ตอนที่ 217 ตัวแปรสำคัญที่สุดในชีวิต

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 217 ตัวแปรสำคัญที่สุดในชีวิต

“ข้า…ข้าพูดออกไปแล้ว เจ้าจะทำอันใดข้าได้ ? ” หลินเว่ยเว่ยทำหน้าทะเล้นใส่อีกฝ่ายราวกับว่า ‘เจ้าจะทำอันใดข้า’

“ใช่ ทำอันใดเจ้าไม่ได้ ! ทว่าเวลายังอีกยาวไกล ข้ามีเวลากับเจ้าชั่วชีวิต ! เจ้าเป็นตัวแปรสำคัญที่สุดในชีวิตนี้ของข้า จึงเป็นธรรมดาที่จะต้องมัดไว้ข้างกายและเฝ้าสังเกตตลอดเวลา ไม่อย่างนั้นข้าจะสบายใจได้อย่างไร ? ” ถ้อยคำของเจียงโม่หานแฝงความขุ่นเคืองเล็กน้อย เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าใจเขาไม่ได้ขุ่นเคือง…เฮ้อ สมควรตายเหลือเกินเจ้าศักดิ์ศรีนี้ !

“ตัวแปรสำคัญ ? ข้าเป็นแค่เด็กสาวธรรมดาคนหนึ่ง นายท่านโปรดอย่าถือสา ! ” หลินเว่ยเว่ยหดหู่อย่างมาก เดิมทีนางก็เป็นคนเสแสร้งไม่เก่งอยู่แล้ว ยิ่งอยู่ต่อหน้าบุรุษรูปงามย่อมมีจุดอ่อนเป็นธรรมดา บัณฑิตหนุ่มฉลาดถึงเพียงนี้จะไม่สังเกตเห็นได้อย่างไร ? แต่ไม่ทราบว่าเขาล่วงรู้ความลับของนางมากเท่าใดแล้ว…

“พอเถิด ข้าไม่พูดเรื่องพวกนี้กับเจ้าแล้ว ! ถ้าคราวนี้พวกเรามีชีวิตรอดกลับไป ข้าจะให้ท่านแม่ไปสู่ขอ เจ้ารอกลายเป็นภรรยาบัณฑิตถงเซิงได้เลย ! ” เจียงโม่หานเห็นคำปฏิเสธของนางเป็นความอายจนลามไปกลายเป็นโมโห…เขาไม่เชื่อว่านางไม่อยากแต่งกับตน

“สะ…สู่ขอ ? ปะ…ประเดี๋ยวก่อน ! เจ้าอายุสิบห้า ส่วนข้าอายุสิบสี่ ตอนนี้แต่งงานกันจะไม่เร็วไปหน่อยหรือ ? ไม่ถูกสิ ข้าหมายความว่าข้าเป็นฝ่ายหญิง ความเห็นของข้าต่างหากถึงจะสำคัญ การแต่งงานแบบคลุมถุงชนนี้ไม่ยอมรับเด็ดขาด ! ” หลินเว่ยเว่ยโดนจู่โจมจนเริ่มไปไม่เป็น

บัณฑิตน้อย ความคิดของเจ้าหลุดโลกไปหน่อย นางเริ่มเดาทางเขาไม่ถูกแล้ว บัณฑิตน้อยผู้เย่อหยิ่งและเย็นชาน่าจะไม่ชอบคนติดดินเช่นนาง เหตุใดจึงเอาแต่ร้องจะแต่ง…กับนางให้ได้ ? คงไม่ใช่เพราะ…โดนวิญญาณร้ายในหุบเขาสิงร่างกระมัง ? หรือศีรษะไปกระแทกเข้ากับสิ่งใด ?

นางเอามือที่โดนห่อเหมือนบ๊ะจ่างไปคลำศีรษะของอีกฝ่าย

เจียงโม่หานมองมือที่อยู่ไม่สุขของนางด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย แต่ก็กำลังภูมิใจ…เป็นอย่างไรบ้าง ? ดีใจมากเลยสิท่า พูดไม่ออกแล้วหรือ ? ขนาดยังไม่ได้หมั้นหมายกันก็เริ่มจับโน่นจับนี่แล้ว ไม่ได้การ ต่อไปต้องใช้ตราบทบัญญัติสามประการ1กับเด็กตัวแสบว่าเวลาอยู่ต่อหน้าผู้อื่นห้ามจับเช่นนี้อีกเพราะมันไม่เหมาะสม !

“โอม…ดวงมณีผุดขึ้นกลางดอกบัว ! ปิศาจร้ายจงออกไป ! ” หลินเว่ยเว่ยประสานนิ้วมือเป็นรูปดอกบัวแล้วชี้ไปที่คิ้วของบัณฑิตหนุ่ม

“อย่าปากว่ามือถึง ! เรื่องอายุของพวกเรา…น้อยไปจริง ๆ ทว่าอย่างไรก็หมั้นกันไว้ก่อน รอให้เจ้าอายุสิบหกปีแล้วค่อยจัดงานแต่งก็ยังไม่สาย ! ” เจียงโม่หานมองเข้าไปในส่วนลึกของดวงตานาง…เผยออกมาสิ อยากออกเรือนกับข้าเร็ว ๆ ใช่หรือไม่ ?

“อัญเชิญให้ทหารกล้าทั้งหลายมาอยู่เบื้องหน้าข้า ! ขออัญเชิญเทพไท่ซ่างเหล่าจวินออกมาสำแดงฤทธิ์ ! หลิงเป่าเทียนจุนปลอบประโลมกาย…” หลินเว่ยเว่ยยังคงสวดคาถาไล่ผีที่รู้มาอย่างต่อเนื่อง

เจียงโม่หานยืนจนขาทั้งสองข้างแข็งไปหมดแล้วจึงพยายามขยับเท้าไปมาในที่แคบแห่งนั้น หลินเว่ยเว่ยลืมตาเบิกกว้างแล้วพูดกับเขาว่า “เจ้ารอครู่หนึ่ง ! ”

จากนั้นนางก็ดึงเส้นหวายอย่างระมัดระวังแล้วเอนกายพิงและจัดพื้นที่เพื่อให้เกิดช่องว่างขึ้นเล็กน้อย “ตอนนี้มีที่ว่างแล้ว เจ้านั่งพักหน่อยเถิด ! ”

เจียงโม่หานมองนางทำท่าห้อยขาอยู่บนเส้นหวายเหมือนลิง แม้มันจะน่าหัวเราะแต่เขาก็ประทับใจอยู่บ้าง นางไม่ได้ไร้หัวใจหรอก ทุกครั้งที่เขามีสิ่งใดผิดแปลกไป แม้จะยังไม่ได้แสดงออกมาให้เห็นชัดเจน นางก็สังเกตเห็นแล้ว คราวก่อนตอนที่ปวดท้องก็เป็นเช่นนี้…

เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเป็นห่วงเขาแต่ปากแข็งไม่ยอมแต่งด้วย ช่างเป็นเด็กตัวแสบที่ปากไม่ตรงกับใจ เขาครุ่นคิดว่าคนที่เป็นห่วงกันตลอดเวลา ภรรยาที่มีแต่เขาสุดหัวใจก็ไม่เลว ใช่หรือไม่ ?

เจียงโม่หานดึงตัวสาวน้อยให้กลับมายืนดี ๆ ดังเดิม “อย่าขยับ ระวังตกลงไป ! ”

หลินเว่ยเว่ยโน้มกายมาด้านหน้าแล้วดึงเส้นหวายที่ค่อนข้างแข็งแรงไว้สองสามเส้น จากนั้นก็นำมันไปผูกติดไว้กับซากต้นไม้และลองนั่งถ่วงน้ำหนัก หลังทดลองเสร็จก็พูดกับเจียงโม่หานด้วยความพอใจ “เราสองคนมาเปลี่ยนตำแหน่งกัน เจ้ามานั่งพักที่เส้นหวายนี้บ้าง”

ขาทั้งสองข้างของเจียงโม่หานยืนจนแทบไม่เหลือความรู้สึกแล้ว พอขยับก็รู้สึกเจ็บทันที บุรุษอย่างเขายังเหนื่อยจนเป็นเช่นนี้ นางจะต้องทรมานเหมือนกันแน่นอน เขาจึงจงใจพูดว่า “ใครจะรู้ว่าหวายแข็งแรงหรือไม่ ข้าไม่นั่งหรอก ! ”

หลินเว่ยเว่ยเอนตัวนั่งบนหวายแล้วยังออกแรงแกว่งไปมา “เจ้าดูสิ ไม่เป็นไรหรอก ! มีข้าอยู่ด้วย แม้หวายจะขาด ข้าก็ยังจับเจ้าแล้วดึงขึ้นมาได้ วางใจเถิด ! ”

“ไม่ ! เจ้านั่งต่ออีกหน่อยแล้วกัน ถ้าปลอดภัยจริง ๆ ประเดี๋ยวข้าค่อยนั่ง ! ”

หลินเว่ยเว่ยอ่านความคิดอีกฝ่ายออก ดวงตาจึงแปรเปลี่ยนเป็นเสี้ยวพระจันทร์แล้วฉีกยิ้มหวานให้ “ดี ! เช่นนั้นข้านั่งพักก่อน แล้วอีก 1 เค่อก็ค่อยเปลี่ยนกัน ! ”

เด็กตัวแสบ ยิ้มอะไร ? เจียงโม่หานใช้สีหน้าไร้ความรู้สึกปกปิดหัวใจแสนปั่นป่วนของตนเอาไว้…เหตุใดรอยยิ้มของนางถึงได้หวานหยาดเยิ้มเช่นนี้ เหมือนกับทั่วร่างเปล่งประกายบางอย่างออกมาด้วย !

ต่อจากนั้นทั้งสองคนก็ผลัดกันนั่งพัก เวลาค่อย ๆ ล่วงเลยผ่านไป ดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าแล้วจมดิ่งสู่อีกฟากฝั่งภูเขา

ท้องฟ้ายามอาทิตย์อัสดงเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานย้อมไปทั่วทั้งหุบเขา นกบินกลับรังแล้วความมืดก็คืบคลานมาเยือน…

“บัณฑิตน้อย เจ้าคิดว่าน้าเฝิงกับท่านแม่จะสังเกตว่าเราหายตัวไปหรือไม่ ? พี่หลีชิงจะมาตามหาเราที่นี่หรือเปล่า ? ” หลินเว่ยเว่ยนั่งอยู่บนเส้นหวาย ศีรษะพิงบนร่างเจียงโม่หานและทำตัวไร้ชีวิตชีวาไม่เหมือนในอดีต

เจียงโม่หานเลียริมฝีปากและจงใจจับผิด “พี่หลีชิงอันใด เรียกอย่างสนิทสนมไม่ดีเลย เจ้าต้องจำไว้ว่าต่อไปนี้เจ้ามีคู่หมั้นแล้ว ต้องรักษาระยะห่างจากผู้ชายคนอื่น เข้าใจหรือไม่ ? ”

หลินเว่ยเว่ยเค้นเสียง ฮึ “หากข้าจำไม่ผิด ข้ายังไม่ได้รับปากจะแต่งกับเจ้า ! แม้ว่าการแต่งงานของบุตรจะต้องเชื่อฟังพ่อแม่ แต่เจ้าอย่าลืมว่าตอนนี้ตระกูลหลินใครมีสิทธิ์ตัดสินใจ ! ท่านแม่ต้องเคารพในความคิดของข้า ! ”

“ก็ไม่แน่หรอก ! ลูกเขยที่ดีเช่นข้า ถ้าพลาดโอกาสคราวนี้ก็จะไม่มีอีก ! ท่านป้าต้องไม่ยอมให้เจ้าก่อเรื่องแน่นอน ! ” เจียงโม่หานเห็นนางมีชีวิตชีวาขึ้นมา มุมปากที่แห้งแตกจึงยกยิ้มเล็กน้อย

หลินเว่ยเว่ยเค้นเสียงดัง ชิ “หากท่านแม่รู้ว่าเจ้าเป็นคนหลงตนเอง เย่อหยิ่งและเผด็จการเช่นนี้ จะไม่โยนข้าเข้ากองไฟแน่นอน ! ”

“กองไฟ ? ในเมื่อข้าเป็นกองไฟก็ย่อมมีแมลงเม่าบินเข้ามาไม่ขาดสาย ! ” ลำคอที่กระหายน้ำของเจียงโม่หานเหมือนมีมีดคว้านอยู่ด้านใน แต่เขาก็ยังอดทนเถียงกับเด็กสาวต่อไป

“พวกที่บินเข้ากองไฟล้วนเป็นแมงเม่าที่โง่เขลา ส่วนผีเสื้อที่ดึงดูดสายตาคนอย่างข้าจะสนใจแค่ดอกไม้ที่งดงามเท่านั้น ! ” หลินเว่ยเว่ยสังเกตได้ว่าเสียงของเขาแหบแห้งแล้วจึงหยิบกระบอกน้ำออกมาจากมิติน้ำพุวิญญาณและยัดใส่มือเขาอย่างรวดเร็ว

เจียงโม่หานรับกระบอกน้ำมา เขาไม่ได้เปิดดื่มทันทีแต่ชี้มาที่ใบหน้าอันหล่อเหลาของตนก่อน “นี่ยังไม่งดงามพอหรือ ไม่พอให้ดึงดูดผีเสื้ออย่างเจ้าอีกหรือ ? ”

“ฮ่าฮ่า…ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…” หลินเว่ยเว่ยหัวเราะ “ในที่สุดเจ้าก็ยอมรับว่าตนงดงามแล้วสินะ ข้าหลงเข้าใจผิดว่า…”

“ชู่…เงียบก่อน ! คล้ายมีคนตะโกนเรียกชื่อเจ้า ! ” ความสามารถในการได้ยินของเจียงโม่หานดีกว่าคนปกติ แม้ท่ามกลางสายลมแห่งขุนเขาก็ยังได้ยินเสียงของมนุษย์ลอยมา

1 ตราบทบัญญัติสามประการ คือ ข้อบังคับหลักสำคัญแห่งตัวบทกฎหมายของราชวงศ์