ตอนที่ 367 ยังมีเรื่องดีแบบนี้อยู่หรือ
ซือเหลิ่งเย่ว์ถูกฉินหลิวซีพาเข้ามายังห้องด้านข้าง เท้าพลันชะงัก สายตามองไปยังกำแพง
ผีชายหญิงสองตนกำลังปลื้มอกปลื้มใจที่ในที่สุดฉินหลิวซีก็พาเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันกลับมาด้วย ผีสองตนพ่นลมหายใจออกมาราวกับมารดา มีสหายคนสนิทอายุรุ่นเดียวกันเล่นด้วยกัน ผู้ใหญ่มักมีความยินดี
ทว่ากำลังลงความเห็นเกี่ยวกับซือเหลิ่งเย่ว์ อีกฝ่ายกลับมองมา ทำให้ผีสองตนตกใจจนส่งเสียงดังทันใด
คงไม่ได้มองเห็นพวกเขาหรือไม่
ฉินหลิวซีเองก็มองตามสายตาของนางไป เอ่ยถาม “มีอะไรหรือ”
ซือเหลิ่งเย่ว์เงียบไปชั่วครู่ เอ่ย “ไม่มีอะไร รู้สึกเหมือนตรงนั้นจะมีอะไรบางอย่าง คงจะคิดไปเอง”
คิ้วของฉินหลิวซีเลิกขึ้นเล็กน้อย เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่ได้คิดไปเองหรอก กำแพงนั้นมีผีสองตนเกาะอยู่ คอยเฝ้าดูแลเรือนให้ข้า”
ซือเหลิ่งเย่ว์ “…”
ใช้ผีเฝ้าประตูเรือน สมกับที่เป็นเจ้า
“เจ้าว่องไวยิ่งนัก หรือเพราะเชื้อสายหรือไม่ เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เด็กเลยหรือ” ฉินหลิวซีเอ่ยถาม
ซือเหลิ่งเย่วพยักหน้า “ตอนเด็กยังมองเห็น วิญญาณออกจากร่างบ่อย ต่อมาสวมหยกเอาไว้ ก็มองไม่เห็นแล้ว”
ฉินหลิวซีครุ่นคิด เอ่ย “อย่างไรเจ้าก็สืบทอดสายเลือดมาจากอูแม่มด บางทีอาจถูกคำสาปของตระกูลกดทับเอาไว้ หากทำลายคำสาปนี้แล้ว เชื้อสายเผ่าอูของเจ้า บางทีอาจกลับมามีพลังอีกครั้ง”
ซือเหลิ่งเย่ว์งงงัน ปลายนิ้วงอเข้า
“กลัวหรือไม่”
ซือเหลิ่งเย่ว์ส่ายศีรษะ ยิ้มบางเอ่ย “แม้แต่ความตายข้ายังไม่กลัว จะกลัวพลังที่ฟื้นตัวของตระกูลได้อย่างไร”
นางเพียงไม่กลัว กระทั่งเฝ้ารอด้วยซ้ำ หากเป็นเช่นนั้น นางจะฟื้นคืนชีพเผ่าอูของตระกูลซือได้หรือไม่
“ยามจื่อ[1]เราค่อยเข้าสู่เส้นทางหยิน” ฉินหลิวซีพานางเดินเข้ามาในห้อง
ฉีหวงยกน้ำชาเข้ามาให้พวกนาง มองไปยังของที่ซือเหลิ่งเย่ว์นำมา อยากย้าย ทว่าหนักมือไปสักหน่อย
ซือเหลิ่งเย่ว์จึงเอ่ย “เป็นหินหยกจำนวนหนึ่ง ข้ารู้ว่าเจ้าชอบนำของพวกนี้ไปทำเครื่องราง จึงเอามาให้เล็กน้อย หากไม่พอ เจ้ามาถามกับข้าอีกก็ได้ ข้าจะส่งมาให้อีก”
ฉินหลิวซีเปิดห่อผ้าออก ด้านในมีหินหยกหลากสีกองหนึ่ง มีใหญ่บ้างเล็กบ้างจำนวนมากมาย อีกทั้งคุณภาพยังยอดเยี่ยม
“หินหยกเหล่านี้คุณภาพไม่เลว เจ้าใช้ห่อผ้าห่อมาเช่นนี้ไม่กลัวจะแตกหักหรือ”
ซือเหลิ่งเย่ว์ยกถ้วยชาขึ้นจิบ เอ่ย “แตกก็แตกสิ ค่อยหาใหม่ก็ได้”
โอ้อวดยิ่งนัก
ฉินหลิวซีหัวเราะ “ดูเจ้าวางท่าใหญ่โตเช่นนี้ ที่บ้านมีเหมืองหรือ”
“ใช่น่ะสิ”
“หา!”
ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ย “ตระกูลของเรามีเหมืองหยกอยู่แห่งหนึ่งจริงๆ”
ฉินหลิวซี “…”
นางมองไปยังซือเหลิ่งเย่ว์ น้ำลายแทบไหล เอ่ย “มนุษย์เปรียบมนุษย์ มนุษย์เปรียบคนตายจริงๆ เจ้าว่าไยข้าจึงไม่มีชีวิตร่ำรวยมั่งคั่งเช่นนี้”
หากบ้านนางมีเหมือง คงจะนอนอยู่เฉยๆ จะมาลำบากทำไมกัน
ซือเหลิ่งเย่ว์โยนหินหยกในมือเล่น เอ่ย “เจ้าอิจฉาข้า คิดว่าข้าไม่อิจฉาเจ้าหรือ ใช้ชีวิตไม่ต้องกังวลว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกกี่วัน”
“วางใจเถิด ด้วยเหมืองแร่หยกนี้ของเจ้า ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องช่วยทำลายคำสาปเลือดนี้ของเจ้าให้ได้” ฉินหลิวซีเอ่ยปลอบ
ซือเหลิ่งเย่ว์ยิ้มจนดวงตาคล้ายจันทร์เสี้ยว
ฉินหลิวซีเห็นว่ายังมีเวลาห่างจากยามเดินทางอีกมาก จึงมองดวงจันทร์ลอยเด่นผ่านช่องหน้าต่าง จึงหยิบหม้อดินใบใหญ่ออกมา ไปขุดดินบริเวณสวนยา จากนั้นค่อยฝังหินหยกหลายชิ้นลงไป
ซือเหลิ่งเย่ว์มองการกระทำของนางอย่างแปลกใจ ไม่ถามสิ่งใด เพียงมองดูเท่านั้น
เพียงเห็นว่าฝังหยกลงไปแล้ว สองมือฉินหลิวซีทำสัญลักษณ์ร่ายคาถาไปในหม้อดินนั้น
ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองหรือไม่ ด้วยสิ่งที่นางทำ ทำให้ซือเหลิ่งเย่ว์รู้สึกสบายใจขึ้นมา ความเหนื่อยล้าตลอดหลายวันมานี้ถูกปัดเป่าออกไปจนหมด สีหน้าแดงระเรื่อขึ้นมาหลายเท่า
นางจ้องมองหม้อดินนั้นพลางครุ่นคิด ไหนี้ ต่างออกไปแล้ว
ฉินหลิวซีจัดการสิ่งเหล่านี้แล้ว จากนั้นจึงเอ่ย “โสมน้อย ออกมาเถิด”
ป่าไม้น้อย[2]หรือ ผู้ใดกัน
ซือเหลิ่งเย่ว์มองซ้ายขวา จากนั้น ด้านข้างมีบางอย่างกำลังขยับ นางตกใจเล็กน้อย ก้าวถอยหลังสองก้าว
เห็นหญ้าต้นหนึ่งผุดขึ้นมาจากดิน เสียงฟึบดังขึ้น ลอยออกมาทันใด
ซือเหลิ่งเย่ว์สูดหายใจเข้าลึก หญ้ากลายเป็นดวงจิตหรือ
ไม่สิ ไม่ใช่หญ้า นี่คือ โสมหรือ
ซือเหลิ่งเย่ว์มองโสมรากขาวอวบอ้วนที่ยืนอยู่ตรงนั้น สะบัดศีรษะ ดินที่ติดอยู่ปลายยอดนั้นถูกมันสะบัดลงมา มันหันมามองนาง ส่งเสียงอ๋าขึ้นมา “โอ้ คนสวยนี่”
ซือเหลิ่งเย่ว์ “!”
โสมที่มีจิตวิญญาณแล้ว
ฉินหลิวซีมองนางที่เหมือนตกใจนิ่งค้างไป จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นี่คือปีศาจโสมพันปี บำเพ็ญเพียรจนเกิดวิญญาณและสติปัญญา ให้ตายอย่างไรก็จะตามข้ากลับมา ไม่ให้มันตามมาก็ยังเอะอะโวยวาย ช่วยไม่ได้ จึงต้องเอากลับมาด้วย”
ปีศาจโสมน้อย “?”
ข้าเปล่า ไม่ใช่ ท่านเหลวไหล
เป็นท่านต่างหากที่บังคับข้ามา
ฉินหลิวซีจ้องมองมัน เอ่ย “ทักทายสักหน่อยเถิด นี่คือซือเหลิ่งเย่ว์ผู้สืบทอดเผ่าอูตระกูลซือ”
“ตระกูลซือหรือ” ปีศาจโสมน้อยเอียงคอ เอ่ย “ลูกหลานของเทพธิดาซือชิ่งหรือ”
ซือเหลิ่งเย่ว์ตกใจเล็กน้อย ย่อตัวลงไปอีกครั้ง สองมือวางอยู่บนเข่า เอ่ย “เจ้ารู้จักเทพธิดาตระกูลข้าหรือ”
“ไม่รู้จัก” ปีศาจโสมน้อยเอ่ย “แต่ข้าเคยได้ยิน ว่าตระกูลของเจ้าโดนคำสาป คนใกล้จะตายสิ้นแล้ว เฮ้อ เจ้าคือคนสุดท้ายที่เหลืออยู่หรือ”
ฉินหลิวซีตัดรากเล็กๆ ของมัน เอ่ย “เจ้าพูดเป็นหรือไม่ เอ่ยตรงเพียงนี้ ไม่ช้าก็เร็วคงถูกตีตาย”
นางใช้ยันต์ปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายกับรากน้อยๆ จากนั้นยื่นให้ซือเหลิ่งเย่ว์ “กินเถิด พลังชีวิตของเจ้าไม่พอ บำรุงสักหน่อย”
ปีศาจโสมน้อยร้องเสียงดัง “ท่านขโมยนี่”
“หุบปาก เจ้าดื่มกินของของข้า อาศัยของของข้า ตัดรากเจ้ารากเดียวจะทำไม มีปัญหาหรือ” ฉินหลิวซีจิ้มศีรษะของเขา
ปีศาจโสมน้อยหดศีรษะลง “ไม่มี”
ข้ามี แต่ไม่กล้าพูด
ซือเหลิ่งเย่ว์ถือรากเอาไว้ กินก็เป็น ไม่กินก็ไม่เป็น
ปีศาจโสมน้อยหดศีรษะ เอ่ย “ท่านเรียกข้าออกมาทำไมหรือ”
“ลองบ้านของเจ้าสักหน่อย” ฉินหลิวซีตบหม้อดิน เอ่ย “เข้าไปเถิด ด้านในข้าเสริมพลังวิญญาณเข้าไปอีก ช่วยให้การบำเพ็ญเพียรของเจ้าดีขึ้นกว่าครึ่ง”
ปีศาจโสมน้อยดีใจใบปัดป่ายไปมา “ยังมีเรื่องดีๆ เช่นนี้ด้วยหรือ”
มันกระโดดเข้าไปในหม้อดินแทบรอไม่ไหว ย่อตัวฝังตนเองลงไป ทั่วทั้งร่างราวกับถูกน้ำแร่วิญญาณชำระล้างจนสะอาด ส่งเสียงอืออืมแปลกประหลาดออกมา
ในที่สุดเทพอสูรก็เป็นคนแล้ว อ่า สบาย
เพียะ
ศีรษะโดนตบ ปีศาจโสมน้อยเบิกตาโต
ฉินหลิวซีเอ่ย “ฮึมฮัมอะไร ดูสถานการณ์ด้วย”
ปีศาจโสมน้อยเหลือบมองซือเหลิ่งเย่ว์ที่กำลังปิดปากกลั้นขำ เห็นแก่บ้านใหม่ มันอดทนไว้
“ก็ได้” มันยื่นรากออกมาหนึ่งราก “เจ้าตัดรากไปอีกหนึ่งรากสิ รากนี้นับว่าข้ามอบให้เสี่ยวเย่ว์เย่ว์”
ซือเหลิ่งเย่ว์รีบเอ่ย “ขอบคุณมาก รากเดียวก็เพียงพอแล้ว”
นางเป็นคนรู้ราคาสินค้า รากหนึ่งรากของโสมพันปี อีกทั้งยังมีจิตวิญญาณ สามารถช่วยคนที่ถูกขังอยู่ในประตูผีกลับออกมาได้
ฉินหลิวซีเอ่ย “มีไหนี้แล้ว เจ้าก็ตั้งใจบำเพ็ญเพียร วันข้างหน้าข้าจะแก้คำสาปให้เสี่ยวเย่ว์ ไม่แน่ว่าอาจต้องใช้เจ้า”
ปีศาจโสมน้อยห่อเหี่ยวลงอีกครั้ง มิน่าถึงได้ทำไหให้มัน ที่แท้ก็มีเรื่องที่ต้องการ
แต่ก็ยังดี ไหนี้มีพลังวิญญาณเข้มข้นกว่าแปลงสมุนไพรเสียอีก แถมยังได้อยู่คนเดียว มันแทบอยากจมอยู่ในนั้น
ช่างเถิด รับของผู้อื่นฝ่ายเดียวรู้สึกมีบุญคุณ ไม่ถือสาหาความกับนางแล้ว
มันคือปีศาจโสมใจกว้างที่สุดในโลก ฮี่
[1]ยามจื่อ 23.00-01.00 น.
[2] ป่าไม้น้อย (小森) ในภาษาจีนออกเสียงเหมือนกับโสมน้อย (小参)