ตอนที่ 108-2 ครอบครัวสี่คนที่แสนอบอุ่น
เฉียนฮูหยินเรียกคนออกมา พวกเขาเป็นบุรุษอายุราวสามสิบกับสตรีอายุยี่สิบกว่า บุรุษหน้าตาไม่หล่อเหลา แต่เขาดูแข็งแรงมาก ส่วนรูปร่างหน้าตาของผู้หญิงพอไปวัดไปวา ทั้งคู่ต่างไม่ใช่คนหน้าตาดีนัก แต่กลับดูสบายตา
“แต่เดิมพวกเขาเป็นญาติของครอบครัวขุนนาง นายใหญ่ของตระกูลต้องโทษจึงถูกยึดบ้านริบทรัพย์ คนเหล่านี้เดิมต้องถูกเนรเทศ แต่ข้าซื้อพวกเขาไว้ พวกเขาอยู่กับข้ามาระยะหนึ่งแล้ว ทำงานทุกอย่างโดยไม่บ่น ทั้งซื่อสัตย์ สะอาดสะอ้าน ร่างกายแข็งแรง ถ้าเจ้าจะซื้อคนไปทำงาน พวกเขาเหมาะสมที่สุดแล้ว เพียงแต่…มีเด็กด้วย” เฉียนฮูหยินพูดพร้อมกับมองผู้หญิงคนนั้น “จงเกอร์ล่ะ”
ผู้หญิงคนนั้นตอบว่า “ไปเล่นแล้วเจ้าค่ะ”
“อายุเท่าไร” เฉียวเวยถาม
หญิงคนนั้นตอบ “เรียนคุณหนู อายุเจ็ดขวบเจ้าค่ะ”
แก่กว่าจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูสองปี ในหมู่บ้านมีสำนักศึกษา ตอนกลางวันสามารถไปเรียนด้วยกันได้
“เด็กคนนั้นว่านอนสอนง่ายมาก” เฉียนฮูหยินกล่าว
เฉียวเวยกวักมือเรียกพวกเขาทั้งสอง “พวกเจ้าเข้ามาใกล้ๆ”
“เจ้าค่ะ” ผู้หญิงตอบรับและเดินมาตรงหน้าของเฉียวเวยพร้อมกับผู้ชาย
เฉียวเวยมองไปที่มือของทั้งสองคน มือหยาบหนาเหมือนรังไหม เป็นมือของคนทำงาน เฉียวเวยยังจับชีพจรของทั้งสองคนด้วย พวกเขาต่างก็มีสุขภาพดี นางจึงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “เท่าไร”
หมายความว่าจะซื้อแล้ว เฉียนฮูหยินถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก!
ตอนที่นางซื้อครอบครัวนี้มา ความจริงแล้วไม่ใช่เพราะเห็นแก่พวกเขาสองคน คณะที่ถูกเนรเทศของพวกเขายังมีคู่พี่น้องอีกคู่หนึ่ง นางชอบหญิงสาวคนนั้นที่ดูจิ้มลิ้มพริ้มเพรา แต่หญิงสาวต้องการให้นางซื้อพวกเขาทั้งครอบครัว ไม่เช่นนั้นนางจะโขกศีรษะชนกำแพงตาย นางเห็นว่าท่าทางของพวกเขาดูไม่เลว อาศัยลิ้นทองที่มีวาทศิลป์ของนางก็คงจะขายได้ไม่ยาก ไหนเลยจะรู้ว่าสองคนพี่น้องนั่นถูกซื้อตัวไปเป็นสาวใช้กับเด็กรับใช้ในครอบครัวตระกูลใหญ่อย่างรวดเร็ว แต่อากับสะใภ้สองคนนี้และเด็กอายุหกขวบกลับไร้ซึ่งคนต้องการ
ไม่ใช่ว่าทาสในตระกูลใหญ่ไม่ได้รับอนุญาตให้เลี้ยงเด็ก แต่เด็กเหล่านั้นล้วนเป็นลูกที่เกิดภายในบ้าน ดังนั้นทุกคนไม่ว่าเด็กหรือคนแก่ต้องทำงานทั้งครอบครัว
‘ครอบครัวสามคน’ กินอยู่กับนางมาหนึ่งเดือน ในที่สุดก็มีคนซื้อแล้ว
เฉียนฮูหยินอยากขายใจจะขาด จึงเสนอราคาถูกโดยที่ไม่ต้องให้เฉียวเวยต้องเสียเวลาต่อรอง คือคนละสิบตำลึง ส่วนเด็กให้ไปโดยไม่คิดเงินเพิ่ม
เงินจำนวนสิบตำลึงก็สามารถซื้อชีวิตของคนคนหนึ่งได้ เฉียวเวยส่ายศีรษะ รู้สึกว่าชีวิตต่ำต้อยด้อยค่าดั่งต้นหญ้ามากกว่าพริบตานั้นที่ยิ่นอ๋องโยนทองคำให้นางเสียอีก
เฉียวเวยไม่ต่อรองราคา นางซื้อ ‘ครอบครัวสามคน’ มาด้วยเงินจำนวนยี่สิบตำลึง
ครอบครัวสามคนนี้ไม่ใช่พ่อแม่ลูกกัน คนหนึ่งเป็นเจ้านายผู้เป็นบุตรอนุของเรือนสอง ส่วนผู้หญิงเป็นอนุภรรยาของเรือนใหญ่ และเด็กเป็นบุตรอนุของเรือนใหญ่ แถมบุตรอนุคนนี้ยังไม่ได้เป็นลูกแท้ๆ ของผู้หญิงคนนี้อีก แต่เป็นลูกของอนุภรรยาอีกคน ตอนที่ถูกบุกยึดบ้าน อนุภรรยาที่เป็นแม่แท้ๆ ของเด็กหนีเอาตัวรอดไปได้
ตอนเป็นครอบครัวขุนนาง ทั้งสามคนแทบไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลย หลังจากบ้านแตกสาแหรกขาด พวกเขากลับกลายเป็นครอบครัวที่พึ่งพาอาศัยกัน
เมื่อก่อนตอนอยู่ในบ้านขุนนาง สถานภาพของทั้งสามคนก็ไม่ค่อยดีนักอยู่แล้ว หลังจากถูกเนรเทศ ความเย่อหยิ่งและมาดผู้ดีที่หลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิดก็เลือนหายไป ตอนนี้ความหวังที่เพ้อฝันมากที่สุดคือการใช้ชีวิตต่อไปอย่างสงบสุข ดังนั้นพวกเขาย่อมไม่กล้าเล่นแง่ต่อหน้าเฉียวเวยเป็นธรรมดา
เฉียวเวยบอกว่า “บ้านใหม่ยังสร้างไม่เสร็จ พวกเจ้าไปอาศัยอยู่ในโรงเก็บของในลานก่อสร้างก่อน ความเป็นอยู่อาจลำบากอยู่บ้าง แต่ถ้าพวกเจ้าทำงานอย่างขยันขันแข็ง ข้าจะไม่ทำให้พวกเจ้าลำบากแน่นอน นอกจากนี้ข้าซื้อพวกเจ้าทั้งสอง แต่ไม่ได้ซื้อเด็กคนนี้ ตัวเขาเป็นอิสระ เมื่อโตขึ้นเขาจะทำสิ่งใด ข้าก็จะไม่เข้าไปเจ้ากี้เจ้าการ”
อากับสะใภ้พยักหน้าขอบคุณ ตอนนี้พวกเขาเป็นห่วงเด็กคนนี้มากที่สุด ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นทาสหรือสาวใช้ก็ไม่กระไรนัก แต่พวกเขาไม่ต้องการให้เด็กคนนี้ถูกตราหน้าว่าเป็นทาส
“ขอบคุณแม่นางเฉียว!” ผู้หญิงคนนั้นคุกเข่าลงพร้อมกับโขกศีรษะ
เฉียวเวยพยุงนางให้ลุกขึ้น “ต่อไปไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรพวกนี้แล้ว”
“เจ้าค่ะ” ผู้หญิงตอบรับ
จากนั้นทั้งหมดก็ขึ้นรถม้า เดินทางออกจากเมืองหลวง
ผู้ชายชื่ออากุ้ย ส่วนผู้หญิงชื่อกู้ชีเหนียง หากจะพูดอย่างชัดเจนก็คือ ทั้งสองไม่ได้เป็นอากับสะใภ้จริงๆ เพราะกู้ชีเหนียงมิใช่ภรรยาเอก ส่วนอากุ้ยก็มิใช่น้องชายแม่เดียวกันกับนายใหญ่ของจวน
อากุ้ยกับเฉินต้าเตานั่งอยู่ด้านนอกรถม้า กู้ชีเหนียงพาจงเกอร์มานั่งด้านในรถม้า วั่งซูเบิกตาโตมองสหายคนใหม่ สหายใหม่ก็มองนางด้วยความสงสัยเช่นกัน แต่เฉียวเวยกับจิ่งอวิ๋นไม่ได้พูดอะไร ภายในรถม้าจึงเงียบสงบ วั่งซูเป็นเด็กรู้ความ นางฉีกยิ้มแล้วซุกเข้าไปในอ้อมแขนของมารดา
เฉียวเวยพาคนขึ้นไปบนเขา แล้วจัดกระท่อมชั่วคราวให้ทั้งสามคน
ตอนแรกที่อากุ้ยกับกู้ชีเหนียงได้ยินว่าตัวเองถูกซื้อแล้ว พวกเขาต่างก็คิดว่าคนที่ซื้อคือคนตระกูลใหญ่ เมื่อขึ้นรถถึงได้รู้ว่าเป็นชาวนา พวกเขาคิดว่าอีกฝ่ายต้องอัตคัดขัดสนมากแน่ๆ แต่เมื่อมาถึงบริเวณก่อสร้าง แลเห็นเรือนหลังใหญ่ที่เกือบจะสร้างเสร็จ กับสวนหย่อมขนาดใหญ่และสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ พวกเขาต่างก็ตกตะลึงพรึงเพริดจนพูดไม่ออก
นี่ไม่ใช่การสร้างบ้านใหม่ธรรมดา แต่เป็นการสร้างคฤหาสน์หรูขนาดย่อมๆ เลยทีเดียว
การได้ทำงานในคฤหาสน์หลังย่อมที่สวยงามเช่นนี้ นับว่าคุ้มค่าแล้ว
หลังจากจัดแจงที่พักให้พวกเขาทั้งสามแล้ว เฉียวเวยก็ลงจากเขา ไปตระเตรียมที่นอนสะอาดมามอบให้พวกเขา ป้าหลัวรับห่อผ้ามาแล้วพูดว่า “ให้พี่ใหญ่เจ้าไปเถอะ เขากำลังจะขึ้นเขาพอดี” พูดเสร็จก็ส่งห่อผ้าให้หลัวหย่งจื้อ
เฉียวเวยยิ้มเล็กน้อย “ขอบคุณพี่ใหญ่”
หลัวหย่งจื้อกล่าวตอบ “จะเกรงใจอะไร คนกันเองแท้ๆ!”
หลัวหย่งจื้อจึงหอบหิ้วสัมภาระขึ้นบนภูเขา เด็กสองคนไปเล่นที่บ้านของเอ้อร์โก่วจื่อ ป้าหลัวเรียกเฉียวเวยเข้ามาในห้อง “ข้าว่าสองคนนั้นดูไม่เลวเลย ท่าทางทำงานเป็น แต่ทำไมเจ้าถึงไปนานขนาดนั้น เมื่อวานเกิดอะไรขึ้นหรือ”
เมื่อวานมัวแต่แย่งลูกกันกับยิ่นอ๋องอยู่น่ะสิ
เมื่อเฉียวเวยนึกถึงคนเลวนั่นก็โมโห แต่นางคร้านจะพูดถึงเขา “ไม่มีอะไร แค่แวะเที่ยวเมืองหลวงเท่านั้น”
“นานๆ เด็กๆ จะได้เข้าเมืองหลวงสักที พาเที่ยวบ้างก็ดีเหมือนกัน” ป้าหลัวกล่าวอีกว่า “จริงสิ ไม่เห็นคุณชายหลี่มาที่นี่นานแล้ว”
เฉียวเวยระบายลมหายใจอย่างเย็นชา “ไม่มาสิดี”
ถ้าคนชั่วนั่นกล้ามาอีก นางจะสับเขาเป็นชิ้นๆ!
ป้าหลัวเห็นสีหน้าท่าทางเฉยชาของนางจึงถามว่า “เจ้าไม่ชอบคุณชายหลี่นั่นหรือ ข้าคิดว่าถึงเขาจะเย็นชาไปบ้าง แต่ก็ดูเป็นคนร่ำรวย”
ก็ร่ำรวยจริงๆ เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ แต่แล้วอย่างไรเล่า ใจดำอำมหิตปานนั้น ไม่รู้ว่าเด็กไปอยู่ด้วยแล้วจะกลายเป็นคนเช่นไร เขาต้องการเอาลูกไปเลี้ยงเหมือนสัตว์เลี้ยงเท่านั้น หากต้องปล่อยให้คนเช่นนี้เอาลูกทั้งสองคนของนางกลับไปดูแลจริงๆ ถึงตายนางก็ไม่มีวันยอม
ป้าหลัวคิดว่าลูกบุญธรรมดีทุกด้าน เสียแต่ไม่สนใจเรื่องการแต่งงาน หากเป็นสตรีคนอื่นคงอยากจะแต่งงานเร็วๆ แต่ดูเหมือนนางไม่อยากมองหาบุรุษเลย “เจ้ายังสาว รีบแต่งงาน รีบมีน้องให้จิ่งอวิ๋นกับวั่งซู…”
“อืม…อืม…เจ้าค่ะ”
ป้าหลัวพูดอะไรไป เฉียวเวยก็พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง แต่เพียงพริบตาเดียวมันก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา
ป้าหลัวหมดอารมณ์จะพูดกับนางแล้ว ตัวนางเองก็พอมองออกอยู่บ้าง แม่หนูคนนี้มิใช่ว่านางไม่ชอบผู้ชายพวกนั้น แต่ในใจของนางไม่อยากแต่งงานตั้งแต่ต้น นี่เป็นสิ่งที่แก้ไขยากที่สุด หากไม่ชอบผู้ชายพวกนั้น นางก็เพียงหาคนใหม่ที่ดีกว่ามา แต่ถ้าหากในใจนางไม่ต้องการเรื่องนี้ตั้งแต่แรก ถึงตัวเองหาคนมาจนหมดทั้งเมืองก็เปล่าประโยชน์
“เฮ้อ ข้าล่ะห่วงเจ้าจริงๆ” ป้าหลัวมองเฉียวเวยอย่างไม่พอใจ จากนั้นก็ไปทำอาหารให้เด็กๆ ในห้องครัว
เฉียวเวยกลับเข้าไปในห้อง ทันทีที่นางเดินเข้าประตู นางก็เห็นเด็กน่ารักสองคนหมอบก้นโด่งอยู่บนเตียง ท่าทางมีลับลมคมในไม่รู้ว่าทำอะไรกันอยู่ “วั่งซู จิ่งอวิ๋น”
เด็กน่ารักทั้งสองคนลุกขึ้นนั่งทันที แล้วเอาตัวบังของที่อยู่บนเตียงเอาไว้
“พวกเจ้าไม่ได้ไปที่บ้านของเอ้อร์โก่วจื่อหรือ เหตุใดจึงอยู่ในห้อง พวกเจ้าซ่อนอะไรอยู่” เฉียวเวยถามอย่างสงสัย
“ไม่มีอะไร!” ทั้งสองพูดพร้อมกัน
เฉียวเวยหรี่ตา “น่าสงสัย”
วั่งซูสั่นศีรษะระรัว “ไม่มี ไม่มี!”
ยิ่งปฏิเสธยิ่งน่าสงสัย เฉียวเวยเดินไปดู
วั่งซูเอามือข้างหนึ่งซ่อนไว้ข้างหลัง อีกข้างดันตัวเฉียวเวยไว้ “ท่านอย่าเข้ามาสิเจ้าคะ ท่านแม่!”
นี่เป็นครั้งแรกที่นางถูกเจ้าก้อนซาลาเปา ‘ผลักไส’ นับตั้งแต่เป็นแม่มา เฉียวเวยรู้สึกเศร้าใจ หมิงซิวคนไม่ดี พูดอะไรกับลูกของนางกันแน่ ถึงกับทำให้ลูก ‘ปิดบัง’ นางขนาดนี้
“ซ่อนอะไรไว้กันแน่” นางถามอย่างจริงจัง
วั่งซูอึกอักครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยืดอกแล้วพูดว่า “ข้ารับรองว่าไม่ใช่ลูกกวาดเจ้าค่ะ!”
จิ่งอวิ๋นรีบกล่าวว่า “ข้าก็รับรองได้เช่นกันขอรับ”
เฉียวเวยพ่นลมหายใจ “วั่งซู เมื่อวานเจ้าขโมยขนมออกมาจากจวนอ๋องเยอะแยะ”
“โธ่ นั่นมัน…นั่นมัน…” วั่งซูร้อนใจจนพูดตะกุกตะกัก “ข้า…ข้าคือว่า…ข้าไม่ได้ขโมยขนมจริงๆ นะเจ้าคะ! ทำไมท่านแม่ไม่ออกไปเล่นข้างนอก”
ความรู้สึกของการที่ถูกซาลาเปาน้อย ‘ขับไล่ออกมา’ มันช่างสุดจะบรรยายจริงๆ
เฉียวเวยหดหู่ทั้งคืน ฝันว่าซาลาเปาน้อยไม่ต้องการนางอีกต่อไปแล้วตามไปอยู่กับบิดาไร้หัวใจคนนั้น ตอนแรกบิดาหน้าตาเหมือนยิ่นอ๋อง แต่เมื่อภาพเปลี่ยนไปก็กลายเป็นหมิงซิว ทว่าเมื่อหมิงซิวถอดหน้ากากออกก็กลายเป็นยิ่นอ๋องอีก ความฝันของนางสับสนอลหม่านทั้งคืน เมื่อตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น รอบดวงตาก็เขียวคล้ำไปหมด
ท้องฟ้าสดใส มีแสงแดดจางๆ ส่องผ่านกระดาษหน้าต่าง
เมื่อตื่นนอนเฉียวเวยจะคลำเตียงข้างๆ ตัวอย่างเคยชิน แต่เช้านี้กลับไม่พบสิ่งใด นางลืมตาขึ้นด้วยความตกใจ แล้วนางก็เห็นเด็กน้อยน่ารักสองคนนั่งขัดสมาธิอยู่กลางเตียง พวกเขาต่างกำลังมองนางด้วยรอยยิ้ม หัวใจของนางกระตุก เรื่องของยิ่นอ๋องทำให้เกิดแผลในหัวใจของนาง นางกลัวว่าวันหนึ่งเมื่อนางลืมตาขึ้นแล้วลูกๆ จะหายไป
สำหรับนางแล้ว เด็กๆ ไม่ได้เป็นแค่ลูกสองคนอีกต่อไป แต่เป็นทั้งชีวิตและความหวังของนาง นางจะไม่มีวันยอมสูญเสียพวกเขาไปเด็ดขาด
นางแตะไหล่เล็กๆ ของทั้งสองคน “ข้าตกใจแทบแย่ วันนี้พวกเจ้าเป็นอะไร ทำไมถึงตื่นเช้าเช่นนี้”
วั่งซูหยิบกระดาษขาวแผ่นหนึ่งออกมาจากด้านหลัง บนกระดาษมีรูปภาพที่นางวาดไว้อย่างยึกยือ นั่นคือภาพผู้หญิงคนหนึ่งถือไม้กระบอง กับเด็กหญิงตัวเล็กๆ ถือซาลาเปา กับเด็กผู้ชายที่มองไม่ออกว่ากำลังทำอะไรอยู่ แล้วยังมีลูกสุนัขสีขาวตัวป้อมๆ อีกตัวหนึ่ง
“นี่คือท่านแม่ นี่คือข้า นี่คือพี่ชายและเสี่ยวไป๋” วั่งซูวาดนิ้วชี้ไปทีละรูป
เฉียวเวยพูดอย่างขบขัน “เมื่อวานที่เจ้าทำท่าทางลับๆ ล่อๆ กำลังวาดรูปนี้นี่เอง แต่เหตุใดข้าจึงถือไม้พลอง ข้ากำลังจะตีพวกเจ้าหรือ”
วั่งซูจ้องเขม็ง “นั่นเข็มนะเจ้าคะ! ท่านแม่กำลังเย็บเสื้อผ้าให้พวกเรา!”
เฉียวเวยคิด เข็มใครเล่มใหญ่กว่าแขนแบบนั้น…
“ข้าเข้าใจแล้ว ที่เจ้าถือก็ไม่ใช่ซาลาเปา แต่กำลังถือขนมอยู่ใช่หรือไม่” เฉียวเวยถามอย่างอ่อนโยน
ใบหน้าของวั่งซูเปลี่ยนเป็นสีแดง “นั่นคือซิ่วท้ออายุยืนเจ้าค่ะ!”
เฉียวเวยหัวเราะงอหาย คนที่วาดซิ่วท้ออายุยืนให้กลายเป็นซาลาเปาได้ก็มีแต่หนูน้อยคนนี้แหละ
ไม่นานจิ่งอวิ๋นก็ถือกล่องไม้เล็กๆ อันหนักอึ้งมามอบให้นาง
เฉียวเวยหยุดหัวเราะ พอเปิดกล่องออกดูก็เห็นว่ามันเต็มไปด้วยเหรียญทองแดงและไข่มุก ยังมีเศษเงินอีกก้อนหรือสองก้อนอยู่ด้วย “นี่คือ…”
“นั่นคือทั้งหมดที่ข้าหาได้ในปีนี้ ปีหน้าข้าจะขยันให้มากขึ้นขอรับ” จิ่งอวิ๋นกล่าวอย่างเขินอายจบ ก็หอมแก้มเฉียวเวยครั้งหนึ่งขณะที่ตนเองหน้าแดงก่ำ “ท่านแม่ สุขสันต์วันเกิด”
เฉียวเวยเกือบลืมหายใจ เด็กสองคนยุ่งทั้งวัน ทั้งยังตื่นแต่เช้าเพื่อฉลองวันเกิดให้นางอย่างนั้นหรือ
ตอนอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า พวกเขาจะจัดงานฉลองวันเกิดให้เด็กทุกคนที่เกิดในเดือนนั้นทุกวันที่หนึ่งของเดือน นางไม่เคยเป็นเจ้าของวันเกิดเพียงหนึ่งเดียว เมื่อโตขึ้น นางก็เริ่มไม่ชอบจัดงานวันเกิด อีกทั้งช่วงนั้นก็ยุ่งกับงานนั้นงานนี้ ทำให้นางลืมวันเกิดของตัวเองไปอย่างสิ้นเชิง
“พวกเจ้ารู้วันเกิดแม่ได้อย่างไร”
“ท่านลุงหมิงบอกเจ้าค่ะ!” วั่งซูกล่าว
นี่ก็คือความลับเล็กๆ ของพวกเขาสามคนหรือ บางสิ่งสัมผัสถูกมุมที่อ่อนไหวในหัวใจของเฉียวเวย นางรู้สึกแสบจมูกเหมือนจะร้องไห้
วั่งซูกะพริบตาแล้วถามว่า “ท่านแม่ชอบของขวัญของเราหรือไม่เจ้าคะ”
เฉียวเวยอุ้มเด็กน่ารักทั้งสองคนไว้ในอ้อมแขน แล้วจูบศีรษะเล็กๆ ของพวกเขา “ชอบมาก ชอบมากที่สุด ขอบใจจิ่งอวิ๋น ขอบใจวั่งซู”
วั่งซูกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ท่านลุงหมิงมีของขวัญให้ท่านแม่ด้วยเจ้าค่ะ!”
“ของขวัญอะไรหรือ” เฉียวเวยถาม
วั่งซูหรี่ตาลงอย่างมีลับลมคมใน “คืนนี้ท่านแม่ก็จะทราบเองเจ้าค่ะ!”
เมื่อมีโทรโข่งน้อยอย่างวั่งซูอยู่ด้วย ไม่นานทุกคนในสกุลหลัวก็รู้ว่าเป็นวันเกิดของเฉียวเวย ป้าหลัวเชือดแม่ไก่แก่หนึ่งตัว ซื้อหมูสามชั้นหนึ่งชั่ง เนื้อวัวหนึ่งชั่ง แล้วปรุงบะหมี่อายุยืนให้หนึ่งชาม ทุกคนในครอบครัวต่างนั่งล้อมรอบโต๊ะทานอาหารอย่างมีความสุข
พวกเขายังไม่ทันกินเสร็จก็มีเสียงดังสนั่นมาจากข้างนอก เอ้อร์โก่วจื่อตะโกนร้องอย่างตื่นตระหนก “ไฟไหม้!”
ไฟไหม้?
เฉียวเวยวางตะเกียบลงแล้วเดินออกไป เสียง ‘ฟ้าร้อง’ ดังขึ้นเหนือศีรษะของนาง แสงสีขาวพร่างพรายระเบิดกลางราตรีอันมืดมิด
“เกิดอะไรขึ้นๆ” หัวหน้าหมู่บ้านวิ่งออกจากบ้านด้วยความตกใจ “ไฉนท้องฟ้าจึงลุกเป็นไฟ”
“ไฟไหม้ ไฟไหม้!” ฮูหยินหัวหน้าหมู่บ้านวิ่งตามออกมาด้วยสีหน้าซีดเซียว
ชาวบ้านต่างวิ่งออกจากบ้านทีละคน มอง ‘ช่อดอกไม้’ ทรงวงโค้งอันงดงามตระการตาด้วยความหวาดกลัวระคนประหลาดใจ
เมื่อทุกคนมารวมกันที่ทางเข้าหมู่บ้าน ซิ่วไฉเฒ่าก็ขมวดคิ้วแล้วบอกว่า “ไม่ใช่ไฟไหม้ท้องฟ้า แต่มันคือดอกไม้ไฟ!”
ดอกไม้ไฟหรือที่เรียกกันทั่วไปว่าพลุ ในยุคสมัยที่เทคโนโลยียังไม่พัฒนาเช่นราชวงศ์ต้าเหลียง มันมีค่าเทียบเท่าทองคำ ขนาดประทัด คนทั่วไปยังต้องดิ้นรนเพื่อซื้อมัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงดอกไม้ไฟ คนส่วนใหญ่ไม่เคยเห็นมันสักครั้งในชีวิต ส่วนซิ่วไฉเฒ่าเคยทำงานอยู่ในจวนเอินปั๋วจึงบังเอิญเคยเห็นมาครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนั้นเป็นการฉลองการประสูติครบเดือนขององค์รัชทายาท ฮ่องเต้ทรงจุดดอกไม้ไฟเหนือประตูเมืองหลายดอก เขาจึงเคยเห็นประกายแสงของดอกไม้ไฟจากที่ไกลๆ ไม่เหมือนคืนนี้ ดอกไม้ไฟทั้งชุดถูกจุดเหนือศีรษะของเขา ภาพอันน่าทึ่งทำให้หัวใจของเขาเต้นโครมคราม
หัวหน้าหมู่บ้านเคยได้ยินเรื่องดอกไม้ไฟ เขารู้ว่ามันเป็นของขุนนางผู้มั่งคั่ง แต่เขาไม่เคยเห็นกับตามาก่อน โอ้สวรรค์ มันช่าง…งดงามจริงๆ! แม้ชีวิตนี้จะไม่ได้เป็นคนจุดดอกไม้ไฟ แต่ได้เห็นสักครั้งก็คุ้มค่าแล้ว!
ดอกไม้ไฟดอกแล้วดอกเล่าถูกจุดขึ้นเหนือหมู่บ้านซีหนิว ทำให้ทั้งหมู่บ้านสว่างไสว
ผู้คนต่างวิ่งออกมามากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาเหม่อมองดอกไม้ไฟเหนือศีรษะด้วยความตื่นตาตื่นใจ มันช่างสวยงามเหลือเกิน…
อากุ้ยกับกู้ชีเหนียงยืนอยู่บนยอดเขาพร้อมกับอุ้มเด็กไว้ในอ้อมแขน
“ชีเหนียงเจ้ายังจำดอกไม้ไฟที่ครอบครัวของเราจุดได้หรือไม่” อากุ้ยถาม
กู้ชีเหนียงพยักหน้า จำได้ ทำไมจะจำไม่ได้ เพียงแต่ว่าตอนนี้พวกเขาเป็นทาสแล้ว ไม่สามารถจุดได้อีกต่อไป
“ท่านบัณฑิต ดอกไม้ไฟคงราคาสูงมากกระมัง” หัวหน้าหมู่บ้านถาม
ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้า ราคาเท่าไรน่ะหรือ ราคาแทบจะเท่ากับการซื้อทองคำ มีเพียงตระกูลขุนนางที่มีอำนาจเท่านั้นที่สามารถซื้อได้
หัวหน้าหมู่บ้านมองไปรอบๆ “ใครเป็นคนจุด คงไม่ใช่เสี่ยวเฉียวกระมัง”
ตอนนี้คนที่ร่ำรวยที่สุดในหมู่บ้านคือเสี่ยวเฉียว นอกจากนางแล้วหัวหน้าหมู่บ้านยังนึกไม่ออกว่าใครจะอาจหาญซื้อดอกไม้ไฟมาจุดได้มากมายขนาดนี้
ซิ่วไฉเฒ่าส่ายศีรษะ ปีนั้นตอนที่คุณหนูเกิด นายท่านกับฮูหยินก็ต้องการซื้อดอกไม้ไฟมาเฉลิมฉลอง แต่น่าเสียดายพวกเขาหาซื้อไม่ได้ ของที่แม้แต่นายท่านกับฮูหยินยังหาซื้อไม่ได้ แล้วคุณหนูจะซื้อได้เช่นไร
“เช่นนั้นก็น่าแปลก ไม่ใช่เสี่ยวเฉียว แล้วจะเป็นผู้ใดกัน” หัวหน้าหน้าหมู่บ้านงุนงง ดอกไม้ไฟถูกจุดมาหนึ่งเค่อเต็มๆ แล้ว แต่ไม่มีวี่แววว่าจะหยุด กลับยิ่งจุดมากขึ้นเรื่อยๆ แรกเริ่มหัวหน้าหมู่บ้านรู้สึกตื่นตาตื่นใจ มาตอนนี้ความรู้สึกค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความตะลึงพรึงเพริด เขากระทืบเท้าอย่างปวดใจ “ผู้ใดเป็นคนใช้เงินล้างผลาญขนาดนี้”
ดอกไม้ไฟอันงดงามระเบิดกลางท้องฟ้าจนรัตติกาลสว่างดุจกลางวัน ดอกแรกเป็นสีขาว ตามด้วยสีเขียว แล้วก็สีม่วง โดมท้องนภาอันเปลี่ยวเหงาถูกย้อมกลายเป็นทะเลบุปผาอันครึกครื้นและงามพร่างพราย
ใต้ทะเลบุปผานี้ เฉียวเวยกำลังเงยหน้าขึ้นมอง
นางไม่คิดว่าจะได้เห็นดอกไม้ไฟที่สวยงามเช่นนี้ในยุคโบราณ นางมองจนละลานตาไปหมด
นกน้อยตัวหนึ่งบินมาเกาะบนไหล่ของนาง
นางจับนกน้อยตัวนั้นลงมาแล้วพบว่ามีกระดาษแผ่นเล็กๆ ผูกติดอยู่ที่ขาของมัน นางแกะออกมาแล้วคลี่กระดาษ บนนั้นมีอักษรงดงามเขียนไว้สี่ตัว ‘สุขสันต์วันเกิด’