บทที่ 251 เจอโดยบังเอิญ

ต้าเป่าและสวี่เจวี๋ยไปเรียนที่สำนักศึกษาหลวง ส่วนเอ้อร์เป่าไปเรียนที่สำนักศึกษาเหอตง ทว่า จู่ ๆ ภายในบ้านสกุลเว่ยก็มีเด็กชายอ้วนโผล่มาจากไหนไม่มีใครรู้ เขาเดินตามซานเป่าอย่างไม่คลาดสายตา

“น้องสาวกินสายไหมหรือไม่?””

“น้องสาวนี่ขนมถังเกาที่เจ้าชอบไง!”

“น้องสาว ภายหน้าหากข้าโตขึ้นข้าจะจับปลามาย่างให้เจ้ากิน!”

ตู้เสี่ยวไป๋พูดไม่หยุด ส่วนซานเป่าก็ลืมสิ่งที่พี่ใหญ่กับพี่รองสั่งเอาไว้อย่างรวดเร็ว เด็กหญิงเล่นกับเด็กอ้วนข้างบ้านทั้งวัน

เมื่อตู้ชิงหยูไม่เห็นน้องชายที่บ้าน นางก็เดินไปยังบ้านหลังข้าง ๆ ทันที เมื่อเปิดประตูเข้ามาจึงเห็นน้องชายของตนกำลังนั่งเรียงแถวอยู่ข้างป้าจ้าว มือเล็ก ๆ อ้วน ๆ ของเขากำลังนวดแป้งอยู่ ตู้ชิงหยูชะโงกเข้าไปมอง

“เจ้ากำลังทำอะไรอยู่?”

“ย็อกกี้”

“ทำให้ใคร?” ตู้ชิงหยูถามด้วยรอยยิ้ม

“ให้น้องสาว” เด็กชายตัวอ้วนนั่งก้มหน้านวดแป้งอย่างจริงจังไม่ยอมแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา

มุมปากของตู้ชิงหยูกระตุก เจ้าเด็กอ้วนตัวน้อยผู้นี้ปกติจะเอาแต่กินนอนเท่านั้น แต่ตอนนี้กลับลุกขึ้นมาทำอาหาร! นางรู้สึกราวกับว่าลูกหมูที่ตัวเองกำลังเลี้ยงไว้วิ่งเข้าไปในคอกของคนอื่นเสียนี่

ตู้ชิงหยูบิดหูของน้องชายทันที

“ตู้เสี่ยวไป๋! ในสายตาของเจ้ามีแต่น้องสาวแล้วใช่หรือไม่!” น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความอิจฉา

ตู้เสี่ยวไป๋ถูกบังคับให้เงยหน้าขึ้น ดวงตาของเด็กชายมีน้ำตาเอ่อล้นด้วยความเจ็บปวด

“ท่านพี่ ข้าเจ็บนะ..”

“ท่านพี่ ๆ ๆ ข้าจะทำให้ท่านพี่กินด้วย” เด็กอ้วนรีบพูดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

ตู้ชิงหยูปล่อยเขา ก่อนจะเดินไปหาถังหลี่ ตอนนี้หญิงสาวอยู่ที่ห้องโถงของบ้าน นางนั่งเท้าคางใช้ความคิดอย่างหนัก

นางย้ายมาที่เหอตงแล้วควรทำอะไรจริงจังสักอย่าง นางไม่อาจอยู่เฉยได้ทั้งวัน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ขาดเงินก็ตามที

โรงงานผลิตถุงหอมที่หมู่บ้านลี่เจี่ย ร้านเป่าชิงเก๋อที่เมืองเหยาสุ่ยและร้านอาหารของฮูหยินมู่ คือแหล่งทำเงินของถังหลี่ ในทุก ๆ เดือนนางจะได้กำไรเป็นเงินหลายพันตำลึง เป้าหมายของนางในตอนนี้จึงไม่ใช่การหาเงินแต่อย่างใด แต่คือการสั่งสมกำลัง เพื่อภายหน้ายามที่ต้องเผชิญหน้ากับกู้อิ๋น นางจะได้แข็งแกร่งมากกว่านี้ กิจการที่ทำเงินได้ทั่วไปนั้นไม่ใช่เป้าหมายของนาง เช่นนั้นควรทำอะไรดี?

ในขณะที่ถังหลี่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ดวงตาของนางก็ถูกฝ่ามือของใครบางคนเอื้อมมาปิดไว้

“ชิงหยู” ถังหลี่ทาย

ฝ่ามือคู่นั้นขยับเปิดออก

“เจ้ารู้ได้อย่างไร?” ตู้ชิงหยูถามอย่างตื่นเต้น

“ข้าได้กลิ่นหอมของตัวเจ้า”

“เสี่ยวหลี่ชอบข้าก็เลยจำกลิ่นข้าได้ล่ะสิ” ตู้ชิงหยูเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับพูดจาหยอกเย้านาง

“ชิงหยู เจ้าทำงานอะไรหรือ?” ถังหลี่ถามด้วยความสงสัย

ตู้ชิงหยูไม่ใช่คนที่เมืองนี้ นางมาปรากฏตัวที่เมืองเหอตงจนกลายมาเป็นเพื่อนบ้านของถังหลี่ แต่หญิงสาวก็ไม่เห็นนางทำงานอะไรเลยทั้งวัน

“เอาล่ะเสี่ยวหลี่ข้าจะบอกเจ้า ข้าน่ะพนันกับหลานชายคนหนึ่งเอาไว้ ว่าเราจะรับศิษย์เอก เพื่อจะมาแข่งกันว่าศิษย์ของใครดีกว่ากัน” ตู้ชิงหยูกล่าว

“ดังนั้นข้าจึงตามหาผู้ที่มีพรสวรรค์!”

“พรสวรรค์แบบไหนหรือ?” ถังหลี่เริ่มสนใจ

“ข้าจะบอกเจ้าแน่นอน แต่ไม่ใช่ตอนนี้” ตู้ชิงหยูกล่าวอย่างลึกลับ

ถังหลี่พูดไม่ออก แต่ไม่อยากคาดคั้นนางมากนัก

“เสี่ยวหลี่พวกเราออกไปเดินเล่นกันเถอะ ข้าเบื่อมากเลย” ตู้ชิงหยูพึมพำ

ถังหลี่เห็นด้วย นางจึงพยักหน้ารับคำ

“ไปสองคนได้ไหม? ไม่ต้องพาพวกเด็ก ๆ ไป” ตู้ชิงหยูกระพริบตาปริบ ๆ

ถังหลี่มองตู้เสี่ยวไป๋ที่กำลังนวดแป้งทำย็อกกี้อย่างตั้งอกตั้งใจ จากนั้นก็มองซานเป่าที่นั่งน้ำลายไหลย้อยอยู่ด้านข้างก่อนจะพยักหน้า ทั้งสองคนเดินออกไปซื้อของที่ถนนด้วยกัน

ระหว่างทาง ตู้ชิงหยูอยากซื้อของแทบทุกอย่างที่นางเห็น ถังหลี่ช่วยจ่ายเงินให้โดยที่ไม่พูดอะไร

“เสี่ยวหลี่ พวกเราดื่มชาที่นี่กันเถอะ” ตู้ชิงหยูหยุดอยู่ที่หน้าเรือสำราญลำหนึ่งแล้วพูดอย่างตื่นเต้น ถังหลี่พยักหน้าทันที แต่ก่อนที่ทั้งสองจะได้ลงเรือก็มีคนมาขวางพวกนางเอาไว้

“นายท่าน เรือลำนี้ถูกจองไว้แล้วขอรับ” ชายผู้นั้นกล่าวขออภัย

“ใครจองหรือ?”

“เป็นตระกูลฉินขอรับ พวกเขาจองไว้ให้ท่านจิ่วถิง” ชายคนนั้นกล่าว

“เป็นท่านจิ่วถิงผู้มีชื่อเสียงโด่งดังนั่นเอง” ผู้ชายอีกคนพูดขึ้น

ถังหลี่และตู้ชิงหยูได้ฟังก็มีท่าทีแตกต่างกันแต่ความคิดบางอย่างก็บังเอิญเห็นพ้องกันอยู่บ้าง

ถังหลี่คิดว่าท่านจิ่วถิงตัวปลอมนี้คงจะมีความสุขมากเป็นแน่ แต่อีกมุมหนึ่งถังหลี่เองก็รู้สึกดีที่ตระกูลฉินถูกคนลวงโลกปอกลอก ยิ่งสกุลฉินเสียเงินมากเท่าไหร่ ในวันที่เขารู้ว่าจิ่วถิงผู้นี้คือตัวปลอม พวกเขาจะต้องกระอักเลือดด้วยความโกรธอย่างแน่นอน!

ตู้ชิงหยูลูบคางตัวเอง นางเองก็คิดเช่นเดียวกัน ในวันนั้นนางขอให้เฉียนซานตรวจสอบเรื่องนี้พบว่า ท่านจิ่วถิง ผู้นี้แท้จริงเป็นใครกันแน่?

ชายคนนี้เดิมทีเคยเป็นพ่อครัวที่กุ่ยกู่เหมิน เขารู้เรื่องของกุ่ยกู่เหมินแค่เพียงผิวเผินเท่านั้น หลังจากที่เขาออกจากกุ่ยกู่เหมินไป ก็ใช้ชื่อจิ่วถิงหลอกลวงผู้คนมาตลอด

ชายคนนี้รู้วิธีหลอกลวงต้มตุ๋นผู้คนเป็นอย่างดี เมื่อเขาเห็นว่ามีเหตุการณ์ตึงมือหรือกำลังจะถูกคนจับได้ เขาจะรีบเผ่นหนีไปเสียก่อนเพื่อที่จะไปหลอกลวงผู้อื่นต่อไป

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เขาโกหกหลอกลวงผู้คนได้แนบเนียนยิ่งขึ้น คิดไม่ถึงเลยว่าเขาเดินลุยน้ำโดยที่รองเท้าไม่เปียกได้อย่างไร?

ครั้งนี้ช่างบังเอิญจริง ๆ ที่ได้มาเจอกับตู้ชิงหยูเข้า

เดิมทีนางคิดจะเปิดโปงคนชั่วผู้นี้และให้บทเรียนที่รุนแรงแก่เขา แต่เมื่อคิดดูอีกทีคนผู้นี้ได้หลอกลวงสกุลฉินผู้เป็นศัตรูของเสี่ยวหลี่ หากปล่อยให้คนลวงโลกผู้นี้ปอกลอกไปเรื่อย ๆ นั่นย่อมเป็นการแก้แค้นอย่างหนึ่งไม่ใช่หรือ?

หากถึงตอนนั้นแล้ว สกุลฉินโดนปอกลอกโกงเงินไปจนหมด อีกทั้งฉินเหวินซวนเองก็จะได้เรียนล่าช้าไปอีกสองสามปี เสียทั้งเงินทั้งอนาคตที่รุ่งโรจน์ ยิ่งตอนนี้สกุลฉินภูมิใจมากเพียงใด ถึงตอนนั้นก็จะยิ่งอับอายมากขึ้นเท่านั้น แค่คิดถึงเรื่องนี้…

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ตู้ชิงหยูไม่สนใจคนลวงโลกผู้นี้ชั่วคราว

ตู้ชิงหยูยืนอยู่ด้านนอก หน้าต่างเรือสำราญเปิดออกมองเห็นคนที่อยู่ด้านใน ไม่ใช่ใครที่ไหนเป็น ‘ท่านจิ่วถิง’ นั่นเอง

เขามองตู้ชิงหยูอย่างตกตะลึง ใบหน้าถอดสี หลังจากนั้น ‘ท่านจิ่วถิง’ รีบปิดหน้าต่างทันที

ตู้ชิงหยูแสร้งทำเป็นเสียใจ

“เสี่ยวหลี่ ข้าน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรือ? เหตุใดเขาต้องกลัวข้าด้วยเล่า?”

ถังหลี่มองตู้ชิงหยูพลางคิดว่าอาจมีบางเรื่องที่ตู้ชิงหยูปิดบังนางเอาไว้

“สงสัยเจ้าจะน่ากลัวเหมือนผี ไปกันเถอะ” หญิงสาวเดินจากไปโดยที่มีตู้ชิงหยูวิ่งไล่ตาม

“ว้าว ! ถึงข้าจะน่ากลัว แต่เจ้ากลับไม่กลัวข้า เสี่ยวหลี่เจ้าตกหลุมรักข้าใช่หรือไม่?”

ถังหลี่ได้ฟังก็อดไม่ได้ที่จะกลอกตา เมื่อทั้งสองคนซื้อของเสร็จแล้วจึงได้กลับไปบ้าน

นางพบว่าทั้งต้าเป่า สวี่เจวี๋ยและเอ้อร์เป่ากลับมาถึงบ้านกันหมดแล้ว พวกเขาพากันต้อนตู้เสี่ยวไป๋ ไม่ให้เด็กอ้วนเข้าใกล้ซานเป่าได้ ดูไปแล้วเจ้าเด็กอ้วนช่างน่าสารมาก

ป้าจ้าวนำย็อกกี้ที่ทำในตอนกลางวันมาปรุงอาหารเย็นให้คนทั้งครอบครัวกินจนอิ่ม

หลังจากที่รับประทานอาหารเสร็จแล้ว ถังหลี่และตู้ชิงหยูยืนเคียงข้างอยู่ที่ลานบ้าน

“วันนี้เป็นวันขึ้นสิบห้าค่ำ พระจันทร์เต็มดวง” ตู้ชิงหยูเอ่ยขึ้นมา

“วันขึ้นสิบห้า…” ถังหลี่มองไปยังดวงจันทร์บนฟ้า โดยคิดว่าในวันที่เว่ยฉิงจากไปก็เป็นวันขึ้นสิบห้าค่ำเหมือนกัน

ผ่านมาครึ่งปีแล้ว ไม่รู้ว่าเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง?