ตอนที่ 87 สองพี่น้องปะทะดาบควันโลหิต (บทกลาง)

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ

ตอนที่ 87 สองพี่น้องปะทะดาบควันโลหิต (บทกลาง)

เมื่อมนุษย์สัตว์สาวสามารถรับการโจมตีแรกได้ ดวงตาของไคลอา เบิร์ชก็ถึงกับเบิกกว้างโดยสัญชาตญาณ

ความตกใจที่ว่าเธอสามารถป้องกันการโจมตีของเธอแสดงออกผ่านตาซ้าย และคำถามที่ว่าเธอทำได้อย่างไรเกิดขึ้นที่ตาขวา

หลังจากที่เธอคลุมทั้งร่างของเธอไว้ด้วยพลังคิและกระโดดข้ามกำแพงมา ไคลอาก็เหวี่ยงดาบของเธอไปทางแนวนอนตรงไปที่ทั้งสองซึ่งพยายามหนีเข้าไปในบ้านจากทางด้านหลัง

การโจมตีนี้น่าจะสามารถตัดหัวของคิจินได้ในครั้งเดียว และเจ็บปวดน้อยที่สุด เพราะมันคือความเมตตาอย่างสูงสุดที่เธอจะมอบให้ได้

ก็จริงว่านั่นไม่ใช่การโจมตีสุดกำลังของเธอ แต่มันก็ไม่น่าจะใช่ของที่นักผจญภัยธรรมดาสามารถป้องกันได้

อันที่จริง ชีลไม่น่าจะรู้สึกตัวถึงการโจมตีได้ทันด้วยแท้ๆ ไม่สิสัมผัสถึงตัวตนของไคลอาก็น่าจะไม่สามารถทำได้

แต่เธอก็ยังสามารถพุ่งตัวออกมาป้องกันดาบของไคลอาที่หมายเอาชีวิตของซูซูเมะทัน นั่นทำให้ไคลอาผงะไปครู่หนึ่ง บางทีมันน่าจะเป็นเพราะพลังของเผ่ามนุษย์สัตว์ที่มีสัญชาตญาณเฉียบคมพอ ชีลก็คงได้พลังนี้มาไม่น้อย

หลังจากที่ไคลอาชักดาบกลับเข้ามาตัว ก็พบว่าแผ่นหลังของชีลมีบาดแผลลึกเกิดขึ้น ซึ่งมาพร้อมกับเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดเข้ามาในหูเธอ

แย่แล้วสิ ไคลอารู้สึกเสียใจมากจริงๆ เพราะเธอไม่ได้ต้องการจะทำให้คนอื่นนอกจากคิจินบาดเจ็บเลย

พอถูกฟันไปแบบนั้น ชีลก็ถึงกับเดินเซไปครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายเธอก็หันหน้ามาเผชิญหน้ากับไคลอาโดยที่ไม่ล้มลงไปเสียก่อน พอเห็นแบบนี้ไคลอาก็เลือกจะกระโดดถอยออกไปในทันที

พอเห็นไคลอาที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอไม่ไกลนัก ซูซูเมะก็เข้าใจได้ถึงสถานการณ์ตอนนี้เสียที ก่อนจะร้องออกมาด้วยเสียงที่สั่น

「……อึก?!ชีล เธอบาดเจ็บอยู่……!」

「…ซ-ซูซูเมะจัง…รีบกลับเข้าไปในบ้านเดี๋ยวนี้เลย..」

เสียงของชีลเปล่งออกมาจากแผ่วเบาเป็นเพราะบาดแผลที่เธอได้รับก่อนหน้านี้ ถึงจะเป็นแบบนั้นเธอก็ไม่ได้หลบหนีออกไปจากการใช้ตัวเองปกป้องซูซูเมะเอาไว้ก่อนที่จะหยิบเอามีดออกมาถือว่าก่อนที่ใครจะทันรู้ตัวเสียอีก

เนื่องจากตอนนี้ไคลอาก็หยุดโจมตีไปแล้ว หากซูซูเมะรีบใช้โอกาสนี้หนีไป บางทีอาจจะสำเร็จก็ได้

ทว่า ร่างกายของซูซูเมะกลับขยับไม่ได้ จิตใจของเธอไม่ได้แข็งแกร่งพอจะวิ่งหนีไปโดยไม่ลังเล เธอไม่สามารถทิ้งชีลที่ร่างอาบเลือดเอาไว้ข้างหลังได้

พอเห็นท่าทีของทั้งสองคน ไคลอาก็ได้แค่ขมวดคิ้ว เพราะสิ่งที่เธอเห็นคือมนุษย์สัตว์สาวกำลังจ้องมองมายังเธอในขณะที่คิจินสาวกำลังทำท่าเหมือนจะร้องไห้เพราะเห็นสภาพนั้น ไคลอารู้ได้ทันทีว่าทั้งสองรู้สึกต่อกันเช่นไร

ชีลยอมสละชีวิตเพื่อปกป้องซูซูเมะและซูซูเมะก็ลังเลที่จะทิ้งเพื่อนของเธอไป สิ่งนั้นสะท้อนเข้ามาในดวงตาของไคลอา หากเธอเป็นคนนอกที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เธออาจจะเป็นคนที่ยื่นมือเข้ามาช่วยทั้งสองก็ได้

แต่ตอนนี้ คิจินคือศัตรูที่เธอต้องจัดการ มันคือความจริงที่แสนเจ็บปวด

――ถึงเธอจะรู้ดี แต่เธอก็ถอยไม่ได้

ทิวทัศน์ที่เธอเคยเห็นตอนอยู่บ้านเกิดได้ปรากฏขึ้นมาในหัวของไคลอา

ท้องฟ้าสีแดง เมฆสีเทาที่มีสายฟ้าผ่าลงมาไม่รู้จักจบสิ้น ดินแดนที่แห้งแล้งซึ่งไม่มีกระทั่งหญ้าสักต้น

ทิวทัศน์ที่ไม่มีสัญญาณใดๆ ของสิ่งมีชีวิต ขนาดรอบนอกยังขนาดนี้แล้วภายในประตูปีศาจจะขนาดไหน

พลังของเทพปีศาจที่ถูกปิดผนึกเอาไว้มันส่งผลต่อภูมิประเทศรอบข้างขนาดนั้นจริงๆ จนทำให้สิ่งมีชีวิตรอบๆ ประตูปีศาจได้รับผลกระทบไปด้วย

สิ่งที่ไคลอาเห็นมีเพียงโลกที่พังทลายจากความบิดเบี้ยวของประตูปีศาจ

หากเทพปีศาจถูกปลดปล่อยออกมา ทั้งเกาะอสูรยักษ์และทวีปหลักก็คงกลายเป็นดินแดนรกร้าง ต้นหญ้าจะเหี่ยวเฉา น้ำจะเน่าเสีย แมลงและสัตว์ที่โดนออร่าจากประตูปีศาจกลืนกินก็จะกลายเป็นมอนสเตอร์

ระบบนิเวศที่บ้าคลั่งจะก่อกวนและอาจทำลายระเบียบโลกของมนุษย์ จากการที่มีมอนสเตอร์นับไม่ถ้วนวิ่งเพ่นพ่านเต็มไปหมด มนุษย์และกึ่งมนุษย์ก็คงได้เข่นฆ่ากันเพื่อแย่งชิงอาหารและสถานที่ปลอดภัยอยู่

โลกใบนี้คงได้กลายเป็นนรก

เหล่านักรบจากธงแห่งผืนป่าทั้ง 8 ก็มีไว้เพื่อป้องกันไม่ให้โลกกลายเป็นเช่นนั้น เหตุผลที่พวกเขาต้องแสดงความเป็นปรปักษ์ต่อคิจินก็ด้วยเหตุผลดังกล่าว

――คิจินก็คือสิ่งมีชีวิตเช่นเดียวกับเทพปีศาจที่มีอนิม่าคล้ายกัน

ไคลอา คลิม โกซุ นักรบที่เคยเข้าไปภายในประตูปีศาจมาแล้วครั้งหนึ่ง ก็จะรู้ความจริงทั้งหมดจากปากของผู้นำตระกูลมิตสึรุกิ

ไม่เพียงเท่านั้น

วิชามายาดาบเดียวที่หยิบยืมพลังมาจากการควบคุมอนิม่า ซึ่งนักบุญดาบรุ่นแรกเป็นผู้สร้างขึ้นมานั้น ก็มีการดัดแปลงมาจากศาสตร์การใช้อนิม่าของคิจิน ความจริงดังกล่าวจะถูกถ่ายทอดให้กับผู้ที่เคยผ่านประตูปีศาจมาฟัง

เขาของคิจินเป็นแหล่งพลังงานที่เชื่อมโยงพวกเขาเข้ากับเทพปีศาจ และเขาเหล่านี้ก็จะปลดปล่อยพลังปีศาจออกมาเรื่อยๆ จนสามารถกล่าวได้ว่าเทพปีศาจสามารถเข้ามายุ่งเกี่ยวกับทางโลกใบนี้ได้ผ่านเขาคิจินนั่นเอง

ดังนั้นไม่ว่านิสัยของคิจินคนไหนจะเป็นเช่นไร มันก็ไม่สำคัญตราบใดที่คิจินยังเชื่อมโยงกับเทพปีศาจอยู่ แค่การมีอยู่ของพวกมันก็เพียงพอต่อการบิดเบือนโลกที่ควรจะเป็นแล้ว

นอกจากนี้ เพราะมีความเกี่ยวข้องกันทางอนิม่า เทพปีศาจที่ต้องการจะจุติลงมาบนโลกใบนี้ก็จำเป็นต้องมีภาชนะรองรับ และคิจินที่มีความเกี่ยวข้องกันผ่านเขา ก็เป็นภาชนะที่เหมาะสมมากเช่นกัน

แม้ประตูปีศาจจะไม่ได้ถูกพังลงไป แต่ตราบใดที่คิจินยังอยู่บนโลกใบนี้ เทพปีศาจก็ยังสามารถเข้ามาบนโลกนี้ได้ หากเงื่อนไขครบพร้อม

นั่นคือสาเหตุที่ทำให้มนุษย์และคิจินกลายเป็นศัตรูกันเมื่อ 300 ปีก่อน

เหตุผลที่จักรวรรดิแอด แอสเทอร่าและตระกูลมิตสึรุกิเก็บข้อมูลนี้ไว้เป็นความลับก็เพราะไม่อยากจะสร้างผู้ที่ตกเป็นเหยื่อความวุ่นวายโดยไม่จำเป็น

หากความจริงนี้แพร่ออกไป คงจะมีผู้คนจำนวนมากพยายามออกตามล่าคิจินด้วยความโกรธแค้น

แล้วก็จะกลายเป็นคนที่ถูกฆ่าซะเอง เพราะคิจินที่สามารถควบคุมอนิม่าได้นั้นบางทีพวกมันก็แข็งแกร่งมากกว่าผู้ใช้วิชามายาดาบเสียวเสียอีก ทหารหรือนักผจญภัยบนทวีปหลักคงไม่ใช่คู่ต่อสู้พวกเขาแน่ ในสถานการณ์ที่เลวร้ายสุด มันอาจจะเป็นการไปกระตุ้นเงื่อนไขการเกิดเทพปีศาจด้วยก็ได้

เพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องนี้เกิดขึ้น ทางจักรวรรดิและตระกูลมิตสึรุกิจึงเป็นผู้อาสาในการกำจัดคิจินด้วยตัวเอง นอกจากนี้พวกเขายังคอยกำจัดองค์กรอื่นที่หมายจะล่าคิจินเพื่อเอาเขาเก็บไว้ด้วย

แถมถ้าประเทศอื่นรู้ความลับของอนิม่าเข้า พวกเขาอาจจะพยายามหาตัวคิจินมาวิจัยเพื่อหาความลับนั้น นั่นจึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่จักรวรรดิไม่อยากให้ใครทราบ

ทว่า การจะปกปิดข้อมูลเพียงอย่างเดียวก็คงไม่พอจะให้ควบคุมพวกคิจินที่อยู่นอกประเทศพวกเขาได้

แต่จะให้จักรวรรดิยกทัพไปประเทศอื่นด้วยก็คงกลายเป็นปัญหาระหว่างประเทศเอาได้

ดังนั้นอีกหนึ่งในงานของตระกูลมิตสึรุกิ ก็คือป้องกันปัญหาที่ว่า บางครั้งพวกเขาก็จะจัดกองกำลังไปยังประเทศอื่นเพื่ออาสาปราบพวกมอนสเตอร์ นอกจากนี้จักรวรรดิก็จะไม่ถูกต่อว่าอะไรด้วย ตั้งแต่อดีตที่ผ่านมาก็ได้มีการกระทำเหล่านี้โดยมีจุดมุ่งหมายจริงๆ ในการฆ่าคิจินมานักต่อนักแล้ว ความสัมพันธ์ในเงามืดระหว่างจักรวรรดิและตระกูลมิตสึรุกิช่างดูไม่เหมือนใครจริงๆ

แน่นอนว่าการกระทำแบบนั้นมันก็ทำให้ทางตระกูลได้ผลประโยชน์จากที่ประเทศมอบให้เช่นเดียวกัน และในฐานะของข้ารับใช้ตระกูลมิตสึรุกิแล้ว ไคลอา เบิร์ชก็จำเป็นต้องรักษากฎดังกล่าวเพื่อผลประโยชน์เจ้านายตน

「รีบออกไปเสีย หากเธอยังขวางฉันอีก ฉันจะถือว่าเธอเป็นพวกเดียวกันกับคิจินนะ」

◆◆◆

ชีลได้จ้องมองไปยังไคลอาผู้ใช้ดาบฟันเข้าที่ร่างของเธออย่างรุนแรง

เธอไม่มีความตั้งใจจะถอยหนี โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าซูซูเมะคือคนที่ศัตรูต้องการตัว

เธอรู้ดีว่าเธอไม่มีทางเอาชนะศัตรูที่อยู่ตรงหน้าของเธอได้ แต่ก็น่าแปลกที่เธอไม่รู้สึกกลัวเลยสักนิด อันที่จริงถ้าบอกว่าเธอไม่เหลือเวลาที่จะกลัวด้วยซ้ำคงจะเหมาะกว่า

ด้วยใบหูที่แหลมของเธอทำให้เธอรู้ได้ว่า คำพูดของฝ่ายตรงข้ามเป็นของจริง การโจมตีถัดไปคงจะไม่มีความลังเลอีก และชีลก็คงไม่สามารถคาดหวังอย่างไร้เดียงสาได้ว่าตนจะป้องกันการโจมตีครั้งต่อไปได้อีกรอบ

ขนบนร่างกายของเธอลุกซู่ไปทั้งตัวขณะที่จดจ่ออยู่กับการเคลื่อนไหวของศัตรู

จากที่เธอเห็นไคลอาค่อยๆ แกว่งดาบอย่างช้าๆ

มาแล้ว! วินาทีที่ชีลคิดได้แบบนั้น เธอก็ตัดสินใจกระโดดถอยไป แต่แล้วเธอก็ต้องรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอย่างรุนแรงอีกครั้งจากบาดแผลบนหลังของเธอ

การเคลื่อนไหวของเธอช้าไปเพียงเสี้ยววิ แต่ไคลอาก็ได้ใช้ประโยชน์จากช่องว่างดังกล่าวราวกับกำลังแย่งลูกอมมาจากเด็กทารก

ในจังหวะที่ฮากามะสีแดงกระพือขึ้น ลูกเตะที่เหมือนกับหอกก็กระแทกไปบริเวณท้องของชีล

ลมหายใจที่เหมือนกับการอาเจียนได้พ่นออกมาจากปากของเธอ ร่างของมนุษย์สัตว์สาวกระเด็นออกไปเหมือนลูกบอล แล้วกระแทกเข้ากับพื้นก่อนที่ร่างของเธอจะกลิ้งไปมาอีก 2-3 ตลบได้

…พอร่างของชีลหยุดกลิ้งแล้ว เธอก็ไม่ได้ลุกขึ้นมาแต่อย่างใด ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากทำแต่ร่างกายของเธอมันไม่ยอมฟังเลยสักนิด ชีลดิ้นทุรนทุรายบนพื้นด้วยความเจ็บปวดจนหายใจไม่ออก

ซูซูเมะพยายามจะวิ่งไปหาชีลแต่การเคลื่อนไหวของเธอก็ถูกหยุดเอาไว้ด้วยคมดาบสีเทา

ดวงตาแดงอ่อนของเธอมองไปยังไคลอาด้วยความโกรธราวกับเปลวไฟนรกที่ลุกโชน

「นี่เธอ!!」

เปลวเพลิงก่อตัวขึ้นมาภายในมือของเธอจากนั้นมันก็ขยายใหญ่ขึ้นเท่ากับหัวของเด็ก

มันคือการใช้เวทโดยไม่จำเป็นต้องร่าย ซึ่งเป็นหนึ่งในบทเรียนที่มิโรสลาฟสอนเธอ

ซูซูเมะพยายามจะโจมตีไคลอาในระยะประชิด หากไคลอาโดนเข้าไปก็คงจะสร้างความเสียหายให้พอสมควร แต่ผลกระทบจากแรงระเบิดดังกล่าวก็คงทำให้เธอได้รับบาดเจ็บหนักไปด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย

ความรุนแรงของเวทที่เธอซึ่งเสียความเยือกเย็นไปแล้วมันรุนแรงมากถึงขนาดนั้นเลยแหละ

แต่มีหรือที่ไคลอาจะไม่รู้ เธอได้พุ่งเข้าด้านข้างของซูซูเมะด้วยความรวดเร็วจนเหมือนกับเธอสายหายไปจากระยะสายตาของซูซูเมะ

คิจินตนนี้น่ากลัวจริงๆ เธอสามารถใช้พลังได้ขนาดนี้ด้วยอายุเพียงเท่านี้เอง

ไคลอาคิดในขณะที่เธอกำลังถ่ายเทพลังไปยังดาบของเธอ ด้วยความตั้งใจที่ว่าจะปิดฉากซูซูเมะในดาบเดียว แต่แล้วการโจมตีดังกล่าวก็ถูกขวางเอาไว้

「『จงโบยบิน นักล่าเหนือวิสัย――อินทรีล่องหน!』 」

ในจังหวะนั้นเองได้มีเวทลมถูกปลดปล่อยออกมาจากภายในคฤหาสน์

มันเป็นเวทที่ถ่ายปลอดปล่อยออกมาด้วยการร่ายที่เร็วและแม่นยำ แตกต่างจากเวทที่ซูซูเมะใช้ซึ่งมีแค่การอัดแน่นของมานาคิจิน

「……ยังเหลือพวกพ้องอีกงั้นเหรอ」

ไคลอาพึมพำกับตัวเองและหลบเวทด้วยความรวดเร็ว หากคนธรรมดารับการโจมตีนี้เข้าไปคงได้รับบาดเจ็บไม่น้อย แต่เนื่องจากเธอเสริมพลังของร่างกายไว้ด้วยคิ จึงไม่ใช่เรื่องยากหากเธอต้องการจะหลบเวทนี้ให้พ้น สิ่งที่เธอทำก็มีเพียงแค่กระโดดถอยกลับไป

แต่นั่นก็คงเป็นสิ่งที่ศัตรูหมายตาเอาไว้ เธอรู้สึกตัวหลังจากที่เวทต่อไปได้ถูกปลดปล่อยออกมาโจมตีเธอ

จอมเวทผมแดงที่ออกมาจากคฤหาสน์ได้ยิงเวทใส่เธอด้วยความรวดเร็ว จากที่ไคลอาเห็นเธอคงต้องการรักษาระยะห่างระหว่างไคลอากับซูซูเมะ

การโจมตีที่โถมมานั้นบางอันก็เป็นเวทระร่าย บางอันก็เป็นเวทที่ร่ายแบบจบบท

นอกจากนี้เธอจะยังใช้หินเวทมนตร์ในการเสริมพลังทำลายล้างอีกด้วย นั่นคือสิ่งที่ไคลอาเห็น

หากเป็นการต่อสู้ปกติ เธอก็คงจะสามารถรับมือกับอีกฝ่ายไปเรื่อยๆ แล้วรอให้หินเวทกับมานาของอีกฝ่ายหมดไป แต่การจะทำแบบนั้นคิจินก็คงจะหนีไปไกลแล้ว แล้วก็เป็นอย่างที่เธอคิดเอาไว้ ร่างของคิจินและมนุษย์สัตว์สาวได้หายเข้าไปในคฤหาสน์แล้ว

นอกจากนี้จากที่ไคลอาเห็น การที่จอมเวทสาวเลือกใช้เวทที่ส่งเสียงได้ดังมากออกมาต่อเนื่องก็เพื่อเตือนให้บริเวณใกล้เคียงทราบว่าเกิดความผิดปกติขึ้น

หากการต่อสู้นี้ยังยืดเยื้อออกไปเรื่อยๆ ประชาชนบริสุทธิ์และทหารยามก็คงจะตามมาไม่หยุดแน่

อันที่จริงโกซุที่คอยดูสถานการณ์โดยรวมน่าจะควบคุมฝูงชนไว้ได้ แต่สุดท้ายเธอก็ไม่อยากจะให้มันเป็นเรื่องใหญ่อยู่ดี

เธอจึงคิดว่าหากใช้พลังคิของเธออาบดาบเอาไว้แล้วผ่าเวทที่จอมเวทสาวปล่อยมาให้มันหมดๆ ไปเลยในทีเดียวจากนั้นค่อยเข้าไปจัดการกับจอมเวทสาว พอคิดได้แบบนั้นเธอก็เริ่มดำเนินการทันที

แต่การกระทำของไคลอากลับถูกมองออก

จอมเวทสาวผมแดงที่เหมือนจะหลอกล่อไคลอาได้อย่างสมบูรณ์แบบก็พูดขึ้นเหมือนกับดีใจที่ศัตรูเอาหัวมาถวายให้ถึงที่

ก็คิดไว้แล้วว่าเธอต้องทำแบบนั้น――『ปลดปล่อยเวทมนตร์』

เป็นบทร่ายเพียงคำเดียวเท่านั้น

ในวินาทีต่อมา ภาพทุกอย่างที่ไคลอาเห็นก็ได้ถูกย้อมไปด้วยแสงสีขาว

———
Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code