คุณหนูจวินมองรอบด้าน
ใช่แล้ว นางรู้จักที่นี่
ที่นี่ไม่ใช่ตำหนักของไทเฮา แต่เป็นสถานที่ซึ่งฮ่องเต้ขอบดื่มชาที่สุด
แล้วก็เป็นสถานที่ซึ่งก่อนหน้านี้นางตาย
ฤดูหนาวปีไท่คังที่สาม นางก็สวมชุดพิธีการงดงามทั้งร่างเช่นนี้มาที่นี่เหมือนเช่นตอนนี้
นั่งลงตรงข้ามกับฮ่องเต้ จับดาบยาวที่ซ่อนอยู่ตรงเอว
มือของคุณหนูจวินวางไว้ที่เอว
ก็เหมือนเช่นนี้ตอนนี้
ไทเฮาส่งเสียงอู้อี้ ทำลายความไม่แน่ใจไม่รู้ว่าคืนนี้คืนไหนลง
เวลานั้นที่นี่ไม่มีไทเฮา
“ไม่ต้องโวยวายแล้ว” ฮ่องเต้ยกพระบาทถีบไทเฮาทีหนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์
ไทเฮาที่เดิมทีนั่งสง่าอยู่ฉับพลันเอนล้ม
ตอนนี้คุณหนูจวินถึงมองเห็นว่ามือของไทเฮาถึงกับถูกมัดอยู่หลังร่าง แล้วก็มองเห็นความโกรธเกรี้ยวบนใบหน้าของไทเฮาชัดด้วย
ก็ไม่รู้ว่าใช้วิธีการอะไร นางคล้ายไร้หนทางเอ่ยวาจา
ได้แต่ใช้เสียงอู้อี้ที่ดังขึ้นแสดงออก
“ข้ารำคาญท่านแทบตายมาตั้งนานแล้ว” ฮ่องเต้ตรัสอีกหน “ท่านก็ไม่พูดไม่ได้”
สีหน้าไทเฮาเขียวขาว โกรธจนใบหน้าของนางบิดเบี้ยว ดูไปแล้วน่าขำน่าตลกยิ่ง
คุณหนูจวินหัวเราะออกมาจริงๆ
บนโลกนี้ยังมีสิ่งใดน่าขำกว่าการต่อสู้ระหว่างแม่กับลูกอีกเล่า?
โดยเฉพาะอย่างยิ่งแม่ลูกที่สมคบกันทำเรื่องชั่วคู่นี้
เสียงหัวเราะนี่สะท้อนก้องในตำหนัก ทำให้บรรยากาศพิกลอยู่บ้าง
ฮ่องเต้มองมาทางนางอย่างเย็นชา
“เจ้ายังหัวเราะออก เหิมเกริมพอตัวจริงๆ” พระองค์ตรัส “แต่เจ้าเคยคิดไหมว่าข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นี่?”
คุณหนูจวินส่ายศีรษะ
“ไม่ ข้าคิดว่าเจ้าจะหลบอยู่ข้างหลัง ให้คนอื่นมาเป็นคนชั่ว” นางเอ่ย สายตาจับบนร่างของไทเฮา
แววตาของฮ่องเต้เขม็งขึ้นนิดหนึ่ง
เขาสังเกตได้ว่านางพูดจากับเขา คำที่ใช้ไม่ใช่หม่อมฉันกับฝ่าบาทอีกต่อไป แต่เป็นเจ้ากับข้า
“ที่แท้เจ้าเป็นใคร?” พระองค์ตรัสถาม ท่าทางมองสำรวจอยู่บ้าง “พรรคพวกชั่วที่เหลืออยู่ของอดีตองค์รัชทายาทรึ?”
ดังนั้นถึงใช้ชื่อของสตรีที่ถูกตนฟันตายคนนั้นมาเป็นชื่อให้รังเกียจผวา?
คุณหนูจวินมองเขา
“ฝ่าบาทไม่คิดจะถกกับข้าว่าใครควรเป็นองค์รัชทายาทต่อหน้าผู้คนอย่างสง่าผ่าเผยแล้วหรือ?” นางไม่ตอบแต่เอ่ยถาม
ฮ่องเต้สรวลฮ่าฮ่าแล้ว
“เจ้าคู่ควรรึ” พระองค์ตรัสท่าทางเหยียดหยันอยู่บ้าง “ใครเป็นองค์รัชทายาท ข้าเป็นคนตัดสินใจ ผลัดไม่ถึงพวกเจ้ามาชี้มือชี้ไม้ คิดบีบบังคับข้า พวกเจ้าฝันไปจริงๆ”
“ดังนั้นเจ้าจึงคิดจะสังหารข้า?” คุณหนูจวินเอ่ย “คิดว่าสังหารข้าเช่นนี้ จะไม่มีใครบีบบังคับเจ้าแล้วหรือ? คนตาย ไม่ใช่จบแล้วจบกัน อย่างไรก็ต้องมีคำอธิบายสักอย่าง”
ฮ่องเต้ยกพระบาทถีบไทเฮาที่เอนล้มอยู่ด้านข้างอีกทีหนึ่ง
“ไทเฮาตำหนิเจ้า เจ้าเหิมเกริมกบฏ หลังหมายจะลอบทำร้ายข่มขู่ไทเฮา ไทเฮาก็ถูกทำร้าย ส่วนเจ้าถูกขันทีทั้งหลายร่วมแรงกันสังหาร” พระองค์ตรัส สีหน้าผ่อนคลายสบายๆ แววตารื่นรมย์ “นี่ก็คือคำอธิบาย”
สีหน้าของไทเฮายิ่งบิดเบี้ยว ดิ้นรนส่งเสียงอู้อี้ดังยิ่งขึ้น พระบาทของฮ่องเต้เหยียบนางไว้ คนก็คุกเข่าข้างหนึ่งลงมาด้วย
“เสด็จแม่” พระองค์ถอนพระปัสสาสะแผ่วเบา “ท่านไม่ใช่บอกเสมอหรือว่าทุกสิ่งที่ท่านทำล้วนเพื่อให้ข้าเป็นฮ่องเต้”
พระองค์ตรัสพลางงอนิ้วนับ
“ท่านให้เสด็จพ่อไม่ต้องไถ่ตัวพระอัยกากับพระปิตุลากลับมา ท่านให้เสด็จพ่อเอาเงินพวกนั้นมาซ่อนไว้ในอาณาเขตปกครองของข้า”
“ท่านให้ข้าแสร้งซื่อตรง ไม่เข้าเมืองหลวง หลบซ่อนอยู่ที่ซานตงประหนึ่งผี”
“แล้วก็…”
พระองค์ตรัสถึงตรงนี้ก็หยุด คล้ายครุ่นคิดอย่างจริงจัง แล้วท่าทางหยอกล้ออยู่บ้างอีก
“เหมือนจะเท่านี้นะ? ยังมีอีกไหมเสด็จแม่? ข้าจำได้ว่าปกติท่านพูดพร่ำทุกวันเหมือนมากเสียไม่มี” พระองค์ตรัส “ทำไมข้าคิดขึ้นมาจริงๆ จังๆ กลับคิดไม่ออกนะ?”
ไทเฮาโกรธแค้นถลึงตามองเขา ต้องการดิ้นรนลุกขึ้น เสียงอู้อี้คล้ายกำลังก่นด่าสาปแช่ง
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรนาง
“ที่จริงสิ่งใดท่านล้วนไม่ได้ทำ” พระองค์ตรัสเย็นชา “เรื่องเหล่านั้นที่ท่านทำมีประโยชน์สักอย่างไหม”
“พระอัยกาไม่กลับมา ก็เพื่อให้องค์รัชทายาทเป็นฮ่องเต้ได้”
“ซ่อนเงินไว้ในเขตปกครองของข้า นั่นก็เป็นเพียงเงินตาย เป็นข้าที่เปลี่ยนมันให้มีชีวิต”
“ท่านคิดว่าอาศัยท่านอยู่ในวังเอ่ยวาจาน่าฟังไม่กี่ประโยคแทนข้า ราชบัลลังก์นี่ก็กลายเป็นของข้าแล้วหรือ?”
“ท่านคิดว่าให้ข้าแสร้งทำซื่อตรงหลบอยู่ที่ซานตง คนในราชสำนักก็จะชื่นชมข้าทุกหนทุกแห่งหรือ? นั่นล้วนเป็นข้าใช้เงินซื้อมา”
พระองค์ยื่นหัตถ์ผลักไทเฮาที่อยู่บนพื้น แล้วลุกขึ้นยืนชี้รอบด้าน
“ราชบัลลังก์นี่ ใต้หล้านี่ เป็นข้าคิดวิธีเอามา ท่านถึงเป็นตัวไร้ประโยชน์”
พูดถึงตรงนี้พระองค์ก็ก้มเศียรมองไทเฮาอีกหน
“แต่ ตอนนี้เสด็จแม่ในที่สุดท่านก็ได้ทำเรื่องที่เป็นประโยชน์จริงๆ เรื่องหนึ่งแล้ว”
พระองค์ยกหัตถ์ชี้ถ้วยชาที่วางอยู่ด้านข้าง สีหน้าผ่อนคลายรื่นรมย์
“ประเดี๋ยวดื่มน้ำชานี่ออกเดินทางอย่างเงียบสงบเถอะ ก็นับว่าตายอย่างมีคุณค่า ลูกจะจดจำความชอบใหญ่หลวงของท่านไว้”
แม้ว่าเรื่องมากมายจะคาดเดาได้ แล้วก็รู้จักสันดานของพระปิตุลาองค์นี้กระจ่างชัด แต่เห็นฉากนี้กับตาได้ยินคำพูดเหล่านี้กับหู คุณหนูจวินก็ยังหนาวยะเยือกไปทั่วร่าง
“เดรัจฉานจริงๆ” นางเอ่ยพลางมองฮ่องเต้ “องค์รัชทายาทกับพระชายาแล้วก็อดีตฮ่องเต้ตายอย่างไร?”
เฉกเช่นนั้นในอดีต ถามประโยคนี้ออกมา
ฮ่องเต้มองไปหานาง
“เจ้าเกี่ยวข้องกับวิญญาณคนตายพวกนั้นจริงๆ” พระองค์ตรัสเย็นเยียบ แต่ก็เฉกเช่นในอดีตเช่นนั้น ไม่ตอบคำถามนี้ “แต่พวกนี้ข้าล้วนไม่สนใจ ไม่ว่าเจ้าเป็นใคร ท้ายที่สุดก็จะกลายเป็นคนตายคนหนึ่ง”
พระองค์ตรัสพลางนั่งลง โบกมือ
“สังหารนาง”
พร้อมกับคำพูดประโยคนี้ของเขา เสียงโครมทีหนึ่งพลันดังขึ้น แต่นี่ไมใช่ขันทีรอบด้านเข้ามาสังหารคุณหนูจวิน แต่เป็นกองทหารชิงซานกลุ่มหนึ่งแห่เข้ามาจากนอกประตู
พริบตาที่กองทหารชิงซานแห่เข้ามาก็ล้อมคุณหนูจวินไว้ตรงกลาง ดาบยาวในมือเล็งไปยังขันทีรอบด้าน รวมถึงฮ่องเต้ที่อยู่ตรงกลางพอดี
หลี่กั๋วรุ่ยยืนอยู่ข้างใน คนทั้งร่างคล้ายวิญญาณหลุดลอยไปแล้ว
เขาไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นคนที่ดาบซึ่งกำอยู่ในมือของตนเองเล็งอยู่ คนทั้งร่างถึงตัวสั่นเทาได้สติขึ้นมา
นั่นคือฮ่องเต้!
ฮ่องเต้!
เขาถึงกับถือดาบเล็งฮ่องเต้แล้ว!
เขาจะก่อกบฏรึ?
ไม่ ไม่ เขาย่อมไม่มีทางก่อกบฏ เขาถูกลากเข้ามาต่างหาก
เขารู้อยู่แล้วเชียว เขาอยู่ในกองทหารชิงซานก็แค่หุ่นตัวหนึ่ง
หลี่กั๋วรุ่ยแทบร้องไห้ออกมา แต่อาจเพราะเกิดเป็นความคุ้นชินแล้ว เมื่อยืนอยู่ในขบวนแถวของกองทหารชิงซาน ขบวนแถวไม่แตกคนไม่ถอย ดังนั้นเขาจึงยังกำดาบยืนมั่นคง
ในตำหนักชะงักนิ่ง กระทั่งเสียงอู้อี้ของไทเฮาก็หายไปแล้ว
“ขวัญกล้าจริงนะ นี่เจ้าไม่ใช่อ้างความชอบทำตัวขบถแล้ว” ฮ่องเต้ที่นั่งอยู่บนที่นั่งประธานตรัสทำลายความชะงักนิ่งนี่ ท่าทางโกรธเกรี้ยวและหวาดกลัวอยู่บ้าง “นี่เจ้าจะก่อกบฏ!”
คุณหนูจวินสีหน้านิ่งสงบ
“นี่ไม่ใช่ก่อกบฏ” นางเอ่ย “นี่แค่ขจัดความวุ่นวายคืนความเป็นธรรม ผู้ปกครองที่เสียคุณธรรมไม่อาจปกครองใต้หล้า พวกกบฏที่ช่วงชิงอย่างผิดกฎ ไม่อาจเป็นโอรสสวรรค์”
ฮ่องเต้หัวเราะหยัน
“ข้าเสียคุณธรรมอย่างไร กบฏช่วงชิงผิดกฎอย่างไร?” พระองค์ตรัส “เจ้ามีหลักฐานอะไร?”
คุณหนูจวินมองกองทหารชิงซานคนหนึ่งข้างกาย
กองทหารชิงซานคนนั้นพยักหน้า ผิวปากให้ด้านนอก
กองทหารชิงซานสี่ห้าคนล้อมนางกำนัลคนหนึ่งเดินเช้ามา เสวี่ยเอ๋อร์นั่นเอง
สีหน้าของนางแม้สั่นเทาแต่ก็ท่าทางแน่วแน่อยู่บ้างด้วย
“นางกำนัลคนนี้เคยถวายโอสถให้องค์รัชทายาท นางยืนยันได้ว่าองค์รัชทายาทรักษาตัวหายดีแล้ว ไม่ได้สิ้นพระชนม์เพราะประชวร” คุณหนูจวินเอ่ยพลางมองฮ่องเต้ “ในเมื่อไม่ได้สิ้นพระชนม์เพราะประชวร ถ้าเช่นนั้นย่อมถูกคนทำร้าย”
ฮ่องเต้มองนางแล้วมองนางกำนัลคนนั้นอีก สีหน้าเปลี่ยนไปไม่หยุด ฉับพลันก็ลุกขึ้นยืน
“เจ้าพูดจาเหลวไหล!” พระองค์ตวาด “เป็นเรื่องที่ไม่มีอยู่สักนิด!”
คุณหนูจวินก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง
“ข้าเคยบอกแล้วคนตายไป ไม่ใช่จบแล้วจบกัน อย่างไรก็ต้องมีคำอธิบายสักอย่าง” นางเอ่ย
สิ้นเสียงของนางก็เห็นฮ่องเต้ที่หวาดหวั่นโกรธเกรี้ยวตรงหน้าฉับพลันนั่งลง
“น่าเบื่อจริง” เสียงของพระองค์กลับมานิ่งสงบ “ช่องโหว่ของเรื่องนี้ที่แท้ก็อยู่ตรงนี้เอง มิน่าตอนนั้นสตรีคนนั้นถึงเสียสติ”
อะไร?
คุณหนูจวินสีหน้านิ่งค้าง
แย่แล้ว!
แต่ยังสายไปก้าวหนึ่ง ฮ่องเต้บนที่นั่งประธานโบกมือขึ้นสบายๆ
“ตอนนี้คนมาครบแล้ว” พระองค์ตรัส “จัดการให้หมดเถอะ”
พร้อมกับคำพูดของพระองค์ รอบด้านเสียงเอะอะดังขึ้นพักหนึ่งอีกหน คนมากกว่าเดิมแห่เข้ามา ครั้งนี้ยังคงเป็นขันที แต่ในมือพวกเขาไม่ใช่เพียงดาบกระบี่ แต่เป็นหน้าไม้
ขันทีทั้งหลายซึ่งล้อมอยู่ก่อนหน้านี้ถอยไปข้างหลัง ให้ลูกศรเย็นเยียบเล็งไปยังกองทหารชิงซานกลุ่มนี้
หยวนเป่ายืนอยู่ตรงกลาง ท่าทางได้ใจอยู่บ้าง
คุณหนูจวินมองเห็นฮ่องเต้ที่นั่งอยู่บนที่นั่งประธานผ่านขันทีซึ่งเบียดเสียดกันชั้นแล้วชั้นเล่า
“คุณหนูจวิน นี่คือ พระราชวังของข้า” พระองค์ตรัสเรียบๆ
……………………………………….