอ? หนุ่มสาวจะมีมิตรภาพต่อกันแค่เพื่อนได้ยังไง? เพื่อนแบบไหนถึงต้องควักเงินซื้อห้องเดี่ยวแล้วยกให้เขาเข้าอยู่ฟรี ๆ?’

หลินม่ายเดินเลี่ยงไปที่ห้องของตัวเองแล้วเปิดประตู

พอเห็นว่าหลินม่ายไม่สนใจจะคุยด้วย หญิงร่างผอมก็ตั้งท่าจะหันกลับเข้าไปในห้องของตัวเองตามเดิม แต่พอได้ยินโต้วโต้วเรียกแม่ แล้วเธอก็ตอบรับด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแบบนั้น หล่อนก็หยุดเดินทันที ก่อนจะหันกลับมาถามหลินม่ายอย่างแปลกใจ “เธอมีลูกแล้วเหรอ? ลูกโตขนาดนี้แล้วรึนี่?”

ว่านฮุ่ยที่อยู่ในห้องครัวชะโงกหน้าออกมาดูอีกครั้ง สายตาตกไปอยู่ที่โต้วโต้ว

สาวสวยอีกคนที่อายุประมาณสิบเจ็ดถึงสิบแปดปีที่อยู่ในห้องเดียวกันกับหญิงร่างผอมเองก็ชะเง้อหน้าไปมองหลินม่ายกับโต้วโต้วด้วยความอยากรู้อยากเห็น

หลินม่ายพยักหน้ารับอย่างใจเย็น

เพราะผิวพรรณของหลินม่ายขาวผ่องเป็นยองใย แถมยังตัวเล็กบอบบาง ประกอบกับใบหน้าที่อ่อนเยาว์ ทำให้เธอดูเหมือนยังเป็นเด็กสาวแรกรุ่น

หญิงร่างผอมยังคงจ้องมองด้วยความประหลาดใจอยู่อย่างนั้น

นึกอยากถามเธอเหลือเกินว่าทำไมถึงได้ปล่อยให้มีลูกตั้งแต่อายุยังน้อยแบบนี้ แต่เอาเข้าจริงก็ไม่กล้าถาม

หลินม่ายเพิกเฉยต่อสายตาพิจารณาสอดส่องของอีกฝ่าย พอเปิดประตูห้องได้แล้ว ทุกคนก็เดินเข้าไปข้างใน

ผนังห้องทาสีขาวสะอาดตา ประตู หน้าต่าง รวมถึงเฟอร์นิเจอร์ก็ทาสีใหม่ทั้งหมด ทำให้สภาพดูเหมือนเป็นห้องใหม่เอี่ยม

เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวเองจะได้อยู่ภายในห้องใหญ่โตขนาดนี้ตามลำพัง หลี่หมิงเฉิงก็มีความสุขมากจนยิ้มกว้างปากแทบฉีกไปถึงรูหู โพล่งออกมาว่า “ม่ายจื่อ เธอนี่ใจดีกับฉันจังเลย”

โจวฉายอวิ๋นกลัวว่าฟางจั๋วหรานจะเข้าใจผิด จึงรีบแก้ต่าง “ม่ายจื่อเคยใจร้ายกับใครบ้างล่ะ?”

ทันใดนั้นหลี่หมิงเฉิงถึงได้ตระหนักว่าสิ่งที่เขาเพิ่งพูดออกไปเมื่อครู่ดูไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไหร่ จึงได้แต่กลบเกลื่อนไว้ด้วยรอยยิ้ม

ทุกคนเข้ามาเยี่ยมชมห้องแป๊บเดียวก็จากไป ปล่อยให้หลี่หมิงเฉิงจัดข้าวของเข้าที่ตามลำพัง

พอเดินออกไปหยุดอยู่หลังประตู หลินม่ายก็ยัดเงินหลายสิบหยวนที่ฟางจั๋วหรานให้มาใส่มือของหลี่หมิงเฉิง “นายเก็บเงินจำนวนนี้ไว้ซื้อข้าวของจำเป็นนะ”

หลี่หมิงเฉิงปฏิเสธไม่รับ “ใช่ว่าฉันไม่มีเงินติดตัวเลยซะหน่อย”

หลินม่ายชำเลืองมองเขา “ฉันหรือจะไม่รู้จักนายดี? นายเก็บเงินไว้ใช้จ่ายส่วนตัวเดือนละแค่สิบหยวน ส่วนเงินที่เหลือก็ส่งกลับไปที่บ้านซะหมด แล้วนายจะมีเงินเหลือใช้ไว้ซื้อข้าวของที่จำเป็นได้ยังไง เงินจำนวนนี้คืออั่งเปาที่จั๋วหรานกับฉันให้นายเนื่องในโอกาสย้ายเข้าบ้านใหม่ อย่าได้เกรงใจเลย รับไว้เถอะ”

หลินม่ายยัดเยียดเงินให้เขาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เดินจากไปพร้อมกับคนอื่น ๆ

พอเดินผ่านห้องของว่านฮุ่ยอีกครั้ง เธอเห็นว่าครอบครัวของว่านฮุ่ยกำลังล้อมวงรับประทานอาหารกลางวัน บนโต๊ะอาหารมีชายหญิงทั้งหมดรวมห้าคน

มองปราดเดียวก็พอคาดเดาได้ว่าครอบครัวนี้อยู่กันสองสามีภรรยา โดยมีลูกอีกสามคน

หญิงร่างผอมทักทายหลินม่ายด้วยรอยยิ้ม “ไปแล้วเหรอ?”

หลินม่ายตอบด้วยรอยยิ้มเช่นกัน “ใช่ค่ะ”

พอเห็นว่าว่านฮุ่ยจ้องเขม็งมองหลินม่ายด้วยสายตาไร้มารยาท ฟางจั๋วหรานก็จ้องกลับไปทางหล่อนอย่างเย็นชา จนหล่อนต้องหลุบตาลงต่ำทันทีด้วยความตื่นตระหนก

หลังจากที่หลินม่ายกับเพื่อน ๆ ของเธอออกจากบ้านไปแล้ว หญิงร่างผอมก็ถือวิสาสะเดินเข้าไปในห้องของหลี่หมิงเฉิงพร้อมกับถือชามข้าวไว้ในมือ ถามด้วยเสียงกระซิบกระซาบ “น้องสาวของเธออายุเท่าไหร่เอง ทำไมลูกถึงได้โตขนาดนี้?”

“น้องสาวผมอายุสิบแปดแล้ว เด็กคนนั้นก็ไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของหล่อน เป็นเด็กที่หล่อนรับเลี้ยงไว้”

ว่านฮุ่ยซึ่งยืนอยู่ตรงทางเดินและเงี่ยหูฟังแม่ของตัวเองคุยกับหลี่หมิงเฉิงไปด้วยความรู้สึกละอายใจขึ้นมา

ที่แท้เด็กคนนั้นก็ไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของหลินม่าย…

คุณแม่ว่านยังคงซุบซิบถามต่อ “แล้วผู้ชายตัวสูงที่หน้าตาหล่อ ๆ คนนั้นเป็นใครกัน?”

หลี่หมิงเฉิงเห็นว่าอีกฝ่ายถามเรื่องส่วนตัวยิบย่อยก็รู้สึกขยะแขยง แต่เพราะคิดว่าพวกเขาอาศัยอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน จึงยอมตอบคำถามด้วยความอดทน “น้องเขยของผมในอนาคต”

คุณแม่ว่านถามด้วยความสนอกสนใจ “น้องเขยของเธอทำงานที่ไหนเหรอ?”

ฟางจั๋วหรานวางตัวดี แต่งตัวมีรสนิยม หล่อนเดาว่าเขาจะต้องมีพื้นฐานทางครอบครัวที่ดีแน่ อาจจะมีตำแหน่งหน้าที่การงานดี รายได้สูงพอประมาณ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่แต่งตัวดีขนาดนี้หรอก

หลี่หมิงเฉิงตอบอย่างเสียไม่ได้ “เขาเป็นรองศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยการแพทย์ผู่จี้”

“รองศาสตราจารย์เลยรึ!” คุณแม่ว่านถามเสียงสูงพลางเบิกตาโต “เงินเดือนต้องเยอะมากแน่ ๆ”

“ผมจะไปรู้กับเขาเหรอ!” ในที่สุดหลี่หมิงเฉิงก็หมดความอดทน หันไปพูดประชดประชันว่า “คุณป้า ทำไมคุณถึงมีคำถามเยอะแยะมากมายนัก? ต่อให้เงินเดือนของอาจารย์ฟางเขาจะเยอะแค่ไหน เขาก็คงไม่แบ่งให้ป้าใช้หรอก!”

สีหน้าของคุณแม่ว่านแข็งกระด้างไปทันที จากนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “ฉันคงพูดมากไปหน่อย” พูดจบแล้ว หล่อนก็หันหลังกลับแล้วเดินเข้าห้องของตัวเองไป

หล่อนถามข้อมูลเกี่ยวกับฟางจั๋วหรานก็เพราะมีจุดประสงค์แอบแฝง ว่านเสียน ลูกสาวคนโตของหล่อนอายุสิบแปดปีแล้ว ผลการเรียนเฉลี่ยในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของเธอในปีนี้ไม่เป็นที่น่าพอใจเท่าไหร่ อาจสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ด้วยซ้ำ

แต่ตอนนี้งานอื่นก็หายากแสนยาก ถ้าสมัครเข้าทำงานในหน่วยงานของรัฐ คงไม่พ้นเป็นแค่ลูกจ้างชั่วคราวเท่านั้น

อีกทั้งครอบครัวของหล่อนยังเป็นครอบครัวที่ไม่มีเส้นสายใด ๆ

พวกเขาอยู่ในสังคมระดับนี้ คนรู้จักก็อยู่ในสังคมระดับเดียวกันอย่างไม่ต้องสงสัย

คุณแม่ว่านอยากให้ว่านเสียนได้แต่งงานเข้าตระกูลดี ๆ แต่ไม่มีญาติพี่น้องหรือคนรู้จักคนไหนที่พอจะรู้จักมักคุ้นกับคนที่มีฐานะทางครอบครัวดี ๆ เลย

ต่อให้มีสักคนสองคนที่พอรู้จัก แต่มิตรภาพระหว่างพวกเขาก็ยังไม่เพียงพอที่จะร้องขอให้พวกเขาช่วยเป็นแม่สื่อให้ได้

ด้วยเหตุนี้เส้นผมของคุณแม่ว่านจึงเปลี่ยนเป็นสีดอกเลาเพราะกังวลเรื่องการแต่งงานของลูกสาวคนโต

จนกระทั่งหล่อนได้พบกับฟางจั๋วหราน เขาทั้งหล่อเหลา แถมยังมีหน้าที่การงานดี หล่อนจึงไม่อยากให้โอกาสนี้หลุดลอยไป ดังนั้นจึงวางแผนว่าจะเลียบ ๆ เคียง ๆ ถามข้อมูลส่วนตัวของเขาอย่างละเอียด

น่าเสียดายที่เพื่อนบ้านซึ่งเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ไม่ยอมบอก…

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

คิดจะยัดลูกสาวให้พี่หมอเหรอคุณป้า มาดูนังหรงเป็นตัวอย่างก็ได้นะว่าโดนพี่หมอเล่นงานอะไรไปบ้าง ลูกสาวป้าไม่ได้ชื่อหลินม่ายก็ลำบากหน่อยนะ

ไหหม่า(海馬)