ตอนที่ 219

My Disciples Are All Villains

‘นี่หมายความว่าอะไรกัน? ข้าคงจะหนีไม่ได้เลยสินะ…’ ฝานลี่เทียนยกแขกขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ “ท่านผู้อาวุโส ท่านฉลาดหลักแหลมจริงๆ ข้าแพ้แล้ว”

หยวนเอ๋อที่เห็นแบบนั้นรู้สึกงุนงงมาก

ฝานลี่เทียนได้ไอออกมา ดูเหมือนว่าตัวเขาจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “พอจะมีเหล้าเหลือให้ข้าบ้างไหม? “

“มีเหล้าเหลือเกินพอสำหรับเจ้าอยู่แล้ว”

“เหล้าบ่มร้อยปีอย่างงั้นหรอ? “

“เหล้าบ่มร้อยปีไงล่ะ”

“เยี่ยมจริงๆ “

การทำเหล้าไม่ใช่เรื่องที่ยากอะไรอยู่แล้ว

ไม่กี่ร้อยปีก่อน จีเทียนเด๋าเคยชื่นชอบในการดื่มเหล้ามาก่อน ตัวเขามักจะสั่งทำเหล้าในทุกๆ ปี ยิ่งเหล้าผ่านการบ่มนานแค่ไหน มันก็จะยิ่งอร่อยมากขึ้นเท่านั้น เหล้าที่ผ่านการบ่มจะมีรสชาติที่ล้ำลึกมากกว่าเบียร์ที่ใช้ยีสต์ที่ดีที่สุดในการต้มซะอีก

ศาลาปีศาจลอยฟ้าจึงไม่เคยขาดแคลนเหล้าบ่มร้อยปี นอกจากนี้เหล้าพวกนี้ยังสามารถหาเติมได้เสมอถ้าหากตัวของลู่โจวต้องการ

คำตอบของฝานลี่เทียนชัดเจน ตัวเขาเต็มใจที่จะอยู่ที่นี่ต่อไป ลู่โจวพยักหน้าอย่างพึงพอใจออกมา ตัวเขาได้หันไปถามหยวนเอ๋อที่อยู่ด้านหลัง “แล้วศิษย์พี่สี่ของเจ้าอยู่ไหนกัน? “

หยวนเอ๋อได้ทำหน้ามุ่ยก่อนที่จะตอบกลับมา “ท่านอาจารย์! ศิษย์พี่สี่ยังไม่กลับมาเลยค่ะ ศิษย์มั่นใจมากว่าศิษย์พี่กำลังเที่ยวเล่นอย่างสนุกสนานจนลืมกลับมาแล้วแน่! ศิษย์พี่จะต้องถูกทำโทษ! “

“เจ้าพูดเกินไปแล้วนะหยวนเอ๋อ” ลู่โจวได้พูดออกมาเบาๆ

การที่ปล่อยให้หมิงซี่หยินออกไปสืบข่าวเรื่องของสีวู่หยาถือเป็นเรื่องที่เหมาะสมมากที่สุดแล้ว ในตอนนี้ค่าความจงรักภักดีของเขายังคงมั่นคงมาโดยตลอด ลู่โจวไม่กังวลเลยว่าหมิงซี่หยินจะทำอะไรผิดแปลกไป หมิงซี่หยินเป็นคนที่มีไหวพริบมากกว่าคนอื่นๆ ตัวเขายังมีสัญชาตญาณในการเอาชีวิตรอดที่ดีมากอีกด้วย อีกทั้งทักษะที่มีการที่หมิงซี่หยินจะต้องหลบหนีจากเหล่ายอดฝีมือคงจะไม่ใช่เรื่องยากแน่

ในตอนนี้หมิงซี่หยินศิษย์คนที่สี่ยังไม่กลับมา ลู่โจวคงจะพาต้วนมู่เฉิงและฮั๊ววู่เด๋าไปที่แม่น้ำเรียวบางทางทิศตะวันออกได้เท่านั้น

ในตอนนี้ชะตาของสำนักแห่งความบริสุทธิ์กำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย พวกเขากำลังต่อสู้ครั้งสุดท้ายกับสำนักอเวจี ถ้าหากสำนักแห่งความบริสุทธิ์สามารถหลบหนีไปที่แม่น้ำเรียวบางทางตะวันออกได้ บางทีพวกเขาอาจจะมีหนทางที่จะเอาตัวรอดอยู่ที่นั่น

ในความจริงต้วนมู่เฉิงและฮั๊ววู่เด๋าจะต้องรับมือกับเรื่องนี้ได้แน่ แต่เท่าที่ลู่โจวคาดการณ์เอาไว้ เรื่องในครั้งนี้คงจะไม่จบลงง่ายๆ ถ้าหากสำนักอเวจีตามล่าสำนักแห่งความบริสุทธิ์และสังหารเหล่ายอดฝีมือทั้งหมด ยูฮงยี่หรือยู่เฉิงไห่จะต้องปรากฏตัวที่แม่น้ำสายนั้นแน่ ถ้าหากเป็นแบบนั้นจริงก็จะเป็นโอกาสอันดีของลู่โจว ตัวเขายังมีการ์ดผนึกกรงกักขังโฉมใหม่อยู่ ลู่โจวตั้งใจเก็บมันเอาไว้เพื่อให้กับศิษย์ทรยศโดยเฉพาะ

“เรียกผู้อาวุโสฮั๊วมา บอกเขาว่าพวกเราจะไปที่แม่น้ำเรียวบางทางตะวันออก” ลู่โจวได้พูดออกมาอย่างไร้ความปรานี

“ค่ะ ท่านอาจารย์” หยวนเอ๋อรีบหันกลับไปที่ด้านหลังก่อนที่จะหายตัวไปอย่างรวดเร็ว

“ไม่ต้องพึ่งผู้อาวุโสฮั๊วหรอก…ข้าจะไปเอง”

“ฝานซุยเหวินอย่างงั้นหรอ? ” หยวนเอ๋อตกตะลึงเล็กน้อย ฝานซุยเหวินคนนี้มักจะเป็นคนที่มีนิสัยแปลกประหลาด ในความเป็นจริงแล้วหยวนเอ๋อรู้สึกกลัวชายคนนี้อยู่นิดหน่อย ถ้าหากผู้เป็นอาจารย์ของนางไม่อยู่หยวนเอ๋อก็คงจะเลือกที่จะอยู่ห่างกับชายคนนี้แทน

ฝานซุยเหวินในตอนนี้สวมหน้ากากที่แสนจะดูเรียบง่าย และเพราะหน้ากากนี้เองทำให้ดวงตาของเขาทั้งดูเฉียบคมและดูดุดันมากยิ่งขึ้น ฝานซุยเหวินกำลังยืนตรงโดยที่เอามือไขว้หลังเอาไว้ แม้ว่าพลังวรยุทธที่เขามีจะไม่ได้ฟื้นฟูกลับมาเต็มที่ แต่ตัวเขาเป็นยอดฝีมือมานานกว่าหลายปีแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นด้วยประสบการณ์ที่ชายคนนี้มีการที่จะหาใครที่มีประสบการณ์เทียบเคียงกับเขาได้คงจะเป็นไปได้ยากมาก

มีเพียงพลังออร่าของลู่โจวเท่านั้นที่จะพบกดดันพลังออร่าที่ฝานซุยเหวินมีได้

ฝานซุยเหวินได้แต่ส่ายหัวก่อนที่จะพูดออกมา “ฝานซุยเหวินน่ะตายไปแล้ว ในตอนนี้มีเพียงแค่เล้งลั่วเท่านั้นที่ยังอยู่ในโลก”

“ได้…” หยวนเอ๋อได้แต่ยอมรับอย่างเชื่อฟังก่อนที่จะหลีกทางให้

เมื่อพูดถึงชื่อเล้งลั่ว ฝานลี่เทียนที่อยู่ข้างๆ ก็ได้เบิกตากว้าง ตัวเขามองไปที่เล้งลั่วด้วยความไม่เชื่อก่อนที่จะอุทานออกมาด้วยความตกใจ “เจ้าคือเล้งลั่ว ชายผู้ที่ครั้งหนึ่งมีชื่ออยู่ในบัญชีดำอันดับสูงสุดเมื่อ 300 ปีก่อนอย่างงั้นหรอ? “

เล้งลั่วยังคงเงียบ เขาไม่ได้ปฏิเสธหรือแม้แต่ตอบโต้อะไรกับคำถามของฝานลี่เทียน หน้ากากของเขาได้ปกปิดอารมณ์ความรู้สึกของตัวเขาเอาไว้ ‘ขอทานเฒ่า เจ้าคงจะรู้แล้วสินะว่าใครกันแน่ที่เป็นเพียงแค่ชายหนุ่มน่ะ…’

ฝานลี่เทียนค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ตัวเขาได้บิดตัวเองไปมาก่อนที่จะยืนอย่างมั่นคง “ไม่เลว ไม่เลวเลยจริงๆ ” คำพูดของเขาฟังดูไม่เป็นธรรมชาติเท่าไหร่ การที่จะบอกว่าคำพูดของเขาเป็นคำชมเชยหรือการดูถูกได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

เล้งลั่วได้พูดออกมาอย่างเย้ยหยัน “ข้าไม่ถือสาผู้เยาว์ที่มีตาหามีแววไม่อย่างเจ้าหรอกนะ”

หยวนเอ๋อได้หัวเราะคิกคักออกมาก่อนที่จะพูดขึ้น “เขาก็ไม่ใช่ผู้เยาว์หรอกนะ เจ้านั่นน่ะเป็นปู่ของฝานซง ยอดฝีมือลำดับที่หนึ่งของสำนักแห่งความบริสุทธิ์”

‘ยอดฝีมือลำดับที่หนึ่งของสำนักแห่งความบริสุทธิ์อย่างงั้นหรอ? ‘ เล้งลั่วได้ขมวดคิ้วขึ้น เขาจ้องมองไปที่ขอทานเฒ่าที่สูญเสียพลังวรยุทธทั้งหมดไปแล้ว ไม่ว่าฝานลี่เทียนจะเป็นปู่ของฝานซงจริงๆ ไหมยังไงซะยอดฝีมือลำดับที่หนุ่งคนนี้ก็ได้สูญเสียพลังวรยุทธทั้งหมดที่ตัวเองมีไปแล้ว เล้งลั่วได้ปรบมือขึ้นมาก่อนที่จะพูดขึ้น “เจ้าคือฝานลี่เทียนอย่างงั้นสินะ? “

ครั้งนี้ฝานลี่เทียนไม่ได้พูดปฏิเสธ ตัวเขาในตอนนี้ดูแก่ชราไร้ซึ่งเรี่ยวแรง แต่ไม่ว่าจะยังไงเรื่องที่ว่าครั้งหนึ่งเขาเคยมีชื่อเสียงอันรุ่งโรจน์ก็ยังเป็นความจริงอยู่ดี

ตาต่อตาฟันต่อฟัน ในตอนนี้ไม่มีใครดูด้อยกว่าใครแล้วนั่นเอง

ลู่โจวได้พูดออกมา “เล้งลั่ว เจ้าน่ะยังไม่หายดี อาการบาดเจ็บของเขาเพิ่งจะถูกรักษาเพียงแค่สี่ส่วนเท่านั้น เจ้าจะยังต้องการจะไปแม่น้ำทางตะวันออกอีกอย่างงั้นหรอ? “

ในทางกลับกันฮั๊ววู่เด๋ามีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงดี ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นยอดฝีมือผู้ที่ถนัดการใช้เคล็ดวิชาแห่งการป้องกัน ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ ฮั๊ววู่เด๋าจะต้องปกป้องรถม้าล่องเมฆาได้แน่

แม้ว่าเล้งลั่วจะเก่งกาจสักแค่ไหน แต่ตัวเขาก็ยังคงบาดเจ็บสาหัสอยู่ ลำพังความสามารถที่เล้งลั่วมีในตอนนี้คงจะช่วยอะไรไม่ได้มากแน่ ในความเป็นจริงแล้วเขาอาจจะกลายเป็นภาระด้วยซ้ำไป

“ได้โปรดอนุญาตให้ข้าไปด้วยเถอะ ท่านปรมาจารย์ แม้ว่าข้าจะบาดเจ็บอยู่แต่ข้ายังสามารถที่จะปกป้องตัวเองได้” เล้งลั่วได้พูดออกมาอย่างมั่นใจ

‘เจ้านี่จะต้องปกป้องตัวเองได้อยู่แล้วล่ะ แล้วใครกันจะปกป้องฉัน? ‘ ลู่โจวได้เดินไปที่ด้านข้าง สีหน้าของเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย ลู่โจวได้เลือกที่จะถามออกมาแทน “เจ้าอยากที่จะเจอม่อหลี่สินะ? “

เล้งลั่วคารวะลู่โจวโดยที่ไม่ได้ตอบคำถาม

ใครก็ตามที่รู้สถานการณ์ทั้งหมดจะต้องรู้ดีว่าชายคนนี้มีความสัมพันธ์กับม่อหลี่แบบไหน

ความเกลียดชังที่เล้งลั่วมีต่อม่อหลี่นั้นชัดเจนจนทุกคนสัมผัสได้ นี่ถือเป็นเรื่องธรรมดาเพียงเท่านั้น เล้งลั่วถูกม่อหลี่ควบคุมเป็นเวลานานกว่าหลายปี ถ้าหากเรื่องนี้เกิดขึ้นกับคนอื่นๆ จริงก็คงจะไม่มีใครยอมรับมันได้ ยิ่งไปกว่านั้นชายผู้ที่ถูกควบคุมคือเล้งลั่ว ชายผู้ที่เคยทำให้ทั่วทั้งยุทธภพต้องสั่นสะเทือนไปด้วยความกลัว

ฝานลี่เทียนที่เห็นแบบนั้นก็ได้หัวเราะก่อนที่จะพูดขึ้น “ดูเหมือนว่าข้าจะทำได้แค่เพียงรอชมการแสดงสินะ…” ฝานลี่เทียนในตอนนี้สูญเสียพลังวรยุทธทั้งหมดไปแล้ว เพราะแบบนั้นการตัวเขาไปด้วยก็คงจะไม่สามารถที่จะทำอะไรได้

เมื่อดวงอาทิตย์กำลังจะขึ้นสู่ท้องฟ้าอีกครั้ง ลู่โจวก็ได้ออกจากศาลาปีศาจลอยฟ้าไป

ต้วนมู่เฉิงรับหน้าที่เป็นผู้ควบคุมบังเหียนของรถม้าล่องเมฆา

รถม้าล่องเมฆาได้สั่นไปทั้งคัน มันแกว่งไปแกว่งมาตลอดการเดินทาง

หยวนเอ๋อได้พึมพำออกมา “ศิษย์พี่สาม…ท่านช่วยช้าลงหน่อยได้ไหม”

รถม้าลอยฟ้าเริ่มลอยต่ำลง

ต้วนมู่เฉิงได้เกาหัวก่อนที่จะพูดออกมา “นี่…นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ควบคุมรถม้า ศิษย์น้องเล็กอดทนอีกหน่อยก็แล้วกัน”

เล้งลั่วต้องจับรถม้าอยู่ตลอดเวลาเพื่อที่จะพยุงตัวเอง ตัวเขาที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่ส่ายหัว

หลังจากนั้นไม่นานรถม้าล่องเมฆาก็เริ่มที่จะทรงตัวได้

“ขอบคุณมากผู้อาวุโสเล้ง”

ลู่โจวหันกลับไปมองเล้งลั่ว

แม้ว่าพลังวรยุทธที่เล้งลั่วมีจะยังไม่ฟื้นฟูกลับมาทั้งหมด แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็สามารถใช้พลังที่มีช่วยควบคุมรถม้าล่องเมฆาเอาไว้ได้ ด้วยเหตุนี้เองรถม้าจึงเริ่มทรงตัวได้อย่างมั่นคง ฝานลี่เทียนไม่ได้สนใจอะไรเรื่องนี้ ตัวเขาได้ฟุบตัวลงนอนอยู่ที่มุมๆ หนึ่ง ตัวเขาได้ยิ้มออกมาอย่างเกียจคร้านก่อนที่จะพูดขึ้น “ข้าไม่เคยนั่งรถม้าลอยฟ้าที่ดูหรูหราขนาดนี้มาก่อนเลย…งดงามมากจริงๆ “

รถม้าล่องเมฆาบินผ่านภูเขาและแม่น้ำทั้งหลายไป เมื่อตื่นขึ้นมาจากการหลับใหล ฝานลี่เทียนก็มองเห็นแสงสว่างยามเช้า

ลู่โจวเหลือบมองไปที่เล้งลั่วอีกครั้ง ตัวเขาสังเกตเห็นได้ว่าที่หน้าผากของเขามีเหงื่อหยดไหลออกมา ตัวเขาได้หันไปมองที่ต้วนมู่เฉิงก่อนที่จะพูดขึ้น “ส่งพลังลมปราณไปที่รถม้าอย่างสม่ำเสมอซะ…อย่าได้ขยับพังงามากนัก มองตรงไปที่ด้านหน้า ปรับให้พลังลมปราณเข้าไปที่รถม้าตามท่วงทำนองของเจ้า”

“ครับท่านอาจารย์” ความสามารถทางการปรับตัวของต้วนมู่เฉิงด้อยกว่าหมิงซี่หยินอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่ารถม้าลอยฟ้าจะบินได้อย่างมั่นคงหลังจากที่ได้รับคำแนะนำของลู่โจว แต่ถึงแบบนั้นการบินอยู่บนอากาศก็ยังไม่ได้ราบรื่นอยู่ดี บางทีคนบางคนก็อาจจะไม่ได้เกิดมาเพื่อบังคับรถม้าลอยฟ้าก็เป็นได้

ต้วนมู่เฉิงรู้สึกอับอายในตลอดทั้งการเดินทาง ภายใต้การจับตามองของผู้อาวุโสหลายคนทำให้ตัวเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหม่า ต้วนมู่เฉิงได้แต่พึมพำออกมาเบาๆ “ศิษย์น้องสี่ ทำไมข้าคิดถึงเจ้าขนาดนี้กัน…”

สองชั่วโมงต่อมา

ที่แม่น้ำเรียวบางทางตะวันออก ณ สวนที่อยู่ใกล้ๆ แห่งหนึ่ง

ม่อฉี เจ้าสำนักแห่งความบริสุทธิ์กำลังนั่งสมาธิอยู่ที่พื้น ในตอนนี้เขาดูอ่อนเพลียเป็นอย่างมาก รอยย่นบนใบหน้าที่มีทำให้ตัวเขายิ่งดูแก่ชรา ในตอนนี้มีพลังลมปราณหมุนรอบตัวของตัวเขาอยู่ หลังจากที่เดินพลังลมปราณอยู่ได้พักหนึ่งท้ายที่สุดแล้วเขาก็ลืมตาตื่นขึ้นมา “นั่นใครกัน? “

[หมายเหตุนักแปล: ม่อหลี่และม่อฉีเป็นคนละคนกัน ม่อหลี่อยู่ในพระราชวังส่วนม่อฉีเป็นเจ้าสำนักแห่งความบริสุทธิ์ ผู้แปลเข้าใจผิดเกี่ยวกับชื่อ ขอภัยด้วยนะครับ]

ศิษย์สาวกคนหนึ่งได้ปรากฏตัวขึ้น ม่อฉีจึงได้ถามออกไปอย่างเย็นชา “ฝานซงถูกจับตัวได้แล้วอย่างงั้นหรอ? “

“เจ้าคนทรยศฝานซงเจ้าเล่ห์จนเกินไป พวกเราตามหาเขามานานแล้วแต่ก็ยังจับกุมตัวไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นสำนักอเวจียังคงไล่ลาพวกเรา…พวกเรา…พวกเราก็เลยไม่กล้าที่จะหาตัวฝานซงอย่างประมาทครับ”

สีหน้าของม่อฉีเปลี่ยนไป สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวแทน “ยู่เฉิงไห่…ข้าชักจะทนไม่ไหวกับมันแล้ว! “

การปรากฏตัวของสำนักอเวจีได้ทำให้แผนการก่อกบฏในเมืองอันยางต้องล้มเหลวไป ตอนนี้ตัวเขากำลังถูกยู่เฉิงไห่ไล่ล่าอยู่ ยอดฝีมือจากสำนักแห่งความบริสุทธิ์ทั้ง 7 ก็ถูกจัดการไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นอกเหนือจากม่อฉียังมีศิษย์สาวกอีกส่วนหนึ่งที่รอดกลับมาได้ พวกศิษย์สาวกมีประมาณ 10 คนด้วยกัน

“อย่าได้กลัวไปเลยท่านเจ้าสำนัก! ท่านหญิงม่อหลี่ได้ใช้เวทมนตร์อยู่บนแม่น้ำเรียวบางนี่แล้ว ไม่ว่ายู่เฉิงไห่จะเก่งกาจสักแค่ไหน เจ้านั่นคงจะไม่โง่มาถึงที่นี่โดยประมาทแน่… ยิ่งไปกว่านั้นสำนักอเวจียังไม่รู้ว่าพวกเราหนีมาที่นี่” ศิษย์สาวกคนหนึ่งได้พูดออกมา

ม่อฉีได้แต่ส่ายหัวก่อนที่จะถอนหายใจออกมา “มีจดหมายจากทางพระราชวังไหม? “

“ท่านหญิงม่อหลี่ได้บอกเอาไว้ว่าพวกเราจะเจอกับจุดเปลี่ยนในไม่ช้านี้ เจ้าชายองค์ที่สองเปรียบเสมือนกับปลาในบ่อน้ำที่อยู่ในพระราชวัง…”

“ดีมาก” ม่อฉีลุกขึ้นมาอย่างช้าๆ ตัวเขากำลังอดทนกับความเจ็บปวดที่ได้รับมา

“ท่านเจ้าสำนัก ได้โปรดระวังด้วย” ศิษย์สาวกคนหนึ่งรีบวิ่งไปพยุงตัวของม่อฉีเอาไว้ “ข้าสบายดี” ม่อฉีได้ส่ายหัวก่อนที่จะพูดต่อไป “ถ้าหากอวัยวะภายในของข้าไม่ได้รับบาดเจ็บจากสุดยอดเคล็ดวิชาคลื่นเสียงในเมืองอันยาง ข้าก็คงไม่ต้องมาเสียใจแบบนี้หรอก”

“ท่านเจ้าสำนักกำลังหมายความว่ายู่เฉิงไห่โชคดีที่ได้รับความช่วยเหลือจากสุดยอดฝีมืออย่างงั้นหรอครับ? “

ในตอนนั้นม่อฉีได้เหลือบมองไปที่การต่อสู้ที่เมืองอันยาง สุดยอดพลังคลื่นเสียง ‘ไสหัวไปซะ! ‘ ได้ทำให้ทุกๆ คนที่อยู่บนฟ้าถูกผลักกลับมา ผลจากคลื่นเสียงมันรุนแรงจนทำให้ทุกๆ คนที่อยู่ที่นั่นได้รับบาดเจ็บไป โชคไม่ดีเท่าไหร่ที่ม่อฉีจะต้องรีบหนีออกไปซะก่อน และเพราะแบบนั้นตัวเขาจึงไม่ได้เจอกับสุดยอดฝีมือผู้ใช้พลังคลื่นเสียงคนนั้น

ม่อฉีได้เดินไปที่สวนที่อยู่ใกล้ๆ ก่อนที่จะจ้องมองไปยังผิวของทะเลสาบ ในตอนนี้ตัวเขารู้สึกดีขึ้นมากแล้ว

“ท่านเจ้าสำนัก ในตอนนี้ฝานซงได้เป็นสมาชิกของศาลาปีศาจลอยฟ้าไปแล้ว การที่จะจับตัวเขากลับมาแบบนี้จะเป็นเรื่องที่เหมาะสมแล้วหรอครับ? “

ก่อนที่ม่อฉีจะได้พูดอะไรออกไป ศิษย์สาวกอีกคนก็ได้พูดขึ้นมาซะก่อน “ศิษย์คนแรกของศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างยู่เฉิงไห่ได้เข่นคร่าคนของเราไปเท่าไหร่แล้ว การที่พวกเราจับฝานซงได้ก็เป็นเหมือนกับการแก้แค้นให้กับคนของเรา! ฝานซงน่ะเป็นคนทรยศของสำนักเรา! เจ้านั่นน่ะสมควรที่จะตายแล้ว! “

ในตอนนั้นเองเหล่าสาวกกว่าสิบคนก็ได้มารวมตัวกัน

“ท่านเจ้าสำนัก คนจากสำนักอเวจีมาถึงที่นี่แล้ว! “

ท้องฟ้าทางตอนใต้ของแม่น้ำเรียวบาง รถม้าลอยฟ้าของสำนักอเวจีบัดนี้กำลังมาถึงที่นี่แล้ว ธงของสำนักอเวจีได้โบกสะบัดไปตามสายลมที่พัดผ่าน ไปยู่ชิงแห่งโถงพยัคฆ์ขาวในตอนนี้ได้ยืนอยู่ที่หน้ารถม้าลอยฟ้าคันนั้น หลังจากนั้นไม่นานเสียงของเขาก็ได้ดังไปทั่วทั้งสวน “ผู้ที่ยอมจำนนจะมีชีวิตอย่างเป็นสุข ส่วนคนที่กล้าต่อต้านจะต้องตายสถานเดียว! ม่อฉียอมแพ้ซะ! “

เสียงของไปยู่ชิงได้ทำให้ผิวน้ำของแม่น้ำกระเพื่อมอย่างรุนแรง

ม่อฉีได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มลึก “อย่าไปสนใจเจ้านั่น เวทมนตร์คาถาจะต้องทำให้สำนักอเวจีล่าถอยกลับไปแน่”

เหล่าสาวกที่ฟังแบบนั้นต่างก็พยักหน้า

ไปยู่ชิงได้พูดออกมาอีกครั้ง “ม่อฉี นับตั้งแต่ที่เจ้ากลายมาเป็นเจ้าสำนักเจ้าคงจะไม่คาดคิดว่าเหตุการณ์นี้จะมาถึงสินะ รีบยอมแพ้ได้แล้ว บางทีท่านเจ้าสำนักของพวกเราอาจจะยอมไว้ชีวิตเจ้าก็เป็นได้! “

เมื่อม่อฉีได้ยินแบบนั้นตัวเขาก็ได้ตอบกลับไป “ไปยู่ชิง เจ้าน่ะไม่ได้มีความหมายอะไรสำหรับข้าหรอกน่ะ เจ้ามันก็แค่สุนัขรับใช้ของยู่เฉิงไห่ สำนักอเวจีของเจ้าโจมตีพวกเราในตอนที่พวกเรากำลังอ่อนแอ เจ้าน่ะภูมิใจมากสินะว่าจะทำลายข้าในเวลานี้ได้? “

“ผู้แพ้น่ะไม่มีสิทธิ์ที่จะได้พูดหรอก แม้ว่าองค์จักรพรรดิจะอยู่ที่นี่ก็ตาม แต่เจ้าจะต้องตายอยู่ดี! ” ไปยู่ชิงได้พูดออกมาอย่างไม่พอใจ

ม่อฉีไม่ได้ตอบกลับไป ตัวเขาได้แต่มองเหล่าสาวกที่เหลือ “มีข่าวอะไรจากเจ็ดยอดฝีมือไหม? “

“ผู้อาวุโสทั้งเจ็ดไม่ได้ติดต่ออะไรกลับมา ข้าเกรงว่านี่จะเป็นลางไม่ดี…”

ม่อฉีรู้สึกแน่นหน้าอกขึ้นมา ตัวเขาได้กัดฟันพูดมาต่อ “แล้วกำลังเสริมจากทางพระราชสำนักจะมาถึงเมื่อไหร่กัน? “

“พวกเราได้ส่งคำขอไปที่ทางพระราชสำนักแล้ว แต่ไม่มีการตอบรับในตอนนี้”

ในเวลานี้สาวกคนหนึ่งได้รวบรวมความกล้าก่อนที่จะพูดออกมา “ท่านเจ้าสำนัก แม้ว่ายู่เฉิงไห่จะแข็งแกร่งมากแค่ไหน ตัวเขาก็จะต้องมีจุดอ่อนแน่ แทนที่จะรอความตายอยู่ที่นี่ทำไมพวกเราไม่…”

ม่อฉีได้พูดขัดขึ้นมากลางคัน “เจ้ากำลังจะบอกให้พวกเราเข้าร่วมกับศาลาปีศาจลอยฟ้าใช่ไหม? “

“ข้าน้อยไม่กล้า! “

สาวกอีกคนหนึ่งได้พูดต่อไป “ท่านคิดว่าศาลาปีศาจลอยฟ้าจะสามารถจัดการกับยู่เฉิงไห่ได้อย่างงั้นหรอ? ศิษย์ทรยศผู้ก่อตั้งสำนักอเวจี สำนักชั่วร้ายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใต้หล้านี้ ถ้าหากปรมาจารย์มหาวายร้ายคนนั้นมีความสามารถจริงๆ เขาก็คงไม่ปล่อยให้ยู่เฉิงไห่ทำถึงขนาดนั้นได้ซะหรอก”

เหล่าสาวกคนอื่นๆ ที่ได้ยินแบบนั้นต่างก็ส่ายหัว

“ดูเหมือนว่าพวกเราคงจะทำได้แค่เพียงรอกำลังเสริมสินะ…แม้ว่าพวกเราจะจับฝานซงได้ แต่ข้าไม่คิดว่าศาลาปีศาจลอยฟ้าจะให้ค่าอะไรกับเจ้านั่นหรอก”

ในตอนนั้นเองเหล่าสาวกก็สังเกตเห็นถึงอะไรบางอย่างที่แปลกไป

ทางตอนใต้ของสวนแห่งนี้ ผู้ฝึกยุทธที่กำลังลอยอยู่เหนือทะเลสาบกำลังหันหลังให้ก่อนที่จะวิ่งหนีอะไรบางอย่าง!

ทุกๆ คนที่เห็นแบบนั้นต่างก็รู้สึกสับสน

“ท่านเจ้าสำนัก สำนักอเวจีกำลังถอยกลับไป! “

“ช่างวิเศษอะไรแบบนี้! ท่านเจ้าสำนักท่างช่างฉลาดหลักแหลมจริงๆ! ไปยู่ชิงก็แค่พวกรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่าก็เท่านั้น! “

“ดูเจ้าพวกนั้นกำลังหวาดกลัวซะสิ! “

ม่อฉีได้ขมวดคิ้วเล็กน้อย ตัวเขาได้มองไปที่รถม้าลอยฟ้า

ไปยู่ชิงในตอนนี้ไม่ได้ดูหยิ่งยโสอีกต่อไป ดูเหมือนว่าเขาจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ตัวเขาได้กลับไปที่รถม้าลอยฟ้าก่อนที่จะหนีไปทางตอนใต้!

“เจ้าแก่นั่น ม่อฉีสามารถทำได้ถึงขนาดนี้เลยอย่างงั้นหรอ ข้ายอมแพ้แต่เพียงเท่านี้ ลาก่อน! ” ผู้ที่ฉลาดที่แท้จริงมักจะรู้ว่าเวลาไหนควรถอยเวลาไหนควรสู้ ภายใต้สถานการณ์ที่เสียเปรียบเช่นนี้เป็นธรรมดาที่ไปยู่ชิงจะเลือกถอย

“หนีเร็วเข้า! “

“นี้มันหมายความว่ายังไงกันครับ? “

ไปยู่ชิงรีบตอบกลับไป “โอหัง รีบหนีเร็วเข้า! “

ในพริบตาเดียวเท่านั้นผู้ฝึกยุทธทั้งหมดของสำนักอเวจีก็ได้หายไปพร้อมกับรถม้าลอยฟ้า

ไม่ว่าสุดยอดเวทมนตร์คาถาจะทรงพลังมากแค่ไหน แต่มันก็ไม่สามารถที่จะเคลื่อนที่ได้ แล้วทำไมเจ้าพวกนั้นถึงได้กลัวขนาดนี้?

ในตอนนั้นเองมีสาวกคนหนึ่งชี้ไปที่ทางเหนือ “เดี๋ยวก่อนนะ! นั่นมันอะไรกัน? “

ที่ทางตอนเหนือของแม่น้ำเรียวบาง บนท้องฟ้าระหว่างพื้นที่ป่าและพื้นที่ที่เป็นหุบเขา มีรถม้าที่ดูคล้ายกับอุกกาบาตกำลังบินตรงมาอย่างรวดเร็ว “นั่นมันศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างงั้นหรอ? ” ม่อฉีรู้สึกแน่นขึ้นไปอีก สิ่งที่เห็นมันแย่ยิ่งกว่ารถม้าของสำนักอเวจีซะอีก ไม่แปลกเลยที่สำนักอเวจีจะชิงถอยกลับไปแบบนี้ รถม้าของศาลาปีศาจลอยฟ้าอยู่ที่นี่แล้ว!

“ท่านเจ้าสำนัก! “

เมื่อรถม้าล่องเมฆาอยู่เหนือแม่น้ำเรียวบาง ทันใดนั้นมันก็พุ่งไปที่ด้านหน้าแทนที่จะชะลอตัวอย่างช้าๆ

“เจ้าพวกศาลาปีศาจลอยฟ้ากำลังทำอะไรกันแน่? “

“นี่เป็นคำเตือนอย่างงั้นหรอ? “

ม่อฉีกัดฟัน ตัวเขารีบกดฝ่ามือลงไปที่หน้าอกก่อนที่จะพูดขึ้นมา “นี่มันจะมากเกินไปแล้ว! “

ในขณะเดียวกันที่รถม้าล่องเมฆา

ต้วนมู่เฉิงที่เห็นฝานลี่เทียนและเล้งลั่วไม่สู้ดีเท่าไหร่เพราะความเร็วรถม้าก็ได้พูดขึ้น “ข้าไม่ได้ตั้งใจที่จะเร่งความเร็ว ขออภัยด้วยท่านผู้อาวุโสทั้งหลาย”

ลู่โจวในตอนนี้มีพลังวรยุทธอยู่ที่ขั้นศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นตัวเขาจึงได้รับผลกระทบไปด้วย แต่ตัวเขาจะต้องพยายามให้ดูเหมือนไม่เป็นไรให้มากที่สุด

“ท่านอาจารย์ แม่น้ำเรียวบางอยู่ตรงหน้าแล้ว”