ตอนที่ 251 ฉลาดไปมักตายเร็ว
เฟ่ยฉางหลิว เจิ้งจิ่วเซียวและเซี่ยฮวาต่างรออยู่ที่นี่เช่นกัน
เมื่อทั้งสองฝ่ายพบหน้า หนิวโหย่วเต้าก็เอ่ยถามว่า “เตรียมพร้อมหมดแล้วกระมัง?”
เฟ่ยฉางหลิวชี้คนสิบห้าคนที่คอยอยู่ “แต่ละสำนักต่างส่งผู้อาวุโสหนึ่งคนมาเป็นผู้นำกลุ่ม ล้วนเป็นยอดฝีมือของทั้งสามสำนัก คนที่อยู่ทางแคว้นฉีก็จะให้ความร่วมมือกับเจ้าด้วย”
หนิวโหย่วเต้าเอียงคอส่งสัญญาณเล็กน้อย กงซุนปู้พยักหน้ารับ ทิ้งศิษย์สองคนไว้ให้หนิวโหย่วเต้า ส่วนตนพาอีกสามคนที่เหลือเข้าไปหายอดฝีมือสิบห้าคนจากสามสำนัก ประสานมือเอ่ยว่า “ทุกท่าน โปรดมากับข้าก่อนเถอะ!”
ยอดฝีมือสิบห้าคนนั้นงุนงง มองไปทางหนิวโหย่วเต้า จากนั้นก็มองไปทางเฟ่ยฉางหลิว คล้ายจะตั้งคำถามอยู่
เฟ่ยฉางหลิวช่วยถามแทนพวกเขา “พวกเขารับผิดชอบคุ้มกันเจ้า ไม่ให้ตามไปกับเจ้าหรือ?”
“ไม่ต้องตามข้ามา” หนิวโหย่วเต้าตอบ จากนั้นหันหลังมองไปที่คนกลุ่มนั้น “พวกเจ้าไปกับเขาเถอะ เขาจะบอกพวกเจ้าเองว่าต้องทำอะไรบ้าง”
คนทั้งกลุ่มไม่ทราบว่าเขากำลังจะทำอะไร ทำตัวลับๆ ล่อๆ แล้วก็ไม่ให้คำอธิบาย สุดท้ายทั้งกลุ่มก็ตามกงซุนปู้จากไป ไม่ได้ใช้ทางหลัก หากแต่เดินหายไปในส่วนลึกของป่า
หลังจากพูดคุยกับพวกเฟ่ยฉางหลิวเล็กน้อย ทั้งสองฝ่ายบอกลากัน ต่างฝ่ายต่างบอกให้รักษาตัว หนิวโหย่วเต้าก็เดินทางออกไปจากที่นี่ มุ่งหน้าไปยังปากทางของหุบเขา
ลิ่งหูชิว หงซิ่วและหงฝูต่างรออยู่ที่นี่แล้ว เฮยหมู่ตานกับต้วนหู่ก็รออยู่ที่นี่เช่นกัน ครั้งนี้สองคนนี้ติดตามเดินทางไปด้วย ส่วนอู๋ซานเหลี่ยงและเหลยจงคังอยู่เฝ้าที่นี่
ยามที่ทั้งกลุ่มขึ้นหลังม้า ลิ่งหูชิวมองซ้ายมองขวาเล็กน้อย ถามยิ้มๆ ว่า “น้องหนิวไม่พาผู้ติดตามไปให้มากหน่อยหรือ? ข้าได้ยินมาว่าเจ้ามีศัตรูไม่น้อยเลยนะ”
หนิวโหย่วเต้าหัวเราะฮ่าๆ กล่าวไปว่า “ไม่จำเป็น ทางแคว้นฉีมีคนของสี่สำนักรออยู่ ยิ่งไปกว่านั้นคือมีพี่ลิ่งหูอยู่ ผู้ใดจะกล้าแตะต้องข้าเล่า? หากมีปัญหาข้าก็แค่ประกาศชื่อของพี่ลิ่งหูออกไป!”
คนผู้นี้คงไม่เที่ยวประกาศไปทั่วว่าเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับตนกระมัง? ความคิดแล่นเข้ามาในสมองของลิ่งหูชิว มุมปากกระตุกเล็กน้อย ยิ้มแห้งๆ ไม่ตอบรับ แล้วก็ไม่ปฏิเสธ
ซางซูชิงที่ยืนอยู่บนเนินเขาเฝ้ามองคณะเดินทางควบม้าจากไป จนกระทั่งคนจากไปหมดแล้ว นางก็ยังยืนอยู่ตรงนั้น เงียบงันอยู่เป็นเวลานาน แสงตะวันยิ่งขับเน้นให้ใบหน้าดูน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม ปานที่อยู่บนใบหน้าทำให้คนเกิดความเข้าใจผิด ดูเหมือนตาข้างหนึ่งใหญ่ ข้างหนึ่งเล็ก
ทั้งคณะควบม้าออกจากหุบเขา หลังจากเข้าสู่ทางหลวงแล้ว หนิวโหย่วเต้าก็ชี้ไปทางตัวเมือง นำทุกคนมุ่งหน้าไป
ลิ่งหูชิวตะโกนถามด้วยความแปลกใจ “น้องหนิว เจ้ามีธุระต้องเข้าเมืองหรือ?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “พี่ลิ่งหูมาทั้งที ยังไม่ได้ไปเที่ยวชมตัวเมืองจังหวัดชิงซานให้ทั่วเลย เดี๋ยวข้าจะพาพี่ลิ่งหูไปเที่ยวเล่นสักหน่อย”
ลิ่งหูชิวเอ่ยว่า “ไม่ต้องหรอก ก่อนที่จะมานี่ข้าเคยไปมาแล้ว เมืองนี้ผู้คนพลุกพล่านยิ่งนัก ไม่เหมาะสำหรับเที่ยวเล่น เร่งเดินทางกันเถอะ”
หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “ต้องซื้อของที่ใช้ระหว่างทางหน่อย”
เมื่อเป็นเช่นนี้ ม้าหลายตัวจึงควบเข้าไปในเมือง ตระเวนไปทั่วเมือง เฮยหมู่ตานซื้อหาข้าวของบางอย่างมาเล็กน้อย จากนั้นทั้งคณะถึงได้ออกจากตัวเมืองอีกครั้ง ควบม้าจากไป
ระหว่างทาง ลิ่งหูชิวมองหนิวโหย่วเต้าอยู่เป็นระยะ มักจะรู้สึกว่าที่เมื่อครู่หนิวโหย่วเต้าเข้าไปในเมืองไม่คล้ายว่าจะไปซื้อของเลย
เขาสังเกตดูข้าวของที่เฮยหมู่ตานซื้อมา ระหว่างทางมีจุดพักม้าอยู่ ของพวกนี้ไม่จำเป็นต้องซื้อไปด้วยเลย อีกทั้งหนิวโหย่วเต้าก็มีลูกน้องอยู่ไม่น้อย สั่งให้ลูกน้องเตรียมการล่วงหน้าเสียก็สิ้นเรื่อง จำเป็นต้องรอออกมาแล้วค่อยไปซื้อเอาเองด้วยหรือ?
อีกอย่างซื้อของเพียงแค่นี้กลับตระเวนไปรอบเมือง เขารู้สึกหนิวโหย่วเต้าคล้ายจงใจตระเวนไปทั่วเมือง แต่ก็มองไม่ออกว่าหนิวโหย่วเต้ามีแผนการอะไร
……
ณ มณฑลเป่ยโจว จวนท่องคลื่น เซ่าผิงปอได้รับแจ้งจึงเร่งมา มาส่งซูจ้าวโดยเฉพาะ
เมื่อพบหน้าซูจ้าวในเรือน เซ่าผิงปอถามทันที “มีเรื่องหรือ? ไม่ง่ายเลยกว่าท่านจะได้กลับมาสักครั้ง หากไม่มีเรื่องเร่งด่วนอันใดก็อยู่พักสักสองสามวันสิ”
ซูจ้าวถอนใจ “ไม่มีเรื่องแล้วอย่างไร? เจ้ายุ่งกับงานราชการทั้งวัน ต่อให้ข้าอยู่ เจ้าก็ไม่มีเวลามาอยู่เป็นเพื่อนข้าอยู่ดี”
เซ่าผิงปอแสดงสีหน้ารู้สึกผิดเล็กน้อย คว้ามือนาง ยิ้มเจื่อนพลางเอ่ยว่า “ตอนนี้ปลีกตัวมาไม่ได้เลยจริงๆ เอาไว้ต่อไป…”
ซูจ้าวยกนิ้วชี้แตะริมฝีปากเขาไว้ ห้ามไม่ให้เขาพูดอีก “อย่าเอ่ยสัญญากับข้าอีกเลย เจ้าบอกตัวเองเถอะ เจ้าพูดแบบเดิมมากี่ครั้งแล้ว แต่เคยทำได้สักครั้งหรือไม่? หลายปีที่ผ่านมานี้ เจ้าเคยมาอยู่เป็นเพื่อนข้าได้สักวันหรือ? กระทั่งตอนที่ถูกขังอยู่ในคุก เจ้าก็ยังยุ่งอยู่กับงานราชการไม่ว่างเว้น”
เซ่าผิงปอถอนหายใจ “ให้เวลาข้าอีกสองสามปี!”
ซูจ้าวลูบหน้าตน “รออีกสองสามปีเกรงว่าข้าคงเป็นป้าหนังเหี่ยวแล้ว เจ้ายังจะชอบอีกหรือ?”
“พี่จ้าว…”
ซูจ้าวปิดปากเขาไว้อีกครั้ง เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ล้อเล่นน่ะ ข้ามีธุระจริงๆ เป็นธุระของเจ้าด้วย ข้าต้องรีบไปจัดการ”
ดวงตาเซ่าผิงปอเปล่งประกาย “ม้าศึกหรือ?”
ซูจ้าวส่ายหน้า “มีรายงานจากสายลับที่แฝงอยู่ในจังหวัดชิงซาน หนิวโหย่วเต้า หลังจากหดหัวอยู่ในหุบเขามานานขนาดนี้ ในที่สุดก็ออกจากหุบเขาแล้ว ดูจากทิศทางแล้วเหมือนกำลังจะออกจากจังหวัดชิงซาน ครั้งนี้ข้าจะไปกำจัดก้างขวางคอให้เจ้า!”
เซ่าผิงปอมีสีหน้าตื่นตัว จากนั้นสีหน้าก็ตึงเครียดขึ้นมาทันที “คนผู้นี้รับมือได้ยาก จัดการไม่ได้ง่ายๆ พี่จ้าวอย่าได้ประมาท!”
ซูจ้าวเงียบไปครู่หนึ่ง พยักหน้าเล็กน้อย “ใช่ จัดการได้ไม่ง่ายเลยจริงๆ หากคิดจะลงมือ เกรงว่าคงยุ่งยากพอสมควร”
เซ่าผิงปอถามด้วยสีหน้าสงสัย “มีปัญหาอะไรหรือ?”
ซูจ้าวเงยหน้าสบตากับอีกฝ่าย อึกอักลังเล
เซ่าผิงปอเอ่ยว่า “หรือมีเรื่องใดที่ไม่อาจบอกข้าได้?”
ซูจ้าวถอนหายใจเอ่ยไปว่า “ลิ่งหูชิว! ลิ่งหูชิวไปที่จังหวัดชิงซาน พักอยู่กับทางหนิวโหย่วเต้าสองสามวันแล้ว หนิวโหย่วเต้าออกจากหุบเขาครานี้ ลิ่งหูชิวไปกับเขาด้วย ไม่สะดวกจะลงมือ! ก่อนหน้านี้ข้าเข้าหาลิ่งหูชิว ถูกทางสมาคมรู้เข้า ทางสมาคมจึงเตือนมาเป็นพิเศษ บอกว่าเบื้องหลังของลิ่งหูชิวซับซ้อน เตือนไม่ให้ข้าไปล่วงเกินส่งเดช!”
เซ่าผิงปอขบกรามเล็กน้อยจนแก้มตึง จากนั้นก็ยกกำปั้นปิดปาก ไอ “แค่กๆ” ไม่หยุด สีหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีด
ซูจ้าวรีบยื่นมือไปทาบหลังเขา ใช้พลังช่วยปรับลมหายใจให้เขา “เจ้านี่นะ ข้ารู้อยู่แล้วเชียวว่าไม่ควรพูด พอพูดไปเจ้าก็จะถูกกระตุ้นแน่ๆ หนิวโหย่วเต้าคนนี้กลายเป็นปมในใจเจ้าไปแล้วจริงๆ!”
เมื่อลมหายใจเป็นปกติแล้ว เซ่าผิงปอที่ระงับอาการไอได้แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงชิงชังว่า “เดรัจฉานตัวนี้คิดแบบเดียวกับข้า หมายตาลิ่งหูชิวเอาไว้เช่นกัน ถูกเขาชิงตัดหน้าไปก้าวหนึ่งแล้ว! แค่กๆ…” เดินหมากแพ้หนิวโหย่วเต้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ครั้งนี้ก็เป็นเช่นนี้อีก ทำให้เขายากจะสะกดกลั้นเพลิงโทสะในใจได้จริงๆ
ซูจ้าวกล่าวว่า “เจ้าวางใจเถอะ ลิ่งหูชิวคนเดียวปกป้องเขาไม่ได้หรอก ข้าจะหาโอกาสลงมือเอง ต้องกำจัดตัวปัญหานี้ให้เจ้าได้แน่!”
เซ่าผิงปอถามกลับ “เดรัจฉานตัวนี้ซ่อนตัวมานาน ครั้งนี้ไม่มีทางออกจากหุบเขาโดยไร้สาเหตุ เขาจะต้องมีเป้าหมายอะไรแน่นอน รู้หรือเปล่าว่าเขาจะไปทำอะไร?”
ซูจ้าวกลอกตา “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร?”
เซ่าผิงปอเอ่ยถาม “มุ่งหน้าไปยังเส้นทางไหนน่าจะพอรู้กระมัง?”
ซูจ้าวพยักหน้ารับ เซ่าผิงปอหันหลังสาวเท้าเดินออกไปทันที
ซูจ้าวมึนงง ไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร เดินตามหลังไป จนมาถึงห้องหนังสือเก่าของเขา
เซ่าผิงปอยืนรออยู่ตรงหน้าแผนที่ซึ่งแขวนไว้บนผนังของห้องหนังสือ ซูจ้าวเข้าใจความคิดของเขา จึงส่ายหน้าด้วยความจนใจ ชี้ไปบนแผนที่พลางเอ่ยว่า “ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของตัวเมืองชิงซานมีถนนเส้นหนึ่ง มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ”
“ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ…” เซ่าผิงปอจ้องมองแผนที่พลางเอ่ยพึมพำ เห็นได้ชัดว่าจมอยู่ในห้วงความคิด มือเองก็ค่อยๆ ไล่ไปตามแผนที่ “ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ตรงข้ามกับจังหวัดกว่างอี้ ตัดจังหวัดกว่างอี้ทิ้งไปได้ หนึ่งปีที่ผ่านมานี้เขาเร้นกายไม่ออกมา ถ้าไม่หวาดกลัวราชสำนักแคว้นเยี่ยน ก็น่าจะหวาดกลัวทางข้า ดังนั้นจึงไม่มีทางเดินทางไปไหนส่งเดช สถานที่ที่เขาน่าจะไปมีอยู่ไม่มากนัก ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ อาจจะไปมณฑลจินโจวก็ได้ สายลับที่ท่านจัดวางไว้แจ้งหรือไม่ว่าเขาพกปีกทองสำหรับติดต่อไปด้วยหรือไม่?”
ซูจ้าวพยักหน้ารับ “มี ในคณะเดินทางมีสองคนที่พกกรงปีกทองไปด้วย รวมทั้งสิ้นหกตัว คนของลิ่งหูชิวก็พกปีกทองไปด้วยสองตัว”
“ลิ่งหูชิวเดินทางไปทั่ว จำเป็นต้องพกสัตว์สื่อสารติดตัวไว้ จึงไม่นับว่าแปลก ปีกทองที่เขาพกไปด้วยสามารถตัดทิ้งได้! หกตัว…” นิ้วของเซ่าผิงปอจิ้มอยู่ที่มณฑลจินโจว “จังหวัดชิงซานกับมณฑลจินโจวอยู่ติดกัน ไปมณฑลจินโจวไม่จำเป็นต้องพกปีกทองไปมากมายขนาดนั้น ดังนั้นสมมุติฐานที่ว่าจะไปมณฑลจินโจวตัดทิ้งได้เลย…เช่นนั้นเขาจะไปที่ไหนกันแน่?”
เซ่าผิงปอก้มหน้าใคร่ครวญอยู่สักพัก จู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้นมากะทันหัน สายตาไล่ผ่านแผนที่ไปทางแคว้นหนึ่งที่อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ “เขาอาจจะไปที่แคว้นฉี!”
ซูจ้าวแปลกใจ “เหตุใดถึงคิดว่าเขาจะไปที่แคว้นฉี?”
เซ่าผิงปอกัดฟันกล่าว “ม้าศึก!”
ซูจ้าวประหลาดใจ “เจ้าจะบอกว่าเขาก็ต้องการไปซื้อม้าศึกที่แคว้นฉีหรือ?”
เซ่าผิงปอค่อยๆ ย่างเท้าไปหยุดอยู่ในตำแหน่งของแคว้นฉีที่อยู่บนแผนที่ผืนใหญ่ จ้องมองแคว้นฉีพลางเอ่ยว่า “ความจริงทั้งสองจังหวัดของซางเฉาจงก็มีสถานการณ์ไม่ต่างไปจากมณฑลเป่ยโจวเลย ล้วนตกอยู่ในสถานการณ์ที่กำลังจะเผชิญหน้ากับอันตรายเช่นกัน ข้าไม่เชื่อว่าซางเฉาจงจะมองไม่ออก ดังนั้นเขาคงจะต้องการม้าศึกอย่างเร่งด่วนเช่นกัน! ต่อให้ซางเฉาจงมองสถานการณ์ไม่ออก แต่หลานรั่วถิงจะต้องมองออกแน่”
“ในอดีตลั่วเซ่าฟูที่ติดตามอยู่ข้างกายหนิงอ๋องเป็นยอดกุนซือนักวางแผน จนปัญญาที่เสียชีวิตอย่างไม่คาดคิด! การที่ลั่วเซ่าฟูรับหลานรั่วถิงไว้เป็นศิษย์ได้ แสดงว่าเขาคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน มิเช่นนั้นลั่วเซ่าฟูเองก็ไม่มีทางชื่นชมเขาเช่นกัน ไม่มีทางที่หลานรั่วถิงจะมองเรื่องนี้ไม่ออก มิเช่นนั้นซางเฉาจงคงยากจะรอดมาจากเมืองหลวงได้ ข้ารู้จักซางเฉาจงมาตั้งแต่เล็ก เขาเข้าร่วมกองทัพตั้งแต่อายุน้อยๆ ทว่าไม่เคยยุ่งกับงานบริหารอันใดเลย การที่สองจังหวัดของซางเฉาจงพัฒนาไปรวดเร็วขนาดนี้ได้ นี่จะต้องเป็นผลงานของหลานรั่วถิงแน่ๆ!”
“ด้วยกลยุทธ์ของหลานรั่วถิงแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะคาดการณ์ถึงอันตรายในอนาคตไม่ได้ เรื่องม้าศึกน่าจะให้ทางสำนักหยกสวรรค์ไปหาซื้อที่แคว้นฉีแต่แรกแล้ว แต่ก็ไม่ได้ยินว่าสำเร็จสักที คาดว่าคงพบปัญหาเข้า สองจังหวัดนี้ก็เป็นสถานที่ที่หนิวโหย่วเต้าลงหลักปักฐานเช่นกัน เขาไหนเลยจะนั่งดูดายได้? ลิ่งหูชิวไปพบเขา ข้าเคยคิดจะใช้ประโยชน์จากลิ่งหูชิวมาก่อน ทางสำนักหยกสวรรค์ทำงานไม่สำเร็จเสียที สถานการณ์บีบบังคับ เขาจะปล่อยลิ่งหูชิวที่มีเส้นสายกว้างขวางไปโดยไม่ใช้ประโยชน์ได้หรือ?”
เขาชี้ไปทางแผนที่ “อันตรายมาจ่ออยู่ตรงหน้า แอบซ่อนตัวมานาน ในที่สุดก็ออกจากหุบเขาแล้ว มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ไม่ได้ไปมณฑลจินโจว มีลิ่งหูชิวร่วมทางไปด้วย เมื่อมีเบาะแสต่างๆ เหล่านี้ ต่อให้ไม่สามารถยืนยันได้ แต่ก็มีความเป็นได้สูงที่เขาจะไปหาทางซื้อม้าจากแคว้นฉี เว้นแต่จะมีสถานการณ์อันใดที่พวกเราไม่ทราบ แต่นั่นมีความเป็นไปได้ต่ำ ในเมื่อเขามีเจตนาจะซ่อนตัว ในช่วงเวลาระหว่างที่ซ่อนตัวคงไม่มีทางไปก่อปัญหาอะไรขึ้นมาง่ายๆ ดังนั้นความเป็นไปได้ที่จะออกจากหุบเขาเพื่อจัดการปัญหาอื่นจึงมีไม่มากนัก ความเป็นไปได้ที่จะไปหาซื้อม้าศึกจากแคว้นฉีมีสูงที่สุด!”
เขาพลันหันกลับไปจ้องมองซูจ้าว เอ่ยเสียงเข้ม “ท่านสามารถเตรียมดักซุ่มโจมตีล่วงหน้าในเส้นทางที่มุ่งไปสู่แคว้นฉีได้ จากการคาดการณ์ของข้า มีโอกาสสูงมากที่จะสกัดเขาไว้ได้!”
“….” ซูจ้าวพูดไม่ออก ยอมรับว่าสิ่งที่เขาพูดมามีเหตุผล แล้วก็เป็นเพราะยอมรับ แม้ว่าจะทราบดีว่าญาติผู้น้องคนนี้เฉลียวฉลาด แต่ก็ค่อนข้างตกตะลึงเช่นกัน อาศัยเพียงร่องรอยเบาะแสเล็กๆ น้อยๆ ที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกันก็สามารถวิเคราะห์ออกมาได้แล้วว่าหนิวโหย่วเต้าจะไปที่ไหน ไปทำอะไร นี่ทำให้นางไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะพูดอะไรดี
แม้แต่นางก็ยังรู้สึกว่าการที่หนิวโหย่วเต้ามาหาเรื่องคู่ต่อสู้แบบนี้นั้นค่อนข้างน่ากลัว!
นางอดถอนหายใจไม่ได้ เอ่ยไปว่า “เจ้านี่นะ กังวลมากเกินไปแล้ว ในเมื่อข้าสืบทราบร่องรอยของเขา ข้าย่อมมีหนทางในการตามตัวเขา ไม่จำเป็นต้องให้เจ้ามากังวลขนาดนี้เลย ถ้าขืนเจ้ายังทำแบบนี้อีก เมื่อไรอาการป่วยของเจ้าจะหายดีเล่า?”
เซ่าผิงปอยิ้มออกมา เอ่ยว่า “ดูเหมือนข้าจะกังวลมากไปแล้ว แต่ข้าก็ยังยืนยันตามที่พูดไป เดรัจฉานตัวนี้อันตรายมาก ในเมื่อเขาออกมาแล้ว ไม่มีทางที่เขาจะไม่เตรียมการอะไรเลย ไม่มีทางจัดการเขาได้ง่ายๆ เด็ดขาด ท่านต้องระวังตัวไว้”
ซูจ้าวจ้องมองเขา กล่าวว่า “ผิงปอ บนโลกมีคำพูดประโยคหนึ่ง ข้าอยากจะมอบให้เจ้า!”
เซ่าผิงปอยิ้มน้อยๆ “เชิญว่ามา!”
ซูจ้าวสีหน้าเป็นกังวล เอ่ยชัดถ้อยชัดคำ “ฉลาดไปมักตายเร็ว!”
……………………………………………………….