ข้ามองเห็นเมืองเจี้ยนเย่อยู่ไกลๆ ใจพลันเต้นกระหน่ำดุจคลื่นซัดสาด ในที่สุดก็กลับมาแล้ว ท่านเจ้าแคว้นนำขบวนขุนนางและราษฎรมารอต้อนรับบรรดาผู้มีคุณูปการที่กรีธาทัพกลับมาพร้อมชัยชนะโดยตั้งขบวนห่างจากเมืองไปสามสิบลี้ พวกเราลงจากม้า เดินเข้าไปถวายความเคารพแก่เจ้าแคว้น เจ้าแคว้นสุขอุรายิ่ง กุมมือเต๋อชินอ๋องพร้อมตรัสว่า “เสด็จอาสร้างคุณูปการแก่แว่นแคว้น ข้าตระเตรียมสุราและงานเลี้ยงแสดงความยินดีต่อเสด็จอาไว้แล้ว”
ขณะที่ข้าติดตามกองทัพเข้าสู่ตัวเมือง รู้สึกคล้ายมีคนผู้หนึ่งบนหอสุราเล็กๆ ริมถนนกำลังจับจ้องมาที่ข้าตลอด แต่ข้ากลับไม่รู้สึกรังเกียจ
หลังงานเลี้ยงเฉลิมฉลอง ข้าพาเฉินเจิ่นกลับไปยังที่พำนักอย่างเร่งร้อน ข้าได้รับพระราชทานรางวัลจากศึกแคว้นสู่ในคราวนี้มาไม่น้อย ดังนั้นตอนเช้าจึงตัดสินใจซื้อเรือนไว้ที่ชานเมืองอีกแห่งหนึ่ง อย่างไรเสียเต๋อชินอ๋องก็รับปากจะช่วยข้าผ่อนผันงานราชการแล้ว ทั้งยังอนุญาตให้ข้าอยู่พักรักษาตัวที่บ้านได้ ข้าจึงไม่ต้องอยู่ที่เมืองอันคับแคบอึดอัดเช่นนั้นอีก
ก่อนข้ากลับมา เสี่ยวซุ่นจื่อติดตามหวังไห่กลับมาก่อนแล้ว เขาเลือกเรือนให้ข้าอย่างดี ทั้งยังจ่ายเงินและรับมอบเรือนเรียบร้อยแล้ว เมื่อคืนเขามาพบข้าที่ศาลาพักม้าเพื่อแจ้งตำแหน่งเรือนที่พำนักแห่งใหม่ของข้า ข้ากับเฉินเจิ่นเดินไปตามแผนที่ ไม่นานก็หาเรือนหลังนั้นพบ เป็นเรือนเล็กเรียบง่ายทว่างดงามและเงียบสงบ กระทั่งศาลาและหอสูงก็มีครบครัน เสี่ยวซุ่นจื่อจ้างบ่าวรับใช้ไว้หลายคนแล้ว พวกเขาทำความสะอาดได้อย่างไร้ข้อบกพร่อง
หลังจากแช่น้ำผลัดอาภรณ์เสร็จสิ้นข้าก็ไปที่ห้องหนังสือ เสี่ยวซุ่นจื่อจัดเรียงตำราของข้าไว้ในห้องเรียบร้อยแล้ว ข้าหยิบพงศาวดารเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่าน ทว่ายามนี้เอง เฉินเจิ่นเดินเข้ามารายงานว่า “ใต้เท้า มีคนมาขอพบท่าน ตอนนี้รออยู่ด้านนอกขอรับ”
ข้าถึงกับตกตะลึง เพิ่งย้ายมาที่นี่ ยังไม่ทันลงทะเบียนกับกรมมหาดไทยจะมีคนมาเยี่ยมเยียนข้าได้อย่างไร
เฉินเจิ่นเห็นข้าสับสนจึงอธิบายว่า “ตอนใต้เท้ากลับมา ท่านจ้างรถม้ามาส่ง เมื่อสารถีผู้นั้นกลับไปก็มีคนถามที่อยู่ใต้เท้ากับเขา”
ข้าคิดในใจ ว่ากันว่าสารถี คนแจวเรือ พ่อค้า กุลีและนายหน้า หากจับตัวคนเหล่านี้ได้สมควรสังหารให้ตายไปเสีย นับว่าเป็นจริงตามนั้นโดยแท้ ข้าคิดพลางเอ่ยถาม “เทียบขอพบเล่า”
เฉินเจิ่นใช้สองมือประคองเทียบส่งให้ข้า กล่าวตามตรง แม้เดิมทีเฉินเจิ่นจะเชื่อฟังคำพูดของข้า แต่ข้ามักรู้สึกว่าเขาดูแคลนข้า ทว่าหลังข้าใช้หนึ่งบทกวีบีบบังคับสู่อ๋องจนตาย ท่าทีของเขาพลันแปรเปลี่ยน กลายเป็นเคารพนอบน้อมเหลือคณา ข้ารับเทียบมาเปิดดู เห็นด้านบนเขียนชื่อหลิ่วเพียวเซียงเอาไว้จึงรีบถามไปว่า “คนผู้นั้นยังอยู่หรือไม่”
เฉินเจิ่นรีบตอบ “ผู้น้อยให้พวกเขารออยู่ที่ประตูขอรับ”
ข้ารีบพูดว่า “รีบให้พวกเขาเข้ามาเร็ว ไม่สิ ข้าไปต้อนรับเองดีกว่า”
กล่าวจบข้าก็รีบเดินออกไปทันที เมื่อถึงประตู ข้าเห็นบัณฑิตอาภรณ์เขียวผู้หนึ่ง เขาสวมเสื้อคลุมสีดำปิดบังทั้งร่าง ทั้งยังสวมหมวกสานสีดำ ทำให้เห็นรูปโฉมใบหน้าไม่ชัดเจน ทว่าเพียงเห็นจริตกิริยาและรูปร่างของนาง ข้าก็รีบถลันเข้าไปกุมมือทั้งสองของนางไว้โดยไม่สนใจหญิงรับใช้ที่ปลอมตัวเป็นเด็กรับใช้ทั้งสองคนที่อยู่ข้างกายนาง เอ่ยไปว่า “เจ้ามาแล้วหรือ วันนี้เจ้าดูข้าอยู่บนหอสุรากระมัง”
หญิงรับใช้นางหนึ่งบอกอย่างเย็นชา “ตั้งแต่ท่านจ้วงหยวนออกเดินทาง คุณหนูของข้าก็กินไม่ได้นอนไม่หลับ กระทั่งมิได้ไปที่เรือด้วยซ้ำ หากมิใช่ว่าวันนี้ท่านจ้วงหยวนกลับมาแล้ว คุณหนูคงไม่ยอมก้าวพ้นประตูเป็นแน่”
ข้าพยายามข่มความยินดีในใจ กุมมืออรชรของหลิ่วเพียวเซียง พูดว่า “ข้ารู้แล้ว ข้ารู้แล้ว เจ้าเองก็ชอบข้าสินะ”
หลิ่วเพียวเซียงปลดหมวกสานออกจากศีรษะเผยให้เห็นใบหน้าซีดเซียวเหนื่อยล้า ข้าตกตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนดึงนางเข้ามากอดพลางพูดว่า “เจ้าทำกับข้าเช่นนี้ แม้สุยอวิ๋นร่างกายแหลกสลายจนเหลือเพียงเถ้ากระดูกก็มิอาจตอบแทนน้ำใจของสตรีงามเช่นเจ้าได้”
หลิ่วเพียวเซียงเอ่ยเบาๆ “หลังจากท่านออกเดินทาง ข้าก็ไม่สบายใจทั้งคืน เอาแต่กังวลว่าท่านจะมีอันตราย วันนี้เห็นท่านกลับมาพร้อมชัยชนะ ข้าจึงค่อยวางใจ เดิมทีไม่สมควรมาหาท่าน เพียงแต่อยากถามกับตัวว่าท่านเป็นเช่นไร”
ข้ากล่าวอย่างซาบซึ้งใจ “ความจริงข้าอยากไปหาเจ้า แต่ข้าคิดอยู่เสมอว่าเจ้าไม่อยากเจอข้า”
หญิงรับใช้ผู้นั้นหัวเราะ “เอาละ พวกท่านอย่ามัวร่ำไรอยู่เลย บ่าวเหนื่อยแทบตายแล้วเจ้าค่ะ”
ข้ากับหลิ่วเพียวเซียงสบตายิ้มแย้มให้กัน ข้าประคองนางเดินเข้าไป ส่วนหญิงรับใช้สองนางนั้นย่อมมีคนคอยดูแล
กลางดึกในราตรีที่เต็มไปด้วยความสุขสม ข้ามองไปยังหลิ่วเพียวเซียงที่ทอดตัวนอนอย่างเกียจคร้านก่อนผุดลุกขึ้นจากเตียง หยิบพู่กันขึ้นมาตวัดลื่นไหลดั่งสายชล ขณะนั้นหลิ่วเพียวเซียงตื่นขึ้นมาแล้ว นางเดินมาหาข้า โอบกอดข้าจากด้านหลัง กล่าวแย้มยิ้มว่า “ท่านจ้วงหยวนแต่งกลอนอีกแล้วหรือ”
ข้ามองนางด้วยแววตารักใคร่ลึกซึ้ง โอบเอวบางของนางพลางดึงให้ลงมานั่งที่ตัก ให้นางดูบทประพันธ์ใหม่ของข้า
นางรวบเกศางามที่แผ่สยาย หยิบร่างบทกวีขึ้นมา เป็นบท ‘สะพานเซียนสกุณา’ นางอ่านออกเสียงไปว่า “ปโยธรถักทอสร้างสายใย ดาราสะท้อนใจโศกสลด ข้ามผ่านชลธารเพื่อพานพบ ยามน้ำค้างและวลาหกบรรจบกัน อบอุ่นอ่อนโยนดุจสินธุ ยามพบหวานสุขดั่งภาพฝัน มิสนใจสะพานเซียนสกุณาเพียงมองกัน หากมีเวลาย่อมมิผกผัน เคียงคู่กันตราบนิรันดร”
“อา!” นางครางเสียงต่ำ จากนั้นจึงใช้สายตาเร่าร้อนมองมาที่ข้า ไหนเลยข้าจะทนความเย้ายวนเช่นนี้ได้จึงรีบอุ้มนางเดินไปที่เตียง กอดรัดพัวพันตลอดคืน
จนกระทั่งวันต่อมา เมื่อข้าตื่นขึ้นกลับไม่เห็นแม้แต่เงาของสาวงามเสียแล้ว ข้าคิดอย่างปวดใจ หรือนางยังไม่พร้อมแต่งให้ข้า แต่นางไม่ได้รับแขกแล้ว หรือนางจะไม่อยากแต่งให้ข้าจริงๆ ไม่ทันไรข้าก็เห็นบทกวีสั้นๆ บทหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะหนังสือ ตัวอักษรคล้ายเป็นรอยหมึกสดใหม่
“ตะวันยามวสันต์ลาลับ ดอกซิ่งปลิ่วว่อนเต็มผม มอบค่ำคืนวสันต์แก่บุรุษแปลกหน้า หวังตบแต่งเคียงคู่จนแก่เฒ่า แม้ถูกทอดทิ้งไร้ปรานีก็มิเขินอาย”
ข้าคุกเข่ากล่าวคำภาวนาด้วยใจซาบซึ้งเหลือคณา “สวรรค์คุ้มครอง เพียวเซียงยอมแต่งให้ข้าแล้วจริงๆ”
สิ่งใดคือสะอาดบริสุทธิ์ อันใดคือชื่อเสียงเกียรติยศ สตรีอัศจรรย์เช่นเพียวเซียง หากแต่งให้ข้าก็นับเป็นวาสนาของข้าแล้ว ข้าคิดว่าเพียวเซียงคงมิใช่สตรีที่ชมชอบอำนาจชื่อเสียง และคงไม่ชอบชีวิตสงบราบเรียบมากเกินไป รอให้ข้าคิดหาวิธีไปจากหนานฉู่ได้เสียก่อน ข้าจะพานางออกพเนจรไปทั่วทั้งใต้หล้า ให้นางเห็นทิวทัศน์ของสี่มหาสมุทร มีคนงามเคียงคู่ พเนจรไปสุดหล้า ชีวิตเช่นนี้แม้เทพเซียนก็มิอาจเอื้อม รอให้พวกเราสองคนเที่ยวจนเหนื่อยเสียก่อนค่อยหาสถานที่ทิวทัศน์งดงามน่าหลงใหลอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า นี่สมควรเป็นความฝันที่งดงามยิ่ง
ข้ารีบร้อนไปยังกรมมหาดไทยจึงได้ทราบว่าเจ้าแคว้นเลื่อนตำแหน่งให้ข้าหนึ่งขั้น ยามนี้ข้าได้เป็นซื่อเจี่ยงของสำนักฮั่นหลินแล้ว นอกจากนั้นเจ้าแคว้นยังอนุญาตให้ข้าอยู่พักรักษาตัวที่บ้านชั่วคราวด้วย
หลังจากจัดการเอกสารเรียบร้อย ข้าก็วิ่งไปยังร้านขายเครื่องประดับแห่งหนึ่งอย่างลิงโลด ทว่าเลือกอยู่พักใหญ่ก็ยังไม่มีเครื่องประดับชิ้นใดถูกใจ เพียวเซียงคงเห็นเครื่องประดับจนชืดชาแล้ว จะชอบของดาษดื่นเหล่านี้ได้อย่างไร
ดังนั้นข้าจึงออกแบบเองเสียเลย แล้วจ้างให้พวกเขาทำให้ เป็นปิ่นและกําไลทองอย่างละหนึ่งชิ้น หลังจากพวกเขาเห็นแบบร่างของข้าก็ขอร้องอ้อนวอนอยากใช้แบบร่างนี้ทำเครื่องประดับออกขาย แต่กลับถูกข้าปฏิเสธ นี่คือของที่ข้าคิดมอบให้เพียวเซียง จะให้พวกเขาทำเลียนแบบได้อย่างไร ทว่าข้ายังรับปากจะออกแบบให้พวกเขาอีกสองชิ้น เพราะอย่างไรก็ได้เงิน ขอเพียงไม่แพร่งพรายออกไปก็ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับข้าแล้ว พวกเขายินดียิ่ง กล่าวว่าแม้การออกแบบของข้าจะต้องการช่างฝีมือผู้มีชื่อเสียง แต่จะเสร็จตามเวลาแน่นอน
ข้ามิแปลกใจที่พวกเขาเอาจริงเอาจังปานนั้น ปิ่นทองเล่มนี้ของข้าไม่ใช่ปิ่นสลักลายหงส์ธรรมดา แต่เป็นปิ่นหงส์อย่างแท้จริง มีพู่ห้อยระย้าออกมาจากปากหงส์ ประดับด้วยไข่มุกกลมกลึงวาววับสามเม็ดสามขนาด และต้องเป็นไข่มุกจากทะเลใต้ที่แท้จริงเท่านั้น ปิ่นทอง มุกเงิน พู่มรกต ความงามสะดุดตาเช่นนั้นจินตนาการได้เลยทีเดียว
ที่น่าตื่นตะลึงที่สุดก็คือข้าต้องการให้ช่างฝีมือผู้มีชื่อเสียงแกะสลักรูปหงส์ในไข่มุกที่เล็กดุจเมล็ดข้าวทุกเม็ด สลักให้ออกมางดงามดุจมีชีวิตจริงๆ โดยแกะสลักไว้ข้างรูร้อยไข่มุก หากไม่สังเกตอย่างละเอียดย่อมไม่ง่ายที่จะมองเห็น ตัวด้ามปิ่นทองบริเวณรอบปากหงส์ประดับด้วยไข่มุกกลมที่หมุนได้ทั่วทิศทาง ปิ่นทองอันประณีตวิจิตรเช่นนี้ แม้มีทองพันชั่งยังยากจะได้มา หากจ้าวเจวี๋ยมิได้ประทานรางวัลให้ข้าเป็นการส่วนตัว ข้าไหนเลยจะมีทรัพย์สมบัติมากเพียงนี้
ส่วนกำไลข้อมือ ข้าออกแบบให้ตัวกำไลถักทอจากเส้นทองคำพันเกลียวจนเป็นรูปร่าง บนเส้นทองคำประดับด้วยกระดิ่งอย่างไร้รูปแบบ ส่วนข้อต่อทำให้เป็นรูปดอกบัวดอกหนึ่ง ทั้งยังต้องสลักลายดอกบัวไว้บนกระดิ่งทุกใบด้วย นี่คือคำชื่นชมที่ข้ามีต่อเพียวเซียง ข้าอยากบอกนางว่า ในใจข้านางยังคงเป็นดอกบัวขาวที่มิแปดเปื้อนโคลนตม
ยุ่งอยู่ครึ่งวัน เมื่อเวลาใกล้ค่ำข้าจึงค่อยพาเฉินเจิ่นกลับบ้านด้วยความตื่นเต้นลำพองใจ เพิ่งมาถึงประตูกลับเห็นหญิงรับใช้ของเพียวเซียงถลาตัวเข้าหาข้าด้วยน้ำตานองหน้า ข้าตะลึงพรึงเพริด ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดจึงรู้สึกคล้ายมีความหนาวยะเยือกจนแทบแข็งเกิดขึ้นในใจ เนิ่นนานผ่านไปข้าค่อยได้ยินเสียงตัวเองถามไปอย่างแข็งทื่อว่า “เกิดอะไรขึ้น”
หญิงรับใช้นางนั้นร้องไห้สะอึกสะอื้น “วันนี้เช้าคุณหนูกลับไปด้วยความเบิกบานใจยิ่ง เตรียมถอนตัวออกจากการเป็นข้าทาสคณิกาเพื่อเป็นเจ้าสาวตบแต่งให้ท่าน ผู้ใดจะรู้ว่าเยี่ยนเหนียงกลับส่งคนมาบอกว่ามีแขกต้องการพบคุณหนู คุณหนูไม่ฟัง บอกว่าตั้งแต่วันนี้ไปจะไม่พบแขกอีก แต่เยี่ยนเหนียงกล่าวว่าผู้มาเยือนเป็นคนใหญ่คนโต ขอร้องให้คุณหนูช่วยชีวิต คุณหนูคิดว่าหลายปีมานี้เยี่ยนเหนียงดูแลพวกเราอย่างใส่ใจ เพียงไปพบเท่านั้นคงไม่เป็นไร ถูๆ ไถๆ ไปครู่หนึ่งเป็นพอ เมื่อคุณหนูกลับตัวเป็นคนดีก็จะปฏิเสธได้อย่างผ่าเผยตรงไปตรงมาแล้ว ผู้ใดจะทราบ…ผู้ใดจะทราบว่าคุณหนูไปคราวนี้จะไม่ได้กลับมาอีก วันนี้ตอนค่ำ จู่ๆ ก็มีคนส่งศพคุณหนูกลับมา บอกว่าคุณหนูป่วยกะทันหันจนตาย…”
ตอนต่อไป