ตอนที่ 379 สตรีที่ไม่ควรปรากฏตัวได้ปรากฏตัวอีกแล้ว
ซือเหลิ่งเย่ว์กล้าสู้กับสวรรค์ เพราะตัดสินใจที่จะใช้วิธีนั้นเพื่อทำลายคำสาป อย่างไรก็ตาม ความกล้าหาญก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ใช่ว่าบอกว่าต้องการทำลายก็จะสามารถทำลายได้เลย แต่ต้องเตรียมตัวให้พร้อมรอบด้าน อย่างไรเสียนี่ก็เป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน
ในฐานะที่นางเป็นหัวหน้าตระกูล นางต้องจัดการทุกอย่างในตระกูลซือให้เรียบร้อยเสียก่อน หากนางทนไม่ไหวแล้วเสียชีวิตไป ตระกูลซือก็จะได้ไร้กังวลและมีคนมารับช่วงต่อ
ส่วนฉินหลิวซีก็ต้องเตรียมยาสำหรับเสริมสร้างร่างกาย หัวใจ และกล้ามเนื้อ แล้วยังมียาต่อชะตาชีวิต เครื่องรางของขลัง และสิ่งอื่นๆ ที่สามารถทำให้ซือเหลิ่งเย่ว์รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเมื่อนางทนไม่ไหวจนเสียชีวิตแล้ววิญญาณแตกสลาย ฉินหลิวซีจะต้องรวบรวมวิญญาณของนางไว้เพื่อวางแผนในภายภาคหน้า แม้จะเป็นเพียงร่องรอยวิญญาณที่เหลืออยู่ก็ตาม
อีกประการหนึ่งคือสิ่งนำพาเลือดไม่อาจไปสู่สุขคติได้ในขณะที่มีความอาฆาตแค้น แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีพระภิกษุผู้รู้แจ้งช่วยสวดส่งวิญญาณให้ อย่างน้อยก็ช่วยบรรเทาความคับข้องใจลงบ้าง เมื่อไฟนรกแผดเผาก็จะสามารถยุติได้โดยเร็ว ซือเหลิ่งเย่ว์ก็จะทนทุกข์ทรมานน้อยลงเช่นกัน
สรุปแล้ว คำสาปนี้ไม่สามารถทำลายได้ในทันที
ในช่วงเวลานี้ฉินหลิวซียังอยากจะค้นหาเพิ่มเติมสักหน่อยว่ายังพอมีวิธีอื่นอีกหรือไม่ อย่างไรเสียนางก็ไม่ได้รีบร้อนไปจากที่นี่ พักอยู่ในหมู่บ้านกับซือเหลิ่งเย่ว์ชั่วคราวเพื่ออ่านตำราลับของตระกูลอู
และอูหยางก็หวังว่านางจะอยู่ต่ออีกสักสองวัน จะได้ปรึกษาหารือกับฉินหลิวซีเรื่องโรคประหลาดและซับซ้อนที่ตัวเองพบเจอ
ฉินหลิวซีไม่เคยได้สัมผัสวิชาแพทย์ของแม่มด และค่อนข้างสนใจในเรื่องนี้ ทั้งสองคุยกันเป็นเวลานาน แม้ว่าพวกเขาจะอายุต่างกันมากแต่ก็เข้ากันได้เป็นอย่างดี ต่างคนต่างได้เรียนรู้บางอย่างจากการหารือ
“สหายเต๋าฉินอายุยังน้อย แต่วิชาแพทย์กลับลึกล้ำเช่นนี้ ทำให้ข้ารู้สึกละอายจริงๆ” สายตาที่อูหยางมองไปยังฉินหลิวซีทั้งเคารพและชื่นชม มีทักษะวิชาแพทย์สูงส่งและยังเก่งในด้านศาสตร์ลี้ลับอีกด้วย แต่กลับเป็นศิษย์ของผู้อื่น
ฉินหลิวซียิ้มพลางเอ่ย “หัวหน้าเผ่าถ่อมตัวแล้ว วิชาแพทย์ของแม่มดก็ทำให้ข้าได้เปิดโลกเช่นกัน ข้าได้เรียนรู้ไม่น้อยเลย”
อูหยางกำลังจะเอ่ยปาก กลับมีเสียงของคนในเผ่ารายงานดังมาจากข้างนอกว่ามีคนมาขอรับการรักษา
ฉินหลิวซียืนขึ้นอย่างรู้มารยาท “ข้าจะไปดูตำราลับอีกสักหน่อย”
เมื่อซือเหลิ่งเย่ว์เห็นว่านางมาแล้วจึงขยับตัวออกจากเบาะข้างๆ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าคิดว่าพวกเจ้าจะสนทนากันจนลืมกินลืมนอนไปแล้ว”
“มีคนมาขอรับการรักษา ข้าก็เลยออกมา” ฉินหลิวซีถือตำรามาด้วยเล่มหนึ่ง นั่งลงข้างนางแล้วจึงเอ่ย “จริงๆ แล้วเจ้าจะอยู่ฟังก็ได้ ในภายภาคหน้าเมื่อคำสาปนี้ของเจ้าถูกทำลายแล้ว ไม่แน่อาจจะสามารถฝึกวิชาแม่มดได้อีกครั้ง และวิชาแพทย์ของแม่มดก็เป็นหนึ่งในนั้น”
“เข้าใจแล้ว”
ฉินหลิวซียังอยากจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่ทันใดนั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่าพูดมากไปก็เป็นเพียงแค่การวาดฝัน คำสาปนี้ยังไม่ถูกทำลายเลย
นางจึงไม่ได้เอ่ยอะไรอีก เปิดดูตำรา
ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังเปิดอ่านตำราลับ อูหยางก็กำลังต้อนรับแขกผู้มีเกียรติที่เข้ามาในหมู่บ้าน หากฉินหลิวซีกับซือเหลิ่งเย่ว์อยู่ด้วย ย่อมจำคนกลุ่มนี้ได้ว่าเป็นคณะเดินทางของสยงเอ้อร์ที่เคยพบกันก่อนหน้านี้
ส่วนคนที่ขอรับการรักษาคือจิ่งเสี่ยวซื่อ
อูหยางได้อ่านจดหมายแนะนำตั้งนานแล้ว รู้ว่าพวกเขาเป็นคนที่สหายสนิทแนะนำมาเพื่อขอรับการรักษา จึงไม่ได้ปฏิเสธ หลังจากตรวจดูอาการแล้วก็ขมวดคิ้ว
“คุณชายจิ่งถูกพิษแมลงหรือ” โนเวลพีดีเอฟ
จิ่งเสี่ยวซื่อได้ฟังดังนั้นก็ผ่อนคลายลง พยักหน้าพลางเอ่ย “เมื่อห้าปีก่อนข้าโชคไม่ดีถูกวางยาพิษ เมื่ออาการกำเริบก็จะปวดท้องบิด แน่นท้อง และท้องผูก ไม่กี่ปีที่ผ่านมาก็หาหมอที่มีชื่อนับไม่ถ้วน สามเดือนที่แล้วท่านพ่อของข้าได้หาหมอเผ่าเหมียวจากหนานเจียงมาช่วยดึงแมลงพิษออกให้ข้า ตอนนั้นไม่สามารถนำแมลงพิษออกมาได้ แต่กลับใช้ยาระงับและรักษา แมลงพิษในร่างกายได้ตายแล้ว”
“หมายความว่าแมลงพิษตายแล้ว แต่ยังคงอยู่ในร่างกายของท่าน?” อูหยางขมวดคิ้ว
จิ่งเสี่ยวซื่ออย่างจนปัญญา “ข้าก็ไม่รู้ว่ากำจัดออกไปหรือยัง ไม่กี่ปีมานี้ข้าผอมลงเรื่อยๆ บางครั้งก็ท้องผูก ขับถ่ายไม่ได้ บางครั้งก็นอนไม่หลับ อารมณ์เสียหงุดหงิด ในใจยังคงสงสัยว่าแมลงพิษได้ฟื้นคืนชีพแล้ว อยากจะไปหาหมอเผ่าเหมียวผู้นั้นอีกครั้ง แต่หมอเผ่าเหมียวผู้นั้นกลับเสียชีวิตลงแล้ว จึงได้รับการแนะนำจากคนผู้หนึ่งให้มาหาหัวหน้าเผ่าอูที่นี่”
อูหยางเอ่ย “แมลงพิษบางชนิดเจ้าเล่ห์เป็นอย่างมาก สามารถหลบซ่อนไม่เปิดเผยตัวได้ เรียกกันว่าแกล้งตาย ไม่ผิดที่ท่านจะมีข้อสงสัยเช่นนี้”
สีหน้าของจิ่งเสี่ยวซื่อเปลี่ยนไปเล็กน้อย
สยงเอ้อร์เอ่ยเสียงดังว่า “หัวหน้าเผ่า หรือว่าแมลงในร่างกายของเขายังมีชีวิตอยู่?”
“ก็ยังไม่แน่ แต่ท่านถูกพิษแมลงมาหลายปีแล้ว และพิษอาจเข้าไปในไขกระดูกและอวัยวะภายในต่างๆ นอกจากนี้ เนื่องจากผ่านมาเป็นเวลาหลายปี อวัยวะภายในจึงเป็นพิษ ย่อมรู้สึกไม่สบายกาย” อูหยางเอ่ยต่อว่า “ท่านรอสักครู่”
เขาลุกขึ้น เข้าไปในห้องโถงชั้นใน
สยงเอ้อร์ “เสี่ยวซื่อ หมอเผ่าเหมียวที่เจ้าพบก่อนหน้านี้อาจไม่ใช่หมอฝีมือดี เขาไม่สามารถรักษาพิษแมลงได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้เจ้าเสียเวลาตั้งหลายปี”
จิ่งเสี่ยวซื่อสีหน้ามืดครึ้ม ลูบที่หน้าท้อง เขาถ่ายไม่ออกมาเป็นเวลาห้าวันแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าเขาจะเป็นลำไส้อุดตันอย่างที่หมอเหล่านั้นกล่าวไว้แล้ว
น่าโมโหจริงๆ
อูหยางกลับมาอีกครั้งพร้อมกับขวดในมือ เอ่ยว่า “หากอยากรู้ว่าแมลงพิษในร่างกายของท่านยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ เพียงแค่ทดสอบสักเล็กน้อยก็รู้แล้ว สิ่งที่อยู่ในขวดของข้านี้คือแมลงยา”
เมื่อได้ยินเกี่ยวกับแมลง จิ่งเสี่ยวซื่อก็ตัวแข็งทื่อ
อูหยางเปิดขวดออกแล้วเทแมลงสีทองตัวเล็กๆ ที่ตัวเกือบโปร่งใสออกมา เมื่อเห็นว่าสีหน้าของจิ่งเสี่ยวซื่อและคนอื่นๆ ดูแย่ จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “คุณชายอย่าได้กังวล แมลงยานั้นไม่เหมือนกัน มันถูกเลี้ยงมาด้วยสมุนไพรหลายชนิด เป็นผลดีต่อร่างกายของคน หากพกติดตัวก็จะทำให้จิตใจสงบ และสามารถสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของแมลงพิษบางชนิด”
จิ่งเสี่ยวซื่อฝืนยิ้ม
อูหยางเอ่ย “คุณชายโปรดยื่นมือออกมา”
จิ่งเสี่ยวซื่อลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยื่นมือออกมา อูหยางวางแมลงตัวนั้นไว้บนฝ่ามือของเขา
จิ่งเสี่ยวซื่อขนลุกไปทั้งตัว แทบอยากจะโยนแมลงยาตัวนั้นทิ้งไป เขาอดทนอย่างหนัก สีหน้าเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นซีดเซียว
อูหยางพันแขนเสื้อให้เขา รออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าแมลงยาเริ่มอยู่บนฝ่ามืออย่างสงบนิ่งโดยไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ จึงถามว่า “คุณชายรู้ถึงการเคลื่อนไหวใดๆ ในร่างกายหรือไม่ อย่างเช่นมีแมลงคลานไปมา?”
จิ่งเสี่ยวซื่อตัวแข็งทื่อ สัมผัสอย่างละเอียดก่อนจะส่ายหน้า “ไม่มี”
อูหยางหยิบเข็มหนึ่งเล่มออกมา เจาะเลือดจากมืออีกข้างหนึ่งของเขา เลือดมีสีเข้มและเหนียวหนืด หยดลงในชามเล็กๆ สีขาวหิมะ จากนั้นก็วางแมลงยาลงไป
แมลงยาที่เดิมทีดูเชื่องช้าเริ่มกระสับกระส่าย คลานไปมาในชามทันที
อูหยางหยิบชามขึ้นมาดมอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ย “พิษแมลงยังอยู่ในร่างกาย ท่านดูเลือดของท่าน สีเข้มและหนืด มีกลิ่นเหม็นคาว ที่แมลงยาไม่สบายตัวก็เพราะสัมผัสได้ถึงพิษแมลง”
จิ่งเสี่ยวซื่อยืนขึ้นยกมือประสาน เอ่ยว่า “ขอหัวหน้าเผ่าช่วยข้าด้วยเถิด”
สยงเอ้อร์ยังเอ่ยอีกคนว่า “หัวหน้าเผ่า ท่านต้องมีจิตใจเมตตา ช่วยน้องชายลูกพี่ลูกน้องของข้าผู้นี้กำจัดพิษแมลงนี้ด้วยเถิด เขาพึ่งจะอายุสิบแปดปี แต่ต้องทนทุกข์ทรมานจากพิษแมลงนี้มาห้าปีแล้ว”
อูหยางเอ่ย “การจะกำจัดพิษแมลงได้ นอกจากการใช้ยาแล้ว ยังต้องเปิดเส้นลมปราณ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเส้นลมปราณไม่ได้ถูกปิดกั้น เพื่อที่พิษแมลงที่ติดอยู่ในนั้นจะได้ถูกขับออกมาจนหมดสิ้น แม้ว่าข้าจะเป็นพ่อหมอ แต่พ่อหมอส่วนใหญ่จะสวดภาวนาและใช้สมุนไพรในการช่วยเหลือผู้คน ซึ่งเทียบไม่ได้กับการฝังเข็ม แต่ว่าคุณชายมาได้ประจวบเหมาะเสียจริง มีสหายเต๋ามาที่หมู่บ้านด้วย วิชาแพทย์ล้ำเลิศ ระดับวิชาแพทย์สูงกว่าข้าหนึ่งขั้น หากท่านไม่รังเกียจ ข้าจะเรียกนางมาร่วมรักษาด้วย”
จิ่งเสี่ยวซื่อยังไม่ทันได้ตอบอะไร สยงเอ้อร์ก็เอ่ยด้วยความดีใจ “จะรังเกียจได้อย่างไร ขอท่านหัวหน้าเผ่าช่วยแนะนำให้ด้วยเถิด”
พวกเขาโชคดีมากจริงๆ
เพียงแต่เวลาไม่ทันถึงหนึ่งถ้วยชา[1] พวกเขาก็เห็นคนที่ไม่ควรปรากฏตัวที่นี่ ทำให้ถ้วยชาร่วงลงพื้น
“เจ้า เจ้าๆๆ…” สยงเอ้อร์ตกตะลึง
เมื่อฉินหลิวซีเห็นทั้งสอก็ยิ้มพลางเลิกคิ้ว “ท่านทั้งสอง พวกเราได้เจอกันอีกแล้ว โชคชะตาช่างวิเศษเกินจะบรรยายจริงๆ!”
จิ่งเสี่ยวซื่อ “!”
[1] เวลาหนึ่งถ้วยชา คือช่วงเวลาที่น้ำชาหนึ่งถ้วยเย็นลงจนสามารถดื่มได้ หรือก็คือประมาณ 15 นาที