ตอนที่ 294 ความคิดที่มหัศจรรย์
ไกลออกไปพันลี้
แคว้นซ่างกู่ จวนท่านโหวกว่างหนิง
ท่านโหวกว่างหนิง เยียนโส่วจ้านกำลังโบกสะบัดดาบคมอย่างสง่างาม!
บรรดาองครักษ์ต่างถอยหนีออกไปไกล
พ่อบ้านและบ่าวรับใช้หลบอยู่นอกประตูเรือน
มีเพียงกุนซือ ตู้ซินแสที่จำเป็นต้องฝืนเดินขึ้นหน้าไปเกลี้ยกล่อม
“ท่านโหวฝึกมากว่าหนึ่งชั่วยามแล้ว ควรพักผ่อนดื่มน้ำแก้กระหายเสียหน่อย!”
“ข้ายังต้องดื่มน้ำแก้กระหายอีกหรือ ราชสำนักอยากให้ข้าหิวโหยจนตายจึงจะสมปรารถนาของพวกเขา”
ข่าวที่ฮ่องเต้ทรงต้องการเรียกคืนเมืองป๋อไฮ่ถูกส่งจากเมืองหลวงมาถึงแคว้นซ่างกู่
เยียนโส่วจ้านโกรธอย่างมาก…
หากฮ่องเต้อยู่ตรงหน้า เขาจะสังหารฮ่องเต้เสีย
รังแกกันเกินไป!
ไร้สัจจะ!
กลับกลอก!
ชั่วช้าต่ำทราม!
เขาถามตู้ซินแส “ทุกคนต่างบอกว่าวาจาหนักเหมือนทองคำ ทั้งที่ออกพระราชโองการมอบเมืองป๋อไฮ่ให้ข้าแล้ว เพิ่งผ่านไปกี่เดือนก็คิดจะเรียกคืนกลับไป ที่แท้วาจาของฮ่องเต้ไม่นับได้ แม้แต่พระราชโองการก็ไม่นับได้หรือ ตู้ซินแส ท่านเรียนมามาก ท่านบอกข้า กษัตริย์ในแต่ละราชวงศ์มีผู้ใดไร้สัจจะเหมือนฝ่าบาทในเวลานี้บ้าง ถือวาจาของตนเองเป็นเพียงลมปาก”
ตู้ซินแสครุ่นคิดอย่างจริงจัง “กลับกลอกอย่างเปิดเผยเหมือนฮ่องเต้หย่งไท่เช่นนี้หาพบได้ยากในแต่ละราชวงศ์! หากจะพูดถึงฮ่องเต้ที่ไร้สัจจะนั้นมีอยู่ทั่วไป เพียงแต่พวกเขาใช้เวลาค่อนข้างนาน ไม่เหมือนฮ่องเต้หย่งไท่ที่ยังอดทนไม่ครบหนึ่งปีก็เริ่มเปลี่ยนใจ”
“เจ้าว่าข้าควรทำอย่างไร มอบเมืองป๋อไฮ่ออกไปแต่โดยดี หรือว่าเดินทัพก่อกบฏเสีย”
เยียนโส่วจ้านโกรธจัดจนอยากจะยกธงก่อกบฏ บุกไปถึงวังหลวง ลากฮ่องเต้หย่งไท่ออกมาประหารในวันนี้
แน่นอน เขาเพียงแค่คิดเท่านั้น
กองทัพเหนือปักหลักอยู่ในเมืองหลวง หากอยากบุกเข้าไปในเมืองหลวง ย่อมต้องกำจัดกองทัพเหนือเสียก่อน
กองทัพเหนือเป็นศัตรูตัวฉกาจ หากไม่ถึงคราวจำเป็น ไม่มีผู้ใดอยากปะทะกับกองทัพเหนือ
ตู้ซินแสรีบพูด “ท่านโหวระงับความโกรธ! วิธีของฮ่องเต้หย่งไท่อาจทำให้คนนินทา ขุนนางราชสำนักไม่มีทางไม่รู้ หากข้าคาดเดาไม่ผิด ฮ่องเต้หย่งไท่ย่อมต้องมีสิ่งชดเชย”
เยียนโส่วจ้านหัวเราะเย้ยหยันด้วยความรังเกียจ “ชดเชยใดจะเทียบเมืองป๋อไฮ่ได้ คิดจะใช้สิ่งใดก็ได้มาทดแทนข้า ฮ่องเต้และขุนนางราชสำนักคิดว่าข้าเป็นขอทานหรือ”
ปัง!
ดาบฟาดลง!
ไฟโกรธในใจของเยียนโส่วจ้านยิ่งคุกรุ่น
เวลานี้ มีพ่อบ้านเดินเข้ามาด้วยสีหน้าและท่าทางที่รีบร้อน “รายงานท่านโหว เมืองหลวงมีจดหมายมาขอรับ!”
“เมืองหลวงย่อมต้องมีการเคลื่อนไหวใหม่อย่างแน่นอน” ตู้ซินแสพูดอย่างมั่นใจ
เยียนโส่วจ้านยกมือโยนดาบทิ้งไปให้ทหารคนสนิทรับเอาไว้
บ่าวรับใช้เดินขึ้นหน้าปรนนิบัติเปลี่ยนชุด
ตู้ซินแสส่งจดหมายลับไปให้เขาด้วยตนเอง
เมื่อเปิดซิงจดหมาย คลี่กระดาษจดหมายออก อ่านเนื้อหาด้านบนจนจบ เยียนโส่วจ้านก็หัวเราะร่า รอยยิ้มของเขาน่ากลัว เรียกได้ว่ากัดฟันยิ้ม
“ฮ่องเต้หย่งไท่คิดว่าข้าเป็นขอทานเสียจริง เพียงแค่น้ำใจเล็กน้อยก็คิดจะชดเชยข้า ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี!”
เขาส่งจดหมายลับให้ตู้ซินแส “ซินแสดูดีๆ นี่คือวิธีการของราชสำนักกับฮ่องเต้ ตอนสั่งคนให้ทำงาน สามารถรับปากได้ทุกอย่าง พองานจบก็เริ่มเปลี่ยนใจ ฮ่องเต้และขุนนางราชสำนักกลัวกองทัพเหลียงโจวหาเรื่อง แต่ไม่กลัวข้าหาเรื่องหรือ
ข้านอกจากมีกำลังพลน้อยแล้ว มีจุดใดที่เทียบกองทัพเหลี้ยงโจวไม่ได้ โจมตีต่างเผ่า ข้าก็ออกแรงจำนวนมาก เหตุใดจึงต้องเสียสละผลประโยชน์ของข้าเพื่อปลอบประโลมกองทัพเหลียงโจว รังแกผู้ที่ด้อยกว่าไม่มีผิด ข้าเป็นคนอ่อนแอกว่าในสายตาของฮ่องเต้และขุนนางราชสำนัก รังแกกันเกินไปแล้ว!”
พูดจบ เขาก็เตะตั่งเล็กล้มลง
ตั่งเล็ก “…”
ฮือๆ!
ตั่งเล็กมักจะซวย
เมื่อตู้ซินแสอ่านเนื้อหาในจดหมายจบก็ถอนหายใจ
“ฮ่องเต้หย่งไท่ช่างตระหนี่เสียจริง เพียงแค่ยศขุนนางระดับสี่ก็คิดจะแลกคืนเมืองป๋อไฮ่ ช่างทำให้คนดูถูก แต่ฮ่องเต้หย่งไท่ยังเลื่อนยศให้ฮูหยินจากท่านหญิงเป็นองค์หญิง เจตนาไม่ดีนัก! เห็นได้ชัดว่าต้องการให้ฮูหยินข่มท่านโหว ให้นายน้อยสองมีความกล้าที่จะต่อต้านท่านโหว”
“เขากล้า!”
เขาในปากของเยียนโส่วจ้านย่อมหมายถึงเยียนอวิ๋นถง
“ถึงแม้เซียวฮูหยินจะเป็นท่านหญิงที่สูงส่ง แต่เยียนอวิ๋นถงก็เป็นบุตรชายของข้า ให้เขากินหัวใจหมีหรือหัวใจเสือ เขาก็ไม่กล้าแตกแยกกับข้า”
ตู้ซินแสกลับส่ายหน้าระรัวด้วยความกลุ้ม “ฮ่องเต้พระราชทานยศดูเหมือนจะเป็นการให้รางวัล แต่ความจริงแล้วพระองค์ทรงใช้แผนการยั่วยุ ยศนี้ให้ผู้ใด ให้นายน้อยใหญ่ นายน้อยสองย่อมไม่ยอม ไม่แน่ว่านายน้อยสองอาจอาศัยบารมีของฮูหยินทำเรื่องใดลับหลัง หากให้นายน้อยสอง ทางฮูหยินย่อมยากที่จะควบคุม เกรงว่านายน้อยใหญ่จะข่มนายน้อยสองได้ยาก เฮ้อ ฮ่องเต้หย่งไท่ช่างร้ายกาจยิ่งนัก!”
เยียนโส่วจ้านส่งเสียงไม่พอใจ “ฮ่องเต้ตระหนี่ ไร้สัจจะ อีกทั้งยังมีจิตใจชั่วร้าย เจ้าดูเนื้อหาบนจดหมายลับ ขันทีถ่ายทอดพระราชโองการอยู่ระหว่างทางแล้ว คำนวณจากเวลาอย่างมากอีกครึ่งเดือนก็ถึงแคว้นซ่างกู่ ซินแสคิดว่าถึงเวลานั้นข้าควรรับพระราชโองการหรือไม่ หากไม่รับพระราชโองการควรทำอย่างไรต่อไป หากรับพระราชโองการจะทำอย่างไรดี”
ตู้ซินแสไตร่ตรองอย่างละเอียด มันเป็นปัญหาที่ยากยิ่งนัก
“ท่านโหวลองประนีประนอมกับตระกูลหลิวแห่งเหลียงโจวดีหรือไม่”
เยียนโส่วจ้านขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ
ตู้ซินแสจำเป็นต้องพูดต่อ “ตระกูลหลิวกับตระกูลเยียนเป็นเครือญาติกัน สมควรประนีประนอมอยู่แล้ว นอกจากนี้ท่านโหวยังสามารถใช้โอกาสนี้จัดการเรื่องงานแต่งของนายน้อยใหญ่”
“เจ้าหมายถึงตระกูลหลิง?”
“นายน้อยใหญ่ไม่จำเป็นต้องแต่งกับบุตรสาวตระกูลหลิวเท่านั้น ตามที่ข้ารู้ ตระกูลหลิวแห่งเหลียงโจวเป็นตระกูลดั้งเดิมเดียวกับอวี้สื่อต้าฟู หลิวจิ้น ได้ยินว่าหลิวจิ้นมีหลานสาวหนึ่งยังไม่ออกเรือน…”
เยียนโส่วจ้านกระจ่างในทันที “หากข้าจำไม่ผิด หลานสาวคนโตของอวี้สื่อต้าฟู หลิวจิ้นเคยหมั้นหมายให้องค์ชายใหญ่ เซียวเฉิงเย่ ต่อมาหลานสาวของเขาจากไปเพราะอาการป่วย เรื่องนี้จึงจบสิ้นไป”
“ท่านโหวจำไม่ผิด มันเป็นเรื่องเมื่อหลายปีก่อนแล้ว หลานสาวคนโตของหลิวจิ้นเสียชีวิตไปเกือบแปดเก้าปีแล้ว อีกทั้งเรื่องหมั้นหมายนี้ยังมีฮ่องเต้หย่งไท่เป็นสื่อพระราชทานงานให้ด้วยตนเอง เมื่อหลานสาวคนโตของหลิวจิ้นเสียชีวิต ฮ่องเต้หย่งไท่จึงไม่ใส่ใจเรื่องหมั้นหมายขององค์ชายใหญ่ เซียวเฉิงเย่อีก ปล่อยให้เถาฮองเฮากลั่นแกล้ง สุดท้ายชายใหญ่ เซียวเฉิงเย่จึงแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องตระกูลหลี่ของเขา ไม่ได้รับความช่วยเหลือใดๆ”
เยียนโส่วจ้านยกแก้วชาขึ้นจิบ “หลานสาวของหลิวจิ้น…คุณหนูตระกูลหลิง…หากข้ามอบยศให้เจ้าใหญ่ ตระกูลหลิงย่อมไม่มีโอกาสตำหนิชาติกำเนิดของเจ้าใหญ่อีก เพียงแต่เยียนอวิ๋นเพ่ยมีบุตรแล้ว ข้าไม่อาจเอาชีวิตของนางได้อย่างตามใจ”
ตู้ซินแสพูดอย่างจริงจัง “ทางตระกูลหลิงเจรจาไม่ลงตัวเสียที สุดท้ายแล้ว ตระกูลหลิงให้ความสำคัญกับชื่อเสียง ไม่อยากถูกคนหัวเราะเยาะ เพื่อจัดการความผิดที่หลิงฉางเฟิงก่อเอาไว้ พวกเขายอมให้เสบียงและอาวุธแก่ท่านโหวก็ไม่ยอมตกลงเรื่องหมั้นหมาย อย่างไรก็ตาม ทางตระกูลหลิงเจรจายาก
นอกจากนี้ นายน้อยใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการหมั้นหมายนี้ นางเป็นคนสร้างความไม่พอใจของท่านโหวผิงอู่ สืออุนต่อตระกูลหลิงขึ้นมา เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก นายน้อยใหญ่ให้กำเนิดบุตรชายแก่ท่านโหวผิงอู่ สืออุน เวลานี้ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว ท่านโหวต้องคำนึงถึงความเห็นของนายน้อยใหญ่ด้วย”
นายน้อยใหญ่ในปากของตู้ซินแสย่อมหมายถึงเยียนอวิ๋นเฟย
เมื่อปลายปีที่แล้ว ต้นปีนี้ ทางตระกูลหลิงเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น จึงถูกท่านโหวผิงอู่ สืออุนกดขี่อย่างหนัก
สาเหตุมาจากเยียนอวิ๋นเฟย
ด้วยเหตุนี้ หลิงฉางจื้อยังเดินทางไปยังจวนท่านหญิง ขอให้ท่านหญิงจู้หยางหรือเซียวฮูหยินเป็นคนกลาง เกลี้ยกล่อมแทนทั้งสองฝ่าย
ดังนั้นจึงสามารถรู้ได้ว่า เยียนอวิ๋นเฟยมีอิทธิพลไม่น้อยในตระกูลสือแล้ว
อีกทั้งยังมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของท่านโหวผิงอู่ สืออุน
นี่ถึงจะเป็นวิธีการและท่าทีที่กุลสตรีตระกูลใหญ่ควรมี
เสียดายงานแต่งของเยียนอวิ๋นเพ่ยและหลิงฉางเฟิงเสียจริง
หากเยียนอวิ๋นเพ่ยมีความสามารถเพียงครึ่งหนึ่งของเยียนอวิ๋นเฟย มีประโยชน์ในตระกูลหลิงบ้าง เยียนโส่วจ้านคงไม่รังเกียจนางเพียงนั้น
ช่วยไม่ได้แม้แต่เรื่องเดียว
เยียนโส่วจ้านไตร่ตรองไปไตร่ตรองมา “ตามแผนการของซินแส ยศสามารถมอบให้เพียงเจ้าใหญ่?”
ตู้ซินแสตกกระตุก “ท่านโหวมีตัวเลือกอื่น?”
หรือว่ามีคนได้รับความโปรดปรานของท่านโหวแทนที่ของนายน้อยใหญ่ได้แล้ว
เหตุใดเขาจึงไม่รู้
เยียนโส่วจ้านหัวเราะเสียงเบา “ไม่ว่ายศนี้จะให้เจ้าใหญ่หรือเจ้าสอง ย่อมต้องมีคนหนึ่งไม่เต็มใจ หรือไม่ข้าเลือกคนหนึ่งท่ามกลางบุตรชายของข้ามารับยศนี้ ซินแสคิดว่าอย่างไร”
ตู้ซินแสตกตะลึง “ท่านโหวมีตัวเลือก? ไม่รู้ท่านโหวต้องการมอบยศให้นายน้อยท่านใด”
“เหตุใดจึงต้องเป็นนายน้อย ข้ามอบยศให้อวิ๋นเกอไม่ได้หรือ”
ตู้ซินแสตกตะลึง “นี่ๆ …คุณหนูสี่เป็นสตรี จะรับยศขุนนางระดับสี่ได้อย่างไร”
เขาแทบจะงุนงงกับความคิดเกินจริงของเยียนโส่วจ้าน
จะมอบยศให้สตรีได้อย่างไร
สตรีต้องออกเรือนในไม่ช้า หากมอบยศออกไปแล้ว ก็เรียกคืนไม่ได้แล้ว
เยียนโส่วจ้านหัวเราะร่า “ข้าเพียงแค่พูดเท่านั้น ดูซินแสตกใจเข้า…”
ตู้ซินแสโล่งอก โชคดีที่แค่พูดเท่านั้น
“แต่…”
ทันใดนั้น หัวใจของตู้ซินแสก็ถูกยกขึ้นอีกครั้ง
เยียนโส่วจ้านยิ้มอย่างมีนัย “ข้าอยากเห็นเสียจริง เมื่อข้ามอบยศให้อวิ๋นเกอ สีหน้าของทุกคนจะเป็นอย่างไร ไม่รู้ฮ่องเต้และบรรดาขุนนางจะอ้าปากค้างหรือไม่”
“ท่านโหวไม่ได้ล้อเล่น?”
“เจ้าคิดว่าข้าล้อเล่น ข้าก็ล้อเล่น”
เยียนโส่วจ้านพูดกำกวม
ตู้ซินแสคาดเดาความคิดของเขาไม่ออกไปชั่วขณะ
หรือเพราะนายน้อยใหญ่ไปเมืองหลวงนับปี ความสัมพันธ์ระหว่างบิดาและบุตรเจือจางลง ทำให้ท่านโหวไม่ชื่นชอบนายน้อยอีกแล้วหรือ
หากมอบยศให้คุณหนูสี่ เยียนอวิ๋นเกอจริง ตู้ซินแสไม่กล้าคิดแม้แต่น้อยว่าเรื่องนี้จะนำมาซึ่งคำวิพากษ์วิจาร์และการสั่นสะเทือนมากเพียงใด
มันถือเป็นแบบอย่าง!
เรียกได้ว่าไม่เคยมีมาก่อน
เกรงว่าท่านโหวจะได้รับคำวิจารณ์ว่า “เหลวไหล”
บทสนทนาระหว่างทั้งสองคนไม่ได้ถูกแพร่กระจายออกไป
เฉินฮูหยินไม่รู้เรื่องด้านนอกแม้แต่น้อย
หากนางรู้ว่าเยียนโส่วจ้านมีความคิดที่จะมอบยศให้เยียนอวิ๋นเกอ เกรงว่าต้องอาละวาดใหญ่อย่างแน่นอน
แต่เรื่องที่ฮ่องเต้จะทรงเรียกคืนเมืองป๋อไฮ่นั้นถูกแพร่กระจายไปทั่วแคว้นซ่างกู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ลุงของเยียนอวิ๋นฉวน เฉินมั่วหยานมีชาติกำเนิดจากบัณฑิต สมองของเขาแล่นอย่างว่องไว
เขารีบมาหาเฉินฮูหยิน อธิบายถึงผลดีผลเสียภายใน ให้เฉินฮูหยินรีบเตรียมการแทนเยียนอวิ๋นฉวน
“อวิ๋นฉวนอยู่เมืองหลวงดีๆ เหตุใดข้าจึงต้องเหนื่อยใจ”
“น้องหญิง เหตุใดเจ้าจึงเลอะเลือนเช่นนี้ อวิ๋นฉวนจะอยู่ในเมืองหลวงไปตลอดชีวิตได้หรือ รากฐานของตระกูลเยียนอยู่ที่แคว้นซ่างกู่ เขาต้องกลับมาไม่ช้าก็เร็ว ถึงเวลาให้เขากลับมาแล้ว เจ้าหาเวลาพูดกับท่านโหวให้ดี ให้ท่านโหวเรียกอวิ๋นฉวนกลับมาให้ได้”