บทที่ 342 ฉู่เหินออกจากฌาน
บทที่ 342 ฉู่เหินออกจากฌาน
“ตงหลิน พอสายเลือดเปลี่ยนไปอาการบาดเจ็บของแกก็หายเป็นปกติแล้ว แกไปเบิกเงินของตระกูลแล้วออกไปตามหาฉู่เหินเถอะ! แต่จำไว้ว่าพวกแกไม่ได้เจอกันนานกว่า 20 ปีแล้วอย่าไปฝืนใจลูกเด็ดขาด แม้เขาจะไม่รู้จักแก แต่แกก็ต้องรักษาน้ำใจเขา”
ฉู่ตงหลินได้ยินก็พยักหน้ารับ ลูกของเขาถ้าเจ็บเขายิ่งเจ็บกว่า เพราะงั้นเขาจะไปบังคับลูกตัวเองทำไมกัน ฉู่ตงหลินกล่าวอำลาแล้วรีบออกไปด้วยความรวดเร็ว
จากนั้นผู้นำตระกูลก็บอกให้ทุกคนแยกย้าย แต่ให้ฉู่ฉุนอยู่ต่อ เมื่อผู้นำตระกูลเห็นว่าทุกคนออกไปหมดแล้วเขาถึงค่อยถอนหายใจออกมาแล้วบอกกับฉู่ฉุน “หลานชาย 20 ปีมานี้ หลานคงทุกข์ทรมาณมามาก ต่อไปหลานไม่ต้องทรมานแบบเมื่อก่อนอีกแล้ว แต่ตอนนี้หลานอยู่ที่นี่ไม่ได้ภายนอกตระกูลฉู่ดูจะเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุด แต่ที่จริงแล้วมันเป็นที่ที่อันตรายที่สุดต่างหาก!”
“ปู่จะประกาศออกไปว่าหลานเข้าณานกับปู่ และปู่จะใช้จังหวะนี้แอบส่งหลานออกไปข้างนอกอย่างลับ ๆ ปู่ทำแบบนี้ก็เพื่อปกป้องหลาน”
“การออกไปข้างนอกครั้งนี้เธอมีสองอย่างที่ต้องทำคือ หนึ่งตามหาพี่ชายหลาน ฉู่เหิน เขาช่วยหลานได้ทันก่อนที่หลานจะสิ้นใจ แสดงว่าพวกเธอสองคนต้องมีวาสนาต่อกันอย่างแน่นอน ในความคิดของฉัน นอกจากเธอคงจะไม่มีใครจะหาเขาพบ แม้ว่าตอนนี้ปู่ไม่รู้ว่าฉู่เหินอยู่ไหนและวรยุทธขั้นอะไร แต่คิดว่าคงพอ ๆ กับหลานนี้ละ อย่างไรเสียวรยุทธ์ของโลกภายนอกก็เทียบกับพวกเราไม่ได้หรอก!”
“พอหาพี่หลานเจอแล้วหลานต้องเชื่อฟังพี่เขา ถ้าเป็นไปตามที่ปู่คาดไว้เพียงแค่เธอหาพี่ชายเจอก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเสื้อผ้าอาหารแล้ว เขาจะเป็นคนปกป้องหลานเอง ถึงแม้จะเป็นพี่ชายที่ไม่เคยเจอน้องชายมาก่อนเขาคงอึดอัดใจไม่น้อยแต่เขาจะปกป้องหลานสุดกำลัง เพราะคนเป็นพี่ก็ต้องแบกรับภาระของพี่ชายเอาไว้ หลานไม่ต้องคิดมากหรอกนะ”
ฉู่ฉุนได้ยินผู้นำตระกูลพูดก็พยักหน้า แม้เขาจะอายุน้อย แต่เขาก็เฉลียวฉลาด เขาผ่านความเป็นความตายมาตลอด 20 ปี ประสบการ์ณที่ตายได้ทุกวันได้หล่อหลอมความคิดของเขาให้โตกว่าที่เห็นมาก ต่อมาผู้นำตระกูลก็ส่งฉู่ฉุนออกจากเกาะตระกูลฉู่อย่างลับ ๆ
……
……
เรื่องพวกนี้ฉู่เหินไม่รู้อะไรด้วยเลย การเปลี่ยนแปลงของเขาทำให้ สติปัญญา ธรรมะ ร่างกาย สายเลือด หรือแม้แต่ผิวพรรณเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน! วันนี้ฉู่เหินรู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็นสัตว์บรรพกาลก็ไม่ปาน
แม้จะไม่ใช้พลังดวงดาว เขาก็พบว่าแค่กำปั้นข้างเดียวของเขาก็สามารถฆ่าผู้พิชิตดาราได้แล้ว! อีกทั้งเมื่อโคจรพลังในร่างกาย เขาก็พบว่าพลังกิเลนของตัวเองแข็งแกร่งขึ้นจนน่าตกใจ
บัดนี้ถ้า ยัยแก่เหม่ยชิงยังกล้าต่อสู้กับเขาล่ะก็ ฉู่เหินเชื่อว่าด้วยพลังของเขาในตอนนี้ ยัยแก่เหม่ยชิงไม่ใช่คู่มือของเขาอย่างแน่นอน!
เมื่อมองดูรอบ ๆ ตัวเขาก็เห็นว่าตัวเองแช่อยู่ในสระน้ำอมฤตมาเนินนาน จนเขารู้สึกอึดอัด เพราะว่่าน้ำในสระน้ำอมฤตถูกเขาดูดเข้าไปถึงสองในสามส่วน! อีกนิดนึงน้ำในสระก็แทบจะแห้งขอดอยู่แล้ว
ยังดีที่พอเขาหยุดการโคจรพลัง สระน้ำอมฤตก็ค่อย ๆ ฟื้นฟูกลับสู่สภาพเดิม! พอเห็นแบบนี้เขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ที่เขาก็ไม่ได้ทำลายที่นี่เสียก่อน
หลังฉู่เหินฟื้นเขาก็รวบรวมสติและเขาตระหนักว่ามีหลายคนในนิกายกิเลนกำลังสอดแนมเขา เขาก็รู้ทุกอย่างจากเรื่องที่พวกนั้นคุยกัน?
เขาตรวจสอบวรยุทธของตัวเองอย่างละเอียด เขาคาดไม่ถึงว่าตอนนี้เขาจะอยู่ในขั้นผู้พิชิตดาราระดับ 3 คิดไม่ถึงว่าเขาจะทะลวงได้ถึง 2-3 ระดับทันทีแบบนี้ทำให้เขาดีใจมาก! ทว่าหลังจากที่มองร่างกายของตัวเองแล้วเขาก็ต้องกลุ้มใจ
เพราะเดิมทีส่วนสูงของฉู่เหินนั้นสูงแค่ 178 เซนติเมตรเท่านั้น แต่การเปลี่ยนแปลงรอบนี้ทำให้ส่วนสูงของเขาเพิ่มขึ้นมาก
น้ำหนักของเขาจาก 60 กิโลตอนนี้ เพิ่มขึ้นตูมเดียว 100 กว่ากิโลไปแล้ว!
ฉู่เหินรู้สึกว่าตือโป๊ยก่ายในเรื่องไซอิ๋วก็ยังท้องใหญ่ไม่เท่าท้องของเขาในตอนนี้ด้วยซ้ำ! ตอนนี้เขาอ้วนจนเอวเป็นห่วงยางไปแล้ว ใบหน้าก็เต็มไปด้วยไขมัน แต่มันก็ไม่ได้น่าเกลียดขนาดนั้น กลับเป็นใบหน้าที่อ้วนตุ้ยนุ้ยน่ารักดีเหมือนกัน แต่ฉู่เหินแอบรู้สึกว่ามันน่าเกลียดแปลก ๆ
เขาไม่มีทางเลือกเขารู้ว่าคนอื่นน่ะอ้วนมาจากไขมัน แต่เขาอ้วนจากพลัง ถ้าเขาสามารถขจัดพลังส่วนเกินออกไปได้ เจ้าก้อนไขมันพวกนี้ก็จะหายไปเองแล้วรูปร่างอันสมบูรณ์แบบของเขาก็จะกลับมา
ทว่าแค่พูดน่ะง่าย แต่จะทำยังไงให้พลังถูกขับออกไปมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย น่ากลัวว่าเขาต้องฝึกฝนโคจรพลังไม่หยุด หลายเดือนหรืออาจจะหลายปีถึงจะทำได้สำเร็จ
เขาแบกท้องป่อง ๆ นี้เดินออกมาข้างนอกอย่างหมดหนทาง ตอนนี้ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยพลังมากมาย ส่งน้ำหนักของเขาเยอะมาก ทุกครั้งที่เท้าของเขาสัมผัสพื้นก็จะเกิดเสียงดังกึกก้อง
ฉับพลันที่ฉู่เหินออกมา เหตุการณ์ประหลาดบนท้องฟ้าก็หายไปคล้ายกับว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งฉู่เหินไม่รู้เรื่องเลยสักนิดว่าเกิดอะไรขึ้น และเพราะเหตุนี้ทำให้ชะตาชีวิตของเขาเปลี่ยนไป
เมื่อทุกคนทราบว่าฉู่เหินออกจากการเข้าฌานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็พากันมาต้อนรับฉู่เหิน ทุกคนยืนเรียงแถวราวกับเป็นการรายงานตัวของทหารก็ไม่ปาน คนที่วิ่งมาอย่างกระตือรือร้นเป็นเสี่ยวชิงนั้นเอง แต่พอเสี่ยวชิงเห็นฉู่เหินเธอก็ตัวแข็งค้าง
“อะไร ฉันไม่ได้กินอะไรเลยนะ เรื่องนี้ฉันอธิบานได้!” หลังจากได้ยินฉู่เหินพูดเสี่ยวชิงก็มองค้อนเขาไปหนึ่งที ที่ฉู่เหินอ้วนอย่างนี้คิดว่าเธอไม่รู้เหรอว่าเพราะอะไร? แล้วเขาจะร้อนตัวทำไมกัน?
“พี่เหิน พี่พูดอะไรออกมา ฉันไม่มีทางรังเกียจที่พี่อ้วนอยู่แล้ว พี่ก็อย่ารังเกียจฉันที่พลังต่ำต้อยเลยนะ” พอพูดถึงพลังฉู่เหินก็รู้สึกเสียดายแทนเสี่ยวชิง ตอนที่เขาทะลวงพลังเมื่อตอนอยู่บนเกาะ ตัวเขาน่าจะพยายามทำให้เธอเลื่อนขั้นพลังมาพร้อมกัน
ตามความคิดของฉู่เหิน ถ้าเสี่ยวชิงอยากทะลวงขั้นพลัง ผู้พิชิตดาราจริง ๆ เกรงว่าต้องใช้เวลาอีก 2-3 ปี เพราะจะทะลวงขั้นผู้พิชิตดารา นั้นยากมากอีกทั้งยังต้องเลือกเส้นทางแห่งสวรรค์มา 1 เส้นทาง แต่เดิมเสี่ยวชิงก็ไม่เคยฝึกตนอย่างถูกหลักมาก่อน แล้วเธอจะรู้เรื่องเส้นทางแห่งสวรรค์ได้ยังไง
แต่คนทำดีย่อมได้ดี ใครจะคิดว่าการตระหนักรู้ของฉู่เหิน ทำให้นิกายกิเลนเกิดการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้คนทั้งหุบเขากิเลนมีการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างกันไป เสี่ยวชิงเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น วรยุทธของเธอทะลวงมาถึงขั้นผู้พิชิตดาราระดับ 1 เรียบร้อยแล้ว!
และคนที่ได้เลื่อนขั้นพลังเป็นขั้นผู้พิชิตดารานั้นไม่ได้มีแค่เสี่ยวชิงคนเดียว ยังมีทั้งพวกต้าเอ้อตุน พี่เสือ แรดเขาเดียว แมวนพเวทย์ หรือแม้แต่นกกระเรียนกับนกคีรีบูนก็ด้วยเช่นกัน
ผู้อาวุโสปลาหมึกเองก็ทะลวงขั้นพลังเป็นขั้นผู้พิชิตดาราแล้ว ส่วนพวกเงือก 20 ตนนั้นก็เลื่อนขั้นพลังเป็นขั้นเต๋าระดับสูง