บทที่ 243 เล่นตามน้ำ

เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙]

บทที่ 243 เล่นตามน้ำ

สถาบันจันทร์กระจ่างเองมีแผนที่จะทวงหนี้กับสำนักดอกบ๊วยอยู่แล้ว แต่การถูกจองจำอย่างกะทันหันของเหมยเชาฟงทำให้สถานการณ์ภายในสำนักดอกบ๊วยเกิดความปั่นป่วน ทุกคนต่างจับจ้องไปที่ธุรกิจของสำนักดอกบ๊วย ตอนนี้สถาบันจันทร์กระจ่างยังคงเป็นสถาบันการศึกษาภายใต้ราชสำนัก ดังนั้นมันคงจะดูไม่ดีหากเข้าไปเกี่ยวข้องโดยตรง ดังนั้นจึงต้องหาใครสักคนมาดูแลเรื่องนี้แทน

ตัวเลือกที่ดีที่สุดย่อมเป็นซูอันอย่างไม่ต้องสงสัย เขาไม่เพียงแต่มีความชอบธรรมในการจัดการทวงหนี้เท่านั้น แต่เขายังสามารถยืมชื่อตระกูลฉู่เพื่อกดดันคนอื่น ๆ ได้อีกด้วย!

เมื่อคนอื่น ๆ รู้ว่าสถาบันจันทร์กระจ่างได้ร่วมมือกับตระกูลฉู่ พวกเขาย่อมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องถอยให้

“ผู้ชายฉลาดเกินไปก็ไม่ดีนะเจ้าว่าไหม?” เจียงลั่วฝูเคาะโต๊ะด้วยปากกาเบา ๆ ขณะที่นางมองไปที่ซูอันด้วยรอยยิ้มหยอกล้อ

“ข้าไม่ทำหรอก ไม่เห็นว่าข้าจะได้อะไรจากเรื่องนี้เลย!” ซูอันปฏิเสธโดยไม่ลังเลใด ๆ

“โอ้” เจียงลั่วฝูไม่สนใจการปฏิเสธของซูอัน “อย่างนั้นข้าคงต้องเลือกคนอื่นไปเข้ามิติลับหยกจรัสแทนเจ้าซะแล้ว!”

ซูอันฉีกยิ้มให้เจียงลั่วฝู ทันที “ฮ่า ๆ ข้าแค่ล้อเล่น ในฐานะอาจารย์ของสถาบัน ถูกแล้วที่ข้าต้องแบ่งเบาภาระของสถาบัน แถมข้ายังเป็นคนมอบตั๋วหนี้ให้ท่านตั้งแต่แรก วางใจข้าได้เลยข้าจะดูแลกิจการของสำนักดอกบ๊วยให้เป็นระเบียบเอง!”

เจียงลั่วฝูจ้องที่ซูอันอย่างเงียบ ๆ เป็นเวลานานก่อนที่จะหายใจเข้าลึก “ข้าต้องบอกว่าเจ้าเป็นคนหน้าด้านที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมาเลย…ว่าแต่ เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอะไรงั้นเหรอ?”

ดวงตาของซูอันเป็นประกายทันทีจากนั้นเขารีบอธิบายสถานการณ์ให้เจียงลั่วฝูฟัง

“เจ้าอยากให้ข้าปราบเหมยเชาฟงให้เหรอ?” เจียงลั่วฝูถาม

“ข้าแค่คิด ๆ ดูเท่านั้น เหมยเชาฟงรู้ความลับมากมายเกี่ยวกับสำนักดอกบ๊วย เช่น บันทึกบัญชี กระแสเงินสด การจัดหาทรัพยากร และเรื่องอื่น ๆ แม้ว่าจะเข้ายึดครองธุรกิจของ สำนักดอกบ๊วยได้ทั้งหมดแต่เราคงจะมีปัญหามากมายในการดูแลเพราะเราไม่มีข้อมูลอะไรเลย” ซูอันอธิบาย

“คำพูดของเจ้ามีเหตุผลดี ก็ได้ ข้าจะไปกับเจ้าด้วย!” หลังจากพูดจบ เจียงลั่วฝูก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที

ระหว่างทางไปศาลา ทั้งสองคนได้เริ่มคุยกัน

“ข้าสงสัยว่าเจ้าเอาชนะลูกหลานตระกูลหยวนในการประลองได้ยังไงข้าสังเกตเห็นว่าวิชากระบี่ที่เจ้าใช้แตกต่างไปจาก 13 ท่วงท่ากระบี่พื้นฐานของเราเล็กน้อย”

“ช่วยไม่ได้นี่ ก็ข้ามีความสามารถมากเกินไป ดังนั้นความเข้าใจของข้าเกี่ยวกับกระบี่จึงลึกซึ้งกว่าใครๆ”

“… เห็นได้ชัดว่าเจ้ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับซางหลิวอวี้ ก่อนหน้านี้เจ้ายังโกหกข้าว่าเจ้าไม่รู้จักนางอยู่เลย”

“ข้าจะกล้าโกหกท่านได้ยังไง? ข้าไม่รู้จักนางมาก่อนจริงๆ!”

“เจ้าสนิทกับนางแค่ไหนกัน? ข้าไม่เคยเห็นนางยอมให้ใครเข้าไปในเรือนพักของนางมาหลายปีแล้ว นับประสาอะไรกับการให้คนอื่นยืมสมบัติส่วนตัวของนางใช้”

“ดีแล้วเหรอที่อาจารย์ใหญ่ของสถาบันจันทร์กระจ่างจะนินทาลูกน้องของตัวเอง?”

ระหว่างการสนทนา ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงบริเวณศาลา เจียงลั่วฝูหยุดอยู่ห่างออกไปในขณะที่ซูอันเดินไปที่ศาลาด้วยตัวเอง

แล้วเขาก็เห็นคนผมยาวพลิ้วไหวนั่งอยู่ในศาลา สวมชุดที่คล้ายกับซางหลิวอวี้

แต่หลังนางกว้างเป็นเมตรตั้งแต่เมื่อไหร่? เจ้าเห็นว่าข้าโง่งั้นเหรอ? แม้ว่าเจ้าจะใส่เสื้อผ้าของผู้หญิง แต่ก็ไม่มีใครในโลกที่จะเข้าใจผิดว่าชายหุ่นบึ้กอย่างเจ้าเป็นผู้หญิงได้ นับประสาอะไรกับคนสวยอย่างซางหลิวอวี้!

ใครจะไปคิดว่าผู้นำแห่งสำนักดอกบ๊วยจะเป็นพวกที่ชอบปลอมตัวเป็นผู้หญิง!

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนเหมยเชาฟงจะทุ่มเทอย่างเต็มที่เพื่อแต่งตัวสำหรับโอกาสนี้ คงจะเป็นการเสียมารยาทที่ซูอันจะไม่ร่วมเล่นไปตามน้ำกับเขาด้วย

“พี่สาวซาง ทำไมท่านถึงชวนข้ามาที่นี่ล่ะ ท่านมีอะไรจะพูดกับข้างั้นเหรอ?” ซูอันคุยกับเหมยเชาฟง ด้วยเสียงที่อ่อนโยนโดยไม่เข้าใกล้ศาลามากเกินไป

“เจ้าคิดว่าข้าเป็นซางหลิวอวี้งั้นเหรอ? ข้าเอง…เหมยเชาฟง! ฮ่าฮ่า!” เหมยเชาฟงโยนวิกผมที่สวมอยู่ทิ้งไป จากนั้นก็ฉีกชุดสีชมพูหวานที่เขาสวมอยู่ และหันกลับมาเผชิญหน้าซูอันอย่างผู้ชนะ

“ปะ…เป็นเจ้าได้ยังไง? พี่สาวซางของข้าอยู่ที่ไหน?!” ซูอันแกล้งอุทานราวกับว่าเขาตกใจสุดขีด

ในเงามืด เจียงลั่วฝูกลอกตาเมื่อเห็นการแสดงของซูอัน

“ไม่มีพี่สาวซางอะไรทั้งนั้น เป็นข้าตั้งแต่ต้นจนจบ! เจ้าแปลกใจล่ะสิ? ฮ่าๆ!”

ความตื่นตระหนกในดวงตาของซูอันทำให้เหมยเชาฟงรู้สึกเบิกบานใจจนเขาสามารถกู่ร้องอย่างมีความสุข! เขาเดือดร้อนมามากจากไอ้เวรซูอันในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา และในที่สุดเขาก็สามารถเอาคืนได้!

“เป็นเจ้าเองเหรอ? ไม่ เป็นไปไม่ได้!” ซูอันแสดงละครมากกว่าเดิมโดยการแกล้งเดินโซเซถอยหลังและทำหน้าทำตาตกใจ “เป็นไปไม่ได้ เจ้ามาที่สถาบันจันทร์กระจ่างได้ยังไง?!”

“ต้องขอบคุณอิทธิพลยิ่งใหญ่ของนายน้อย มิฉะนั้น คงเป็นเรื่องยากสำหรับข้าที่จะคว้าปลาไหลอย่างเจ้า!”

เหมยเชาฟงไม่ได้รีบฆ่าซูอันเพราะเขาทุกข์ทนกับไอ้หมอนี่มามาก เขาจะปล่อยให้ซูอันตายไปง่าย ๆ ได้ยังไง? อย่างน้อย ๆ เขาต้องทำให้มันทนทุกข์ทรมาน ในขณะที่เพลิดเพลินไปกับเสียงกรีดร้องของมันเพื่อบรรเทาความโกรธแค้นที่เดือดพล่านของเขา!

“นายน้อยที่เจ้ากำลังพูดถึงคือซือคุนหรือเปล่า?”

ซูอันรู้ถึงความสัมพันธ์ของพวกเขามาก่อนแล้ว แต่พยายามล่อให้เหมยเชาฟงพูดให้เจียงลั่วฝูได้ยินกับหูตัวเอง

“หืม เจ้าอยากรู้ว่านายน้อยเป็นใคร? ข้าไม่หลงกลเจ้าหรอก! ข้าอยากให้เจ้าตายไปทั้งโง่ ๆ ไม่รู้อะไรแบบนี้แหละ!”

“เจ้าจะฆ่าข้าเหรอ?” ซูอันขัดใจเล็กน้อยที่เหมยเชาฟงไม่ยอมตกหลุมพราง จากนั้นเขาถึงทำเสียงสั่นราวกับว่ากลัว “ข้าเป็นลูกเขยของตระกูลฉู่ และเป็นอาจารย์ของสถาบันจันทร์กระจ่าง ถ้าเจ้ากล้าแตะต้องข้า ทั้งตระกูลฉู่และสถาบันจันทร์กระจ่างจะไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่!”

“ฮ่า ๆๆ! ก่อนหน้านี้ข้าคงจะลังเล แต่ตอนนี้ข้าไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว เจ้าทำให้ข้าสูญเสียทุกอย่าง ไม่มีทางที่ข้าจะอยู่ใน เมืองจันทร์กระจ่าง ได้อีกต่อไป หลังจากฆ่าเจ้าแล้ว ข้าจะไปที่เมืองอื่นและใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ถึงตอนนั้นตระกูลฉู่ หรือสถาบันจันทร์กระจ่างจะทำอะไรข้าได้ล่ะ?” เหมยเชาฟงหัวเราะชอบใจ

“พวกเขาออกหมายจับเจ้าแล้ว เจ้าสามารถหนีออกจากเมืองไปได้ง่าย ๆ แต่เจ้าเลือกที่จะรับความเสี่ยงมาลอบสังหารข้า คงจะมีใครบางคนสัญญากับเจ้าว่าเจ้าจะได้ใช้ชีวิตใหม่ที่เมืองอื่น ถ้าเจ้าเอาชีวิตข้าไปสำเร็จใช่ไหม?” ซูอันพยายามถามให้ลึกขึ้น

“แล้วมันแตกต่างกันยังไง? ข้าควรจะหั่นเจ้าเป็นชิ้น ๆ ตั้งแต่แรกแล้ว!” เหมยเชาฟงเยาะเย้ย “ทำไมเจ้าไม่ลองคุกเข่าขอความเมตตาจากข้า? ข้าอาจพิจารณาเมตตาเจ้าและมอบความตายให้เจ้าโดยไม่ทุกข์ทรมาน!”

แน่นอน แม้ว่าซูอันจะร้องขอความเมตตาจริง ๆ ก็ไม่มีทางที่เขาจะปล่อยให้ซูอันตายง่าย ๆ เขาต้องการทำให้ซูอันอับอายด้วยการร้องขอชีวิตราวกับขอทานหรือหมาข้างถนน ทำให้ซูอันมีความหวังก่อนจะดับฝันมันอย่างสาสมใจ…

เมื่อเห็นสิ่งนี้ซูอันก็ถอนหายใจเบา ๆ และพูดว่า “อะไรทำให้เจ้าแน่ใจนักว่าเจ้าจะฆ่าข้าได้?”

“เจ้าคงจะมีความมั่นใจมากขึ้นหลังจากเอาชนะหยวนเหวินตงในการประลอง แต่ข้าอยากบอกเจ้าว่า หยวนเหวินตงเป็นแค่คนอ่อนแอที่ไม่ควรจะบ่มเพาะไปถึงระดับห้าได้เลย นอกจากนี้เขายังตกหลุมพรางของเจ้าง่าย ๆ จึงได้พ่ายแพ้ไป แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าข้า เจ้าจะไม่มีวันมีโอกาสแบบนั้น!”