บทที่ 49 ข้าจะไปรักษาอาการหลีอ๋องสักหน่อย

จอมนางข้ามพิภพ

จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 49 ข้าจะไปรักษาอาการหลีอ๋องสักหน่อย

ซูซินโหรวรีบมองไปทางหลงเอ้อ ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากก็ถูกหลงเอ้อแตะเข้ามาที่จุดใบ้ “น่ารำคาญนัก ข้าฟังเจ้าเอ่ยวาจาเช่นนี้ สู้ไปฟังหมูร้องเสียดีกว่า เจ้าจงหุบปากไปเสีย!”

ซูโหวเย่ตกใจเสียจนรีบหุบปากลงทันที เขามิกล้าเอ่ยสิ่งใดออกมาอีกแม้แต่ประโยคเดียว

เมื่อด้านนอกเริ่มสงบลงแล้ว หยุนถิงที่อยู่ภายในห้องซึ่งก่อนหน้านี้ขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นก็ได้ผ่อนคลายลงเช่นกัน คาดมิถึงเสียจริงว่าหลงเอ้อจะดุเดือดดุดันถึงเพียงนี้ ซึ่งถูกใจนางมากเหลือเกิน

หยุนถิงช่วยนางรักษาบาดแผลแล้วใส่ยาอีกครั้ง “น่าจะมิเป็นไรแล้ว ต่อจากนี้ทุกสามวันข้าจะเดินทางมาใส่ยาให้เจ้าและตรวจดูบาดแผล ตอนที่ข้ามิได้เดินทางมาดูอาการเจ้า ก็จงกินยาแก้อักเสบนี้ นอกจากนั้นแต่ละวันให้ใช้สิ่งนี้ทาลงไปบนใบหน้า ยาเหล่านี้คือยาช่วยสมานแผลเป็น อีกมิกี่วันเมื่อแผลตกสะเก็ดก็ค่อยใช้”

ซูชิงโยวได้ทำการจดเอาไว้อย่างตั้งใจ “ขอบคุณคุณหนูหยุนมาก หากว่าใบหน้าของข้ากลับคืนสู่ปกติได้ ข้าจะตอบแทนเจ้าอย่างงาม”

“อืม ถือว่าเจ้าติดหนี้บุญคุณข้าครั้งนี้ ครั้งต่อไปเจ้าใช้คืนข้าก็พอ” หยุนถิงเก็บข้าวของของนาง

“ตกลง บุญคุณครั้งนี้ข้าจะจำเอาไว้ ว่าแต่คุณหนูหยุน อย่าหาว่าข้าเอ่ยมากความไปเลย ใบหน้าของข้านี้จะสามารถคืนสู่สภาพเดิมได้หรือ?” ซูชิงโยว เอ่ยถามขึ้นด้วยความกังวลใจ

หยุนถิงพอจะเข้าใจได้ เนื่องจากคนในสมัยโบราณให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์หน้าตาเป็นยิ่งนัก “ข้าขอถามเจ้าหน่อย ว่าใบหน้าของเจ้าเป็นเช่นนี้มานานเท่าไหร่แล้ว?”

“ประมาณสามสี่เดือนได้”

“อืม” หยุนถิงมิกล่าวมากความ นางเอื้อมมือไปหยิบน้ำจากด้านข้างขึ้นมาล้างหน้า

ซูชิงโยวงุนงงยิ่งนัก นางมองไปยังใบหน้าอันแท้จริงที่ถูกเผยออกมาหลังล้างหน้าออก แล้วได้แต่ตกตะลึง “เจ้า เจ้า เจ้าคือคุณหนูหยุนจริงหรือ แล้วใบหน้าของเจ้า……”

“ถูกต้องแล้ว ใบหน้าของข้าหายดีแล้ว และข้าเป็นคนรักษามันเอง ข้าถูกพิษมานานมากกว่าสิบปี แต่ข้ายังสามารถรักษาพิษนี้ที่ได้รับมานานนับสิบปีได้ นับประสาอะไรกับพิษของเจ้าที่เพิ่งได้รับมาเพียงสามสี่เดือน”

“ดังนั้นเจ้าจงวางใจเถิด แต่อย่าได้บอกกับผู้ใดถึงเรื่องใบหน้าของข้าที่ฟื้นเป็นปกติแล้ว ข้าต้องการจะหาโอกาสตบหน้าใครสักหน่อย” หยุนถิงเช็ดหน้าของนางให้แห้ง และนำโคลนสีดำทาเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง ชั่วพริบตาเดียวใบหน้าอันงดงามนั้นก็กลับมากลายเป็นน่าเกลียดอีกหน

เยว่เอ๋อร์ที่นั่งอยู่ด้านข้างก็ตกตะลึงเช่นกัน นางมิรู้เสียด้วยซ้ำว่าใบหน้าของคุณหนูตนหายกลับเป็นปกติแล้ว ดียิ่งนัก ช่างดีเหลือเกิน!

ซูชิงโยวรู้สึกตื่นเต้นมาก นางเอ่ยถามอยู่อีกหลายหนว่า “คุณหนูหยุน ข้าเชื่อเจ้า และข้าจะมิบอกเรื่องนี้กับผู้ใดทั้งสิ้น และข้าต้องขออภัยยิ่งนักที่ข้าเกิดความสงสัยในตัวเจ้า ข้าขออภัยจริงๆ”

“เอาเถิด มิเป็นไร เจ้าจงพักผ่อนก่อน” หยุนถิงเก็บของตั้งใจจะจากไป

เมื่อนางเปิดประตูออกก็พบกับซูโหวเย่ที่อยู่ด้านนอกลุกขึ้นเอ่ยถามว่า “คุณหนูหยุนใบหน้าของชิงโยวเป็นอย่างไรบ้าง?”

“ข้าได้ช่วยรักษาบาดแผลของคุณหนูซูแล้ว ต่อจากนี้ทุกสามวันข้าจะเดินทางมาใส่ยาให้นาง” หยุนถิงตอบ

“ขอขอบใจคุณหนูหยุนเป็นยิ่งนัก” ซูโหวเย่เอ่ยขอบคุณอย่างซาบซึ้ง

“พี่ใหญ่ช่วยข้าด้วย พี่ใหญ่!” ซูซินโหรวตะโกนขึ้นทันควัน

ตามปกติแล้วพี่ใหญ่ดีกับนางที่สุด วันนี้ในเมื่อคุณหนูหยุนเดินทางมารักษาอาการให้ เพียงแค่นางเอ่ยปากก็เชื่อว่าคุณหนูหยุนจะปล่อยนางไปอย่างแน่นอน

หากเป็นตามปกติแล้ว ซูชิงโยวคงจะช่วยซูซินโหรว แต่เมื่อครู่จากที่หยุนถิงเอ่ยเตือน ซูชิงโยวจึงได้เห็นใบหน้าอันแท้จริงของซูซินโหรว

จากนั้นซูชิงโยวก็เดินตรงเข้าไปแล้วตบหน้านางโดยมิลังเล

“เพียะ!” น้ำเสียงสนั่นดังขึ้น ทำให้ผู้คนในที่นั้นต่างพากันตกใจ

“พี่ใหญ่ พี่ เหตุใดจึงต้องตบข้า!” ซูซินโหรวตกใจมากและนางก็รู้สึกเสียใจ

“เนื่องจากเจ้ากล้ามีเรื่องขัดแย้งกับองครักษ์ของคุณหนูหยุน เจ้ารู้หรือไม่ว่านี่คือองครักษ์เงามังกร องครักษ์อันดับหนึ่งของแคว้นต้าเยียน ขึ้นตรงใต้บังคับบัญชากับซื่อจื่อ ต่อให้เขาฆ่าเจ้า ฆ่าตระกูลซูทั้งหมดสิ้น ฮ่องเต้และไทเฮาก็มิกล้าเอ่ยอะไรสักคำ ผู้ที่มิรู้จักที่ต่ำที่สูงเช่นนี้ เจ้าควรที่จะถูกตบแล้ว” ซูชิงโยวเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา

เดิมทีซูซินโหรวก็รู้สึกผิดและหวาดกลัวขึ้นทันใด แม้แต่ฮ่องเต้และไทเฮายังมิกล้าเอ่ยปาก ต้องเก่งกาจเพียงใดกัน ในวันนี้นางประมาทไปจริงๆ

“พี่ใหญ่ ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้วจริงๆ ข้าเพียงแต่เป็นห่วงพี่มากเกินไป ด้วยความกังวลจึงทำให้ลืมคิดถึงความเหมาะสม จากนี้ไปข้ามิกล้าอีกแล้ว ได้โปรดท่านพี่ช่วยเมตตาด้วยเถิด!” ซูซินโหรวเอ่ยร้องขอความเมตตาขึ้นทันที

“หากว่าเจ้าเป็นห่วงข้าจริง ก็ควรที่จะไปรออยู่หน้าประตูกับท่านพ่อ แต่เจ้ากลับขอร้องให้ท่านพ่อบุกเข้ามา เจ้าเป็นห่วงข้าจริงงั้นหรือไม่ ใจเจ้าคงจะรู้ดี คุณหนูหยุน ในเมื่อนางมีข้อขัดแย้งกับองครักษ์ของท่าน จะลงโทษนางเช่นไรก็ตามแต่เถิด” ซูชิงโยวเอ่ยด้วยความเย็นชา

หยุนถิงเหลือบมองดูซูซินโหรวที่คุกเข่าอยู่บนพื้น ใบหน้าอันงดงามคิ้วหนาได้รูปบัดนี้กลับดูตื่นตระหนก หน้าขาวซีดตัวสั่นไปทั้งตัว ช่างน่าสมเพชเหลือเกิน

“ข้ามิชื่นชอบสถานการณ์วุ่นวายนัก ในเมื่อนางมีเรื่องขัดแย้งกับองครักษ์ของข้า หลงเอ้อ เจ้าจงตัดลิ้นของนาง จากนั้นจึงถอนผมของนางให้สิ้น แล้วค่อยใช้มีดกรีดร่างนางหนึ่งร้อยแปดครั้งแล้วโยนลงน้ำ……”

หยุนถิงยังมิทันกล่าวจบ ซูซินโหรวก็เป็นลมไปด้วยความตกใจ

“ข้าคิดว่าจะแน่แค่ไหนเชียว ด้วยความกล้าหาญเพียงนี้กลับกล้ามากระโดดโลดเต้นได้” หยุนถิงเหลือบมองด้วยความเหยียดหยาม แล้วหันไปเอ่ยกับซูชิงโยวว่า “วันนี้ข้าเดินทางออกมานานเกินไปแล้ว ซื่อจื่อของข้าคงจะคิดถึงข้ายิ่งนัก ขอตัวก่อน”

“อืม ข้าจะไปส่งเจ้าเอง” ซูชิงโยวส่งหยุนถิงจากไป เมื่อนางกลับมาเห็นบิดาของตนยืนอยู่ที่ประตูอย่างมิขยับเขยื้อนก็เอ่ยถามว่า “ท่านพ่อเหตุใดจึงยังอยู่ที่นี่เล่า?”

“ลูกพ่อ คุณหนูหยุนจากไปแล้วหรือ?” ซูโหวเย่ดูเหลือเชื่อ

หยุนถิงมีชื่อเสียงว่าเป็นคนบ้าอำนาจ นางมีอำนาจเหนือผู้อื่น ชื่นชอบที่จะได้รับการเยินยอและโกรธแค้นผู้ใดก็จดจำไว้ในใจยิ่งนัก การที่นางเดินทางจากไปเช่นนี้จึงทำให้ซูโหวเย่มิอยากจะเชื่อจริงๆ

“ใช่น่ะสิท่านพ่อ ท่านมีอะไรก็ไปทำเถิด คุณหนูหยุนเพียงแค่ข่มขู่เท่านั้น นางมิทำอะไรตระกูลซูหรอก คุณหนูหยุนเป็นคนดีทีเดียว ทักษะทางการแพทย์ของนางก็ยอดเยี่ยมนัก ต่อจากนี้ไปนางจะเป็นสหายรักของลูก ท่านพ่ออย่าได้คิดสงสัยในตัวนาง” ซูชิงโยวเอ่ยด้วยความจริงจังหนักแน่น

“อืม พ่อจะฟังที่ลูกบอก” ซูโหวเย่ตื่นเต้นและตื้นตันใจ ตราบใดที่ตระกูลซูมิได้ถูกทำลายสิ้น จะให้ทำอย่างไรก็ยอมทั้งนั้น

อีกด้านหนึ่ง เมื่อหยุนถิงเดินทางออกจากจวนซูก็ได้นั่งรถม้ากลับไปยังทิศทางเดิม ระหว่างทางเดินกลางกลับไปนั้น ได้พบกับจวนแห่งหนึ่งอันคุ้นเคยนั่นก็คือจวนหลีอ๋อง ผู้คนกลุ่มหนึ่งที่ดูท่าทางเหมือนหมอเดินตรงเข้าไปข้างใน

“หลงเอ้อ หลีอ๋องป่วยงั้นหรือ?” หยุนถิงถาม

“ขอรับฮูหยิน สองสามวันนี้มีหมอเข้าออกจวนหลีอ๋องเป็นประจำ ทุกคนที่ออกมาดูท่าทางหวาดกลัว เอ่ยถามสิ่งใดก็มิมีใครบอก แต่ข้าได้ใช้กลอุบายเล็กน้อยและมีคนหนึ่งยอมเอ่ยออกมา” หลงเอ้อกล่าวอย่างลึกลับ

“หลีอ๋องมิแข็งตัวงั้นหรือ?” หยุนถิงถาม

หลงเอ้อมองดูด้วยความตกใจ “ฮูหยิน ท่านรู้ได้อย่างไร?”

“แน่นอนว่าข้าต้องรู้สิ เนื่องจากข้าเป็นคนวางหลีอ๋องเอง” หยุนถิงกล่าวอย่างภาคภูมิใจ

หลงเอ้อตกใจเสียจนตัวแข็งทื่อ คาดมิถึงว่าฮูหยินจะมีความสามารถเช่นนี้ด้วย แต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่นางสามารถรักษาร่างกายขององค์รัชทายาทได้ ก็เพียงพอแล้วที่จะชี้ให้เห็นว่านางมีทักษะทางการแพทย์ที่โดดเด่น ชั่ววินาทีนี้หลงเอ้อปฏิญาณกับตนเองอยู่ในใจว่า จะทำให้หูยินขุ่นเคืองใจมิได้เด็ดขาด มิเช่นนั้นชาตินี้เขาคงจะไร้ผู้สืบสกุล

จู่ๆ หยุนถิงก็ทำท่าทางตื่นเต้น “หลงเอ้อ จงไปนำเสื้อผ้าบุรุษมาให้ข้าหน่อย ข้าจะไปรักษาหลีอ๋อง”