ตอนที่ 219 ขานรับหน่อย

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 219 ขานรับหน่อย

“ญาติผู้น้อง…เสี่ยวเว่ย เจ้าอยู่ข้างล่างหรือไม่ ? ” หลีชิงยืนอยู่ริมหน้าผา สายลมพัดเสื้อคลุมของเขาขึ้นจึงทำให้ดูเหมือนกับจอมยุทธ์ในภาพยนตร์

“พี่หลีชิง…ตรงตำแหน่งของกระบุงมีเห็ดหลินจือดอกใหญ่อยู่ เจ้าเห็นหรือไม่ ? ” หลินเว่ยเว่ยเอามือป้องปากแล้วตะโกนขึ้นมาบนยอดเขา แต่เสียงของนางโดนตัดขาดเป็นระลอกเพราะลมภูเขา

หลังตะโกนต่อเนื่องสองสามรอบ ในที่สุดหลีชิงก็เข้าใจคำพูดของนาง หลีชิงจึงเริ่มตามหาบนหน้าผา สุดท้ายเขาก็หาเห็ดหลินจือพบ มันคืออัญมณีหายากสำหรับผืนป่า เว่ยเว่ยตกลงไปเพราะต้องการจะเก็บมันใช่หรือไม่ ?

“เห็นแล้ว ! ” หลีชิงตะโกนเสียงดัง

“พวกเรา…ข้ากับบัณฑิตน้อยอยู่ใต้เห็ดหลินจือไปประมาณ 30-40 หมี่ ข้างล่างไม่มีที่ให้ปีนกลับ ในกระบุงของข้ามีเชือกอยู่ เจ้าโยนเชือกลงมาหน่อย ! ” หลินเว่ยเว่ยแผดเสียงตะโกน

เจียงโม่หานรู้สึกว่าหูกำลังจะหนวกแล้ว…เสียงดังมาก ! เหตุใดเขาถึงชอบเด็กป่าเถื่อนที่ไม่อ่อนโยน พฤติกรรมน่าละอายหรือแม้แต่หยาบคายเล็กน้อยนี้ได้ ?

หลีชิงหยิบเชือกออกจากกระบุงไม้ไผ่แล้วคำนวณความยาว…ดูเหมือนว่าจะยาวไม่พอ !

เสี่ยวฉาวรีบพูด “ข้าก็เอาเชือกมาด้วย” เวลาที่คนในหมู่บ้านขึ้นเขาก็ล้วนพกเชือกมาด้วยเพื่อเอาไว้มัดฟืนหรือสิ่งใดก็ตาม

หลีชิงนำเชือกของเสี่ยวฉาวมามัดต่อกัน จากนั้นก็ออกแรงกระตุกให้มั่นใจแล้วโยนไปยังทิศทางที่หลินเว่ยเว่ยบอก

หลินเว่ยเว่ยตะโกนจนรู้สึกไม่สบายคอ นางหยิบกระบอกน้ำออกมาแล้วให้บัณฑิตหนุ่มเปิดฝา หลังดื่มน้ำจากมิติน้ำพุวิญญาณเข้าไปจนชุ่มคอแล้ว นางก็ส่งให้บัณฑิตหนุ่ม “ประเดี๋ยวจะต้องขึ้นไป ไม่ต้องเก็บไว้แล้ว เจ้าดื่มหน่อยเถิด ! ”

เจียงโม่หานไม่ได้เกรงใจ เขาดื่มน้ำเข้าไปอึกใหญ่ เมื่อเห็นปลายเชือกที่หย่อนลงมาแล้วก็พูดกับหลินเว่ยเว่ยว่า “มือของเจ้าบาดเจ็บ ข้าจะขึ้นไปก่อน พอเชือกลงมาอีกรอบก็เอาเชือกผูกรอบเอวไว้ แล้วข้ากับหลีชิงจะดึงตัวเจ้าขึ้นไป”

หลินเว่ยเว่ยทำมือเป็นรูป ‘OK’ ให้เขา แต่พอคิดได้ว่าเขาไม่เข้าใจจึงพยักหน้าให้แทน “ได้ เจ้าระวังด้วย ไม่ต้องกลัว เพราะถึงจะตกลงมาก็ยังมีข้าที่คอยรับเอาไว้ ! ”

สายตาของเจียงโม่หานมองสัญญาณมือแปลก ๆ ของนางอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเคาะศีรษะนางแล้วกล่าวว่า “พูดสิ่งที่ฟังดูดีหน่อยไม่ได้หรือ ? ”

“จงเชื่อมั่นในตัวเอง เจ้าทำได้ ! สู้สู้ ! ! ” หลินเว่ยเว่ยมองขาเรียวยาวของอีกฝ่ายอย่างไม่วางใจ

เจียงโม่หานจับเชือกแล้วหันมาถลึงตาใส่นาง “นั่นคือสายตาอันใดของเจ้า ? ”

“สายตาเชื่อมั่นอย่างไรเล่า ! ” หลินเว่ยเว่ยคิดว่าไม่ใช่เวลาที่จะยั่วโมโหอีกฝ่าย นางจึงให้กำลังใจเขาแทน

เจียงโม่หานสาวเชือก เท้ายันหน้าผา จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าแล้วพยายามปีนขึ้นสู่หน้าผาทีละก้าว

ตอนแรกหลินเว่ยเว่ยยังกังวลเล็กน้อย แต่โชคดีที่มือบัณฑิตน้อยดูค่อนข้างจะมีแรงอยู่บ้าง แม้ในตอนแรกดูไม่ค่อยคุ้นชินมากนัก แต่เขาก็สามารถรักษาความเร็วได้อย่างคงที่และค่อย ๆ ขยับขึ้นไปบนหน้าผาทีละน้อย

ในที่สุดนางเฝิงและนางหวงที่อยู่ริมหน้าผาก็ได้เห็นเจียงโม่หาน หัวใจพวกนางก็เริ่มผ่อนคลาย เท้าจึงอ่อนแรงทรุดลงกับพื้น นางเฝิงสำลักเสียง “หานเอ๋อร์ ! ”

ระยะทาง 30 กว่าหมี่ เจียงโม่หานใช้เวลาปีนประมาณ 2 เค่อและยังมีอีกระยะหนึ่งที่ตัวเขาโดนหลีชิงดึงขึ้นมาจากหน้าผา

หลีชิงขมวดคิ้ว “เหตุใดเจ้าขึ้นมาก่อน ? เสี่ยวเว่ยอยู่ที่ใด ? ”

“เสี่ยวเว่ยอยู่ข้างล่าง มือของนางบาดเจ็บ ! ” เจียงโม่หานหันหน้ากลับไปตะโกนที่ก้นเหว “เสี่ยวเว่ย พอเจ้ามัดเชือกเสร็จแล้วก็ขานรับหน่อย ! ”

“หน่อย…” เด็กตัวแสบยังมีกะจิตกะใจมาล้อเล่น !

หลีชิงม้วนแขนเสื้อขึ้นแล้วจับเชือกไว้แน่น จากนั้นก็ค่อย ๆ ออกแรงดึงขึ้นมา เจียงโม่หานเห็นท่าทางของเขา จึงรีบเข้าไปช่วย

หลินเว่ยเว่ยค่อย ๆ ปรากฏสู่สายตาของทุกคน นางยังไม่ลืมโบกมือให้พร้อมรอยยิ้มหวานหยาดเยิ้ม

“หยุด ! หยุดก่อน ! ”

เจียงโม่หานเข้าใจผิดว่านางมีสถานการณ์ฉุกเฉินบางอย่าง คาดไม่ถึงว่านางจะเอื้อมมือไปเก็บเห็ดหลินจือดอกนั้น…เป็นสตรีหน้าเงินจนไม่นึกถึงชีวิต !

“ช้าก่อน แขนซ้ายของนางบาดเจ็บ ระวังหน่อย ! ” เจียงโม่หานเห็นหลีชิงจะดึงแขนซ้ายของหลินเว่ยเว่ยจึงรีบเข้าไปห้ามไว้

ทันใดนั้นนางหวงและนางเฝิงก็พบว่าทั่วทั้งแขนซ้ายของหลินเว่ยเว่ยเต็มไปด้วยเลือด หลังรอให้บุตรสาวได้ขึ้นมายืนดี ๆ แล้ว นางหวงก็เดินเข้าไปพร้อมน้ำตาอาบหน้า อยากแตะแขนของบุตรสาวแต่ก็กลัวจะเจ็บ นางหวงจึงถามด้วยเสียงสั่นเครือ “เจ็บหรือไม่ ? ”

“ไม่เจ็บเลยท่านแม่ แค่แผลเล็กน้อยเท่านั้น ! ” หลินเว่ยเว่ยยิ้มปลอบ

เจียงโม่หานถลึงตาใส่อีกฝ่าย แล้วคนที่ร้องห่มร้องไห้ขี้มูกโป่ง ร้องว่าเจ็บอย่างโน้นอย่างนี้ข้างล่างหน้าผาคือผู้ใด ? นางชอบทำตัวแข็งแกร่งพลางเก็บซ่อนความอ่อนแอของตนเสมอ

ทว่าพอทบทวนแล้ว มารดาป่วย พี่สาวตั้งตนเป็นศัตรูและยังต้องเลี้ยงดูน้องชายคนโตที่กำลังศึกษากับน้องชายคนเล็กที่อายุยังน้อยอีกคน ความอยู่รอดของคนทั้งครอบครัวอยู่บนบ่าของนาง ไม่เหลือที่ให้นางได้อ่อนแอเลย…เจียงโม่หานพยายามไม่สนใจความเจ็บปวดและความรู้สึกสงสาร แต่ดูเหมือน…มันจะไร้ประโยชน์

ทันใดนั้นเขาก็เห็นหลีชิงโค้งตัวลงเพื่อจะแบกหลินเว่ยเว่ยขึ้นหลัง เขาจะปล่อยให้ทำเช่นนั้นได้อย่างไร นางเป็นคู่หมั้นที่เขาตัดสินใจแต่งงานด้วย จะให้ผู้ชายคนอื่นมา ‘ลวมลาม’ ได้หรือ

เจียงโม่หานก้าวขึ้นไปด้านหน้าแล้วคว้าแขนหลีชิงไว้

หลีชิงเงยหน้ามองอีกฝ่าย ความคิดของบุรุษย่อมเชื่อมโยงกัน หลีชิงจึงขมวดคิ้ว “หากข้าไม่แบกนาง เจ้าจะเป็นคนแบกหรือ ? เจ้าน่ะ ยืนมั่นคงให้ได้ก่อน ! ”

เจียงโม่หานตกตะลึงจนพูดไม่ออก

ในพื้นที่เล็ก ๆ เช่นนั้น เขายืนจนขาแข็งทั้งวัน ขาจึงแทบไม่ใช่ของตนอีกต่อไป สามารถยืนอยู่ได้ก็ดีเพียงใดแล้ว แม้ว่าตอนเดินลงเขาก็ยังต้องให้คนช่วยประคองไว้ ! เป็นอย่างที่คิดว่าผู้ไร้ประโยชน์ที่สุดคือบัณฑิต !

หลินเว่ยเว่ยปีนขึ้นหลังของหลีชิงอย่างไม่เกรงใจ นางหวงจับมือขวาที่ไม่บาดเจ็บของนางไว้ขณะเดินอยู่ด้านหน้า

หลินเว่ยเว่ยหันมามองเจียงโม่หานที่เดินโซเซอยู่ด้านหลังแล้วพูดกับน้องชายซัวถัวว่า “เสี่ยวฉาว รบกวนเจ้าช่วยน้าเฝิงประคองบัณฑิตเจียง เขาต้องลำบากเพราะข้า ! ”

“ไม่ ! ข้ายินดีช่วยสตรีที่ตนชอบ ! ” เจียงโม่หานเอ่ยคำปฏิญาณขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

นางเฝิงทั้งตกใจและดีใจ ไอหยา ! ตกหน้าผาวันนี้ไม่ได้เสียเปล่า ในที่สุดหานเอ๋อร์เจ้าลูกทึ่มก็ได้สติ ! ทันใดนั้นในสมองของนางก็เต็มไปด้วยฉากรักแสนซาบซึ้งที่คู่รักไม่ยอมพรากจากกัน

ตัวของหลินเว่ยเว่ยเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและเจ็บปวด ระหว่างอยู่บนหลังของหลีชิง นางก็กลายเป็นนางเอกผู้อ่อนแอน่าอิจฉาในบทละคร บอกจะสลบก็สลบได้ทันที นางจึงไม่ได้ยินว่าบัณฑิตหนุ่มพูดสิ่งใดออกมา

นางหวงเป็นห่วงบาดแผลของบุตรสาวจึงได้ยินเพียงคำว่า ‘ยินดี’ เท่านั้น นางหันไปพูดขอบคุณนางเฝิง “ถ้าไม่ได้หานเอ๋อร์ช่วยเหลือ เด็กใจกล้าคนนี้ก็ไม่รู้จะเป็นเช่นไรบ้าง ! หานเอ๋อร์ทำสิ่งใดก็รอบคอบมาโดยตลอด ต่อไปช่วยจับตาดูเว่ยเว่ยให้ป้าด้วยเถิด”

ริมฝีปากของนางเฝิงแนบชิดติดกันไม่ได้ นางยิ้มราวกับดอกไม้ผลิบาน “เหตุใดจะต้องพูดขอบคุณด้วย ในเมื่อพวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน จึงเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว ! ”

เสี่ยวฉาวอ้าปากค้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกใจและไม่อยากเชื่อ ว่าอย่างไรนะ ? เมื่อครู่บัณฑิตเจียงพูดว่าชอบบุตรสาวคนรองตระกูลหลินใช่หรือไม่ ? จะเป็นไปได้อย่างไร ? ทั้งสองไม่ใช่คนที่เดินบนเส้นทางเดียวกันด้วยซ้ำ ! ท่านแม่ยังลังเลอยู่เลยว่าจะมาสู่ขอนางให้พี่ชาย นี่ไม่ใช่ว่าโดนคนอื่นชิงลงมือตัดหน้าแล้วหรือ ?