ตอนที่ 133.1 แผนพเนจรของยอดเขาหยกน้อย (1)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

ในวันที่สี่หลังจากกลับมาจากยอดเขาตันติ่ง ในขณะนี้ หลี่ฉางโซ่วอยู่ในห้องลับใต้ดินของยอดเขาหยกน้อย

หากยังคงเป็นเช่นนี้ สำนักตู้เซียนย่อมจะล่มสลายไม่ช้าก็เร็ว

หลี่ฉางโซ่วนั่งลงบนเก้าอี้หลังโต๊ะพลางเคาะนิ้วลงบนโต๊ะในขณะที่เขาค่อยๆ ครุ่นคิดในใจ

หากหลิงเอ๋อร์เห็นสถานการณ์เช่นนั้น นางอาจจะสารภาพปัญหาเรื่องต่างๆ กับเขาออกมาอย่างต่อเนื่องไม่หยุดในทันทีในขณะที่อู้งานในระหว่างการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกรงสัตว์วิญญาณ

หลี่ฉางโซ่วมักเผยสีหน้าพิเศษออกมาในยามที่เขาคิดถึงเรื่องสำคัญ…และทันใดนั้นเปลือกตาของหลี่ฉางโซ่วก็กระตุกขึ้นพร้อมกับที่เขาหยุดชะงักความคิดที่โลดแล่นอยู่ในใจและหยุดการเคาะนิ้วเป็นจังหวะของเขาลงทันที

พลังสัมผัสเซียนรับรู้ของเขาตรวจจับได้ว่า อาจารย์อาจิ่วจิ่วนั่งอยู่บนน้ำเต้าขนาดใหญ่และถือคทาหนามที่มีหนามแหลมพลางส่งเสียงออกมาเบาๆ ว่า “ศิษย์พี่กำลังเรียกข้าให้ไปสำรวจบนภูเขา” จากนั้นนางก็ออกจากยอดเขาหยกน้อย และบินตรงไปที่ประตูภูเขาของสำนัก

แน่นอนว่า หลี่ฉางโซ่ว รู้ดีว่าท่านอาจารย์อาจิ่วจิ่วได้รับสารจากอาจารย์ลุงจิ่วอู และและด้วยเหตุนี้ นางจึงรีบไปช่วยเขา…

นางใส่ใจสุขภาพกายและใจของผู้คน

หากจำเป็น นางก็สามารถทำให้อีกฝ่ายหนึ่งอ่อนแอได้

ตามข้อตกลงก่อนหน้านี้ของหลี่ฉางโซ่ว ในขณะนี้ อาจารย์ลุงจิ่วอูได้เชิญเซียนเสิ่นนาม หลิวเฟยเซียนแห่งยอดเขาตันติ่งออกจากสำนักแล้ว…

แม้ว่าอาจารย์ลุงจิ่วอูจะเชี่ยวชาญในการใช้ค่ายกลพิษเพื่อต่อสู้กับศัตรู แต่อาจารย์อาจิ่วจิ่วก็ต้องไปกับเขา การเตรียมการให้พร้อมเสมอย่อมไม่เสียหาย

ทว่าเหตุใดหลี่ฉางโซ่วจึงนึกถึงหลิวเฟยเซียนขึ้นมาทันที

เป็นเพราะผู้อาวุโสว่านหลินหยุนเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า เขาได้รับโอสถปรารถนามาจากหลิวเฟยเซียน

โอสถปรารถนาที่หลี่ฉางโซ่วกลั่นสกัดขึ้นมานั้นเป็นที่รู้จักของทุกคน พวกเขาทั้งหมดเตรียมพร้อมสำหรับเหล่าผู้อาวุโสรุ่นก่อนที่มีความต้องการในด้านนั้น ทว่าเหตุใดหลิวเฟยเซียนถึงมีโอสถปรารถนา

นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะกระตุ้นให้เขาหลอกล่อ

หลังจากนั้น ครึ่งวันต่อมา จิ่วอูและจิ่วจิ่วก็กลับมาบนก้อนเมฆพร้อมกับคทาหนามของจิ่วจิ่วที่อาบโชกไปด้วยเลือด…

เมื่อเข้าสู่สำนักแล้ว จิ่วอูก็รีบตรงไปที่ยอดเขาหยกน้อยทันที

จิ่วจิ่วลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และในท้ายที่สุด นางก็เลือกที่จะกลับไปยังที่พักของนางบนยอดเขาพิชิตสวรรค์และฝึกฝนอยู่ที่นั่นเป็นเวลาสองสามวัน

มันย่อมจะเสียเปล่า หากนางจะไม่ใช้ค่ายกลป้องกันที่หรูหราอลังการของนาง

ไม่ว่าอย่างไร นางก็ต้องนอนมากขึ้นอีกสองสามครั้งเพื่อฟื้นฟูพลังของนาง!

ทว่าทันทีที่จิ่วอูมาถึงหอโอสถ ร่างหลักแท้จริงของหลี่ฉางโซ่วไม่ได้ปรากฏกายขึ้น แต่ใช้เพียงตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์เพื่อต้อนรับเขา และในขณะที่พบกัน จิ่วอูก็กล่าวอย่างเดือดดาลว่า “หลิวเฟยเซียนเป็นคนทำ!

คนผู้นี้ไม่มีทักษะเล่นแร่แปรธาตุที่ดี ข้าไม่รู้ว่าเขาไปรู้เรื่องเกี่ยวกับหินแห่งความรักได้อย่างไรกัน!

หลักจากนั้นเขาก็กลั่นสกัดมันขึ้นมาตามสูตรโอสถที่เขาวิเคราะห์ จนในที่สุดเขาก็หลอมโอสถชั่วร้ายขึ้นมา!”

“ท่านอาจารย์ลุง โปรดระงับโทสะเถิดขอรับ” หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “อย่างไรข้าก็ได้มีโอกาสหลุดพ้นจากเรื่องโอสถปรารถนาแล้ว แล้วท่านอาจารย์ลุงทำร้ายหลิวเฟยเซียนคนนี้หรือไม่ขอรับ”

จิ่วอูถอนหายใจและกล่าวว่า “อา ข้ารู้จักเขามานานกว่าพันปีแล้ว ข้าไม่ได้ทำร้ายเขา แต่ตามที่เจ้าพูด ข้าทำให้เขากลัวและเขาก็บอกข้าทุกอย่าง” หลี่ฉางโซ่วพยักหน้าช้าๆ จากนั้นทั้งสองก็ยังคงคุยกันถึงวิธีการมอบโอสถปรารถนาให้กับหอไป่ฝานl

นับจากนี้ไป หลี่ฉางโซ่วจะไม่ให้โอสถปรารถนามากเกินไป เขาจะจัดโอสถปรารถนาเพียงยี่สิบเม็ดต่อปีเพื่อเป็นเกียรติให้กับอาจารย์ลุงจิ่วอูและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ทุกคนในสำนัก

“เป็นเพียงเพราะว่า ข้าไม่อาจแบ่งรายได้เท่าๆ กันกับอาจารย์ลุงจิ่วอูได้อีกต่อไปขอรับ” หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างเสียใจ

จิ่วอูยิ้มและกล่าวว่า “ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทั้งหมดนี้ต้องขอบใจเจ้าเช่นกัน เมื่อมาถึงจุดนี้ ย่อมเป็นเรื่องดีที่จะจบเรื่องต่างๆ ลงแบบนี้ที่นี่ เพราะผู้อาวุโสส่วนใหญ่ที่มีความต้องการมันจริงๆ ก็ได้ใช้โอสถปรารถนาไปแล้ว ส่วนหลิวเฟยเซียนนั้น…”

หลี่ฉางโซ่วพลันเอ่ยถามว่า “ท่านอาจารย์ลุง ท่านจัดการกับเขาครอบคลุมทุกด้านหรือไม่ขอรับ”

“เสี่ยวจิ่วลงมือโหดไปสักหน่อย แต่ทุกอย่างก็เรียบร้อยดี เขาแค่ได้รับบาดเจ็บผิวเผินเท่านั้น”

จิ่วอูกล่าวเสริมว่า “ฉางโซ่ววางใจเถิด เขาได้ให้ปฏิญญาต้าเต๋าแล้ว ทุกอย่างครบถ้วนไม่มีสิ่งใดถูกละเลยไป หลังจากนั้น หลิวเฟยเซียนจะไปพบท่านเจ้าสำนัก แต่…”

“แต่อะไรหรือขอรับ ท่านอาจารย์ลุง หากท่านมีเรื่องอันใด โปรดพูดมาเถิดขอรับ”

จิ่วอูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า “การจัดระเบียบสำนักใหม่นั้นฟังดูเรียบง่าย แต่เราจะเริ่มอย่างไรกันดีเล่า นอกจากนี้ แล้วมันจะมีประโยชน์อันใดกับเราหรือไม่ เหตุใดเจ้าถึงยืนยันว่า ต้องให้หลิวเฟยเซียนใช้สิ่งนี้เพื่อชดเชยความผิดพลาดของเขา”

หลี่ฉางโซ่วรู้สึกพอใจเล็กน้อยที่อาจารย์ลุงจิ่วอูของเขาสามารถคิดเช่นนั้นได้ และบัดนี้นับว่าเขาบรรลุเต๋าอันยิ่งใหญ่ในระดับต้นแล้ว!

ทันใดนั้น หลี่ฉางโซวก็นึกถึงถ้อยคำสองสามคำที่ท่านอาจารย์ของเขากล่าวถึงบ่อยๆ

“ท่านอาจารย์ลุง สำนักตู้เซียนต้องมาก่อนยอดเขาหยกน้อยขอรับ

ดังนั้นหากสำนักตู้เซียนเจริญรุ่งเรือง เช่นนั้น ยอดเขาหยกน้อยจึงจะเจริญรุ่งเรืองได้ขอรับ”

จิ่วอูพลันตระหนักได้อย่างกะทันหัน ดวงตาโตที่อยู่ใต้คิ้วหนาของเขาเปี่ยมไปด้วยความชื่นชมอย่างลึกซึ้ง

“ไม่เช่นนั้น ท่านอาจารย์ลุงอาจจะดูใจแคบเกินไปขอรับ!”

หลังจากนั้น หลี่ฉางโซ่วพลันแย้มยิ้มแล้วพูดคุยกับจิ่วอูในเรื่องอื่นๆ ของสำนักต่อไป

หลังจากส่งจิ่วอูออกไปแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็เกิดความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้เล็กน้อย

เมื่อพูดถึงคู่บำเพ็ญเต๋า นิสัยของผู้คนในสำนักนั้นแทบจะกลายเป็นเหมือนโรคเรื้อรังที่ถูกบ่มเพาะมานานแล้ว…

ถึงแม้จะเป็นงานของเหล่าผู้อาวุโส แต่นิสัยนั้นล้วนถูกสร้างขึ้นจากผู้อาวุโสในรุ่นแรกๆ นอกจากนี้ยังมีผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่น่าเชื่อถือซึ่งแอบแทรกแซงและแทรกแซงการแต่งงานของผู้คนในสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน

หากยังคงดำเนินต่อไป ก็รังแต่จะมีแต่ผลเสียและไร้ประโยชน์ใดๆ

มนุษย์เพียงมีพลังงานมากเท่านั้น แล้วพวกเขาจะฝึกฝนให้ก้าวหน้าไปได้อย่างไร หากพวกเขาใช้พลังทั้งหมดไปกับความสัมพันธ์แห่งความรัก

เว้นเสียแต่ว่า สำนักจะมีทักษะเต๋าหยินหยางระดับสูงสักหลายชุด ซึ่งจะมอบให้กับศิษย์ที่เป็นคู่บำเพ็ญเต๋า โดยแต่ละคู่จะได้รับหนึ่งชุดจากสำนักโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ เมื่อพวกเขาไปจดทะเบียนสมรสที่หอไป่ฝาน…

แต่มันก็เหมือนกับกฎการหลบหนีและทักษะพิษ ทักษะการบำเพ็ญคู่นั้นเป็นเรื่องยากที่จะบรรลุสำเร็จได้

เปรียบดั่งในโลกบรรพกาลที่มีพลังวิญญาณอยู่มากมาย เหล่าผู้บำเพ็ญล้วนภาคภูมิใจในสมบัติ พลังและทักษะเวท และรากฐานของพวกเขา แต่พวกเขาก็ยังคงลดระดับการฝึกฝนกฎการหลบหนี ทักษะพิษ และทักษะการบำเพ็ญคู่ของพวกเขา

หลี่ฉางโซ่วให้ความสำคัญกับทักษะพิษ และกฎการหลบหนีเป็นหลักมากกว่า

เขาไม่คิดว่าจะมีอะไรพิเศษในทักษะการทักษะการบำเพ็ญคู่และทักษะเสริม

ในคราแรกนั้น หลี่ฉางโซ่วต้องการใช้โอสถปรารถนาเพื่อสั่งสมความมั่งคั่งของเขาในสำนักและขยายค่ายกลป้องกันยอดเขาหยกน้อย เขาได้รับประโยชน์จากมันอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม หลังจากเหตุการณ์ ‘โอสถปลอม’ หลี่ฉางโซ่วก็พลันตระหนักได้ว่าโอสถปรารถนาได้เริ่มเขย่ารากฐานของสำนักตู้เซียนแล้ว

รากฐานของสำนักตู้เซียนนั้น ไม่ได้อยู่ที่บรรดาศิษย์ของสำนัก แต่อยู่ที่จำนวนผู้บำเพ็ญที่อยู่ในขอบเขตเซียนเทียนและมีความเป็นไปได้ว่า พวกเขาจะทะลวงผ่านขึ้นสู่เซียนจินได้สำเร็จ

แล้วจะเป็นสำนักที่มีผู้อาวุโสแข็งแกร่งซึ่งจะคงอยู่อย่างแน่นอนในขณะที่บรรดาศิษย์ของสำนักอาจจะจากไป

มันเป็นความสำคัญอย่างที่สุดสำหรับสำนักตู้เซียนที่จะต้องคงความเจริญรุ่งเรืองและครองความรุ่งโรจน์เป็นเวลานานอย่างมั่นคงและยั่งยืนเพื่อให้เขามีชีวิตอยู่ในสำนักได้อย่างปลอดภัย

“และในท้ายที่สุดแล้ว ข้าก็ไม่มีอะไรต้องห่วงกังวลทั้งนั้น”

ลองคิดดูว่า ท่านเจ้าสำนักฝึกฝนทักษะ ‘ครวญคราง’ จนล้มป่วยลง เช่นนั้น ข้าก็สงสัยว่าเขาจะฟื้นตัวได้อย่างไร

เอ่อ จู่ๆ หลี่ฉางโซ่วก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าในอดีต เขาเคยกังวลเรื่องเจ้าสำนัก และค่อยๆ เริ่มกังวลในเรื่องที่เจ้าสำนักไม่กังวล[1]

[1] อ้างอิงถึงที่หลี่ฉางโซ่วมักให้ฉายาท่านเจ้าสำนักว่า เจ้าสำนักว่างเปล่า คือ สมองหรือความคิดว่างเปล่าไร้กังกลนั่นเอง