เฉินเจิ่นที่ยืนอยู่ไกลๆ เห็นข้าโศกเศร้าเพียงนี้จึงเดินเข้ามาปลอบ “ใต้เท้า ระงับความโศกเศร้าเถิดขอรับ หากนายท่านหลี่รู้ว่าใต้เท้าปวดใจเช่นนี้ จะต้องตำหนิว่าผู้น้อยปรนนิบัติรับใช้ใต้เท้าไม่ดีเป็นแน่”
ข้ามองไปยังเฉินเจิ่น เห็นความกังวลอัดแน่นอยู่ในดวงตาของเขา จึงกล่าวถามไปเรียบๆ “เจ้ายังคิดแค้นเสี่ยวซุ่นจื่อและข้าอยู่หรือไม่”
เฉินเจิ่นกล่าวอย่างสุขุม “ผู้น้อยไม่เคยกล่าวโทษใต้เท้า ตอนแรกผู้น้อยถูกคุมขัง ชีวิตอยู่ระหว่างความเป็นความตาย หากมิได้ใต้เท้าร้องขอชีวิต ผู้น้อยคงตกตายไปนานแล้ว อย่างไรผู้น้อยก็เป็นคนแคว้นสู่ ส่วนใต้เท้าเป็นขุนนางหนานฉู่ จะแคลงใจในความภักดีของผู้น้อยก็มิใช่เรื่องแปลก แม้ตอนแรกผู้น้อยจะไม่พอใจอยู่บ้าง เพราะอย่างไรความเป็นความตายก็อยู่ในมือผู้อื่น แต่ที่ผ่านมาผู้น้อยได้รับยาแก้พิษตรงเวลา ทั้งยังไม่มีเงื่อนไขหรือการกลั่นแกล้งอื่นใด ขอเพียงผู้น้อยปฏิบัติหน้าที่คุ้มกันใต้เท้าอย่างซื่อสัตย์จงรักย่อมมิเป็นอันตรายถึงชีวิตแน่นอน ดังนั้นผู้น้อยจึงไม่คิดกล่าวโทษเคืองแค้นอีก”
ข้ามองเขาแวบหนึ่ง เขาช่างเปรื่องปราดจริงๆ ข้าถามต่อไปว่า “ข้าเสนอกลยุทธ์ทำลายปาจวิ้นและเมืองลั่ว ทั้งยังบีบบังคับจนสู่อ๋องฆ่าตัวตาย เจ้าไม่คิดแค้นข้าหรือ”
เฉินเจิ่นรีบคุกเข่าลงกับพื้น พูดว่า “ยามอยู่ที่แคว้นสู่ ผู้น้อยเป็นเพียงสายลับคนหนึ่ง อยู่หรือตายก็เพียงเพื่ออำนาจและความมั่งคั่งของผู้อื่นเท่านั้น จนกระทั่งแคว้นสู่ล่มสลาย ผู้น้อยก็ยังเป็นเพียงนักโทษคุมขังที่รอรับความตาย ยามแคว้นสู่ยังอยู่ ผู้น้อยก็มิได้ทรยศหักหลังแว่นแคว้น เมื่อแว่นแคว้นล่มสลาย คนตัวเล็กๆ เช่นพวกเราก็ยังต้องมีชีวิตต่อไป ใต้เท้าเป็นขุนนางของหนานฉู่ จะเสนอกลยุทธ์ทำลายแดนสู่ก็นับว่าทำตามเหตุผลหน้าที่อันสมควร แม้ผู้น้อยจะเป็นราษฎรแคว้นสู่ แต่มิได้มีหน้าที่ต้องแก้แค้นเพื่อแว่นแคว้น แม้ผู้น้อยเย็นชาไร้ใจ แต่ในเมื่อแว่นแคว้นไม่มีความสามารถคุ้มครองชาวประชา เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องมีอยู่”
ข้ายิ้มบางๆ พูดว่า “เจ้านิสัยเหมือนข้าจริงๆ ความจริงหนานฉู่เพียงล่มสลายช้าหน่อยเท่านั้น ถึงตอนนั้นเจ้าจะทำอย่างไร”
เฉินเจิ่นตอบ “แม้ข้าไม่รู้ว่าใต้เท้ามีความสัมพันธ์เช่นไรกับต้ายง แต่เชื่อว่าถึงตอนนั้นใต้เท้าจะเอาชีวิตรอดได้แน่ เฉินเจิ่นไร้ความสามารถ ผ่านความเจ็บปวดที่แว่นแคว้นล่มสลายมาแล้ว ถึงตอนนั้น ขอเพียงมีชีวิตปลอดภัย เฉินเจิ่นมั่นใจว่าจะไม่ขายนายเพื่อเกียรติยศเป็นแน่”
ข้าส่ายหน้า เด็กคนนี้ฉลาดจริงๆ คำพูดรื่นหูอ้อมค้อมล้วนไม่พูด คงมองนิสัยข้าออกแล้วกระมัง หากตอนอยู่แคว้นสู่เขาพูดจาลักษณะนี้ คาดว่าคงตายไปนานแล้ว ข้าหยิบยาลูกกลอนออกมาเม็ดหนึ่ง “นี่เป็นยาแก้พิษ เมื่อเจ้ากินไปแล้วจะล้างพิษทั้งหมดในตัวเจ้า ต่อไปก็ไม่ต้องใช้ยาแก้พิษทุกเดือนอีก”
เฉินเจิ่นกินยาลงไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย “ผู้น้อยยินดีซื่อสัตย์ภักดีต่อใต้เท้า”
ข้าเห็นเขาตรงไปตรงมาเช่นนี้คล้ายมีแผนการอยู่ในใจนานแล้วจึงถามไปว่า “เจ้ารู้นานแล้วว่าเป็นยาพิษของข้า ใช่หรือไม่”
เฉินเจิ่นยิ้มตอบ “ผู้น้อยทราบนานแล้วว่าเป็นยาพิษของใต้เท้า ปกติคนใช้พิษจะมั่นใจในตนเองมาก หากนายท่านหลี่เป็นผู้วางยา ย่อมไม่สกัดจุดบนร่างข้าอีก”
ข้าคิดในใจว่า คนคนนี้ชาญฉลาดเพียงนี้เชียว ดูท่าทางข้าต้องจริงใจและตรงมาตรงไปตรงมาเสียหน่อยแล้ว ดังนั้นข้าจึงพูดไปว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ขอพูดตามตรงโดยไม่ปิดบัง หากเป็นองครักษ์ เจ้าแค่ปกป้องข้าอย่างสุดชีวิตเป็นพอ ไม่ต้องการความซื่อสัตย์ภักดีของเจ้า เพราะอย่างไรเจ้าก็เป็นเพียงตัวแทนของเสี่ยวซุ่นจื่อ แต่หากข้าคิดใช้เจ้าทำงาน เช่นนั้นกลับต้องการความซื่อสัตย์ภักดีของเจ้าจึงจะทำได้ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ข้าจะอยู่ท่ามกลางฝูงหมาป่า มีอันตรายแสนสาหัส อาจดับดิ้นสิ้นชีพได้ทุกเมื่อ หากมิใช่คนที่มีใจภักดีและเชื่อใจได้ เก็บไว้ก็ไร้ประโยชน์ หากเจ้าไม่เต็มใจ พรุ่งนี้ข้าจะให้เสี่ยวซุ่นจื่อคลายสกัดจุดให้เจ้า แล้วเจ้าก็ไปเสีย แต่หากเจ้าต้องการติดตามข้าจากใจจริง ข้าย่อมปฏิบัติต่อเจ้าเช่นคนสนิท เมื่อข้าประสบความสำเร็จจะจัดแจงให้เจ้าอย่างเหมาะสม ไม่ทำให้เจ้าเสียเปรียบแน่นอน แต่ก็ไม่แน่ว่าจะทำให้เจ้าบินได้สูงเพียงใด เจ้าคิดอย่างไรเล่า”
เฉินเจิ่นคารวะ “ผู้น้อยตัวคนเดียวไร้ที่พึ่งพิง หากไปจากใต้เท้าคงทำได้แต่เรื่องชั่วๆ เช่นสังหารผู้คนและปล้นชิง จะช้าจะเร็วก็ต้องถูกจับ ข้าเห็นใต้เท้ากระทำเรื่องราวได้อย่างยอดเยี่ยม สามารถทำงานใหญ่สำเร็จได้ง่ายๆ จะต้องเป็นผู้ประสบความสำเร็จในชีวิตแน่นอน หากใต้เท้าไม่รังเกียจ ผู้น้อยยินดีติดตามรับใช้ใต้เท้าขอรับ”
ข้าประคองเขาลุกขึ้น เช่นนั้นก็เชื่อใจเขาไปก่อนแล้วกัน ข้าถามว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าอยากถามเจ้าเสียหน่อย ตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไร”
สีหน้าของเฉินเจิ่นคละเคล้าไปด้วยความตื่นเต้น “หากใต้เท้าอยากแก้แค้นให้ฮูหยิน ไม่ว่าคิดกระทำเช่นไรก็ต้องมีกองกำลังที่ควบคุมได้อยู่ในมือ ตอนนี้ท่านมีเพียงผู้น้อยและท่านหลี่ซึ่งไม่อาจเคลื่อนไหวอิสระ นับว่าพลังยังอ่อนด้อยเกินไป หากคิดอาศัยผู้อื่นแล้วผลประโยชน์เกิดขัดแย้งกันขึ้นมา ใต้เท้าคงถูกขัดแข้งขัดขาอย่างมิอาจเลี่ยง”
ข้าพยักหน้าเบาๆ ไม่เสียทีที่เป็นสายลับของแคว้นสู่จริงๆ ข้าคิดว่าเรื่องเร่งด่วนในตอนนี้ก็คือการสร้างกองกำลังที่เป็นของตนเอง เพื่อปกป้องตนเองและกำจัดศัตรู แต่หากคิดสร้างกองทัพจะต้องมีทรัพย์สินมากพอ จะทำอย่างไรดี
หลายวันต่อมาข้าเอาแต่ฝังตัวอยู่ในห้องหนังสือ ไตร่ตรองว่าสมควรสร้างกองกำลังนี้เช่นไร จะบำรุงและรักษามันเช่นไร ข้าพลิกตำราในมือพลางใคร่ครวญมากมาย ไม่อาจทำให้กองกำลังนี้ยิ่งใหญ่เกินไปเพราะจะดึงดูดความสนใจของผู้อื่น ทั้งยังสิ้นเปลืองเงินทองและเสบียงมาก แต่ก็ไม่อาจทำให้เล็กเกินไปเพราะจะใช้การไม่ได้ ดังนั้นจุดสำคัญก็คือต้องมีแหล่งทรัพยากรเป็นของตัวเอง
ผ่านไปอีกหลายวันเสี่ยวซุ่นจื่อก็มาหาข้า เมื่อเขารู้ความคิดของข้าจึงเสนอให้เริ่มจากส่วนเล็กๆ ก่อน พวกเรานำทรัพย์สินเงินทองที่ได้จากศึกแคว้นสู่ออกมา ลอบซื้อเคหาสน์ที่อยู่ไม่ไกลจากเรือนข้าแห่งหนึ่ง จากนั้นก็หาเด็กอายุสิบสองสิบสามปีจำนวนหนึ่งมาฝึกฝนให้ได้ตามความต้องการของข้าด้วยวิธีฝึกของเขา
โดยพื้นฐานแล้วเด็กเหล่านี้ไม่มีพ่อแม่ ล้วนเป็นเด็กที่มีความอดทนและเด็ดเดี่ยว พวกเราให้เฉินเจิ่นเริ่มฝึกวรยุทธ์พื้นฐานให้พวกเขาเสียก่อน จากนั้นเสี่ยวซุ่นจื่อจึงสังคายนาทักษะวรยุทธ์ต่างๆ ที่ข้าเคยมอบให้เขาก่อนหน้านี้ออกมาเป็นแผนการฝึกฝน จากคำพูดของเขา หากฝึกไปประมาณสองปีจะมีฝีมือพอใช้ได้ เมื่อสอนทักษะลอบสังหารและซุ่มโจมตีให้พวกเขาเพิ่มเติม (เป็นความเชี่ยวชาญเฉพาะทางของเฉินเจิ่น) ก็ส่งไปทำงานได้แล้ว
ส่วนข้าก็คิดแผนหาเงินได้แล้วเช่นกัน ข้าคิดถึงเครื่องประดับที่เคยออกแบบไว้ตอนแรก พวกมันไม่เพียงแต่มีลวดลายวิจิตรงดงาม ทั้งยังถูกสร้างด้วยช่างฝีมือชั้นยอดอีกด้วย ดังนั้นจึงเป็นที่ต้องการมาก แม้ข้ามิได้เชี่ยวชาญศิลปะเหล่านี้เป็นพิเศษ แต่ข้าอ่านตำรามาอย่างกว้างขวาง เคยอ่านตำราเกี่ยวกับทักษะพิสดารมากมาย ดังนั้นข้าจึงออกแบบร่างของไว้หลายประเภท บ้างเป็นข้อมูลกลไก บ้างเป็นเครื่องประดับ บ้างเป็นของเล่นประณีตวิจิตร ที่ได้รับความนิยมที่สุดคือนาฬิกาที่สร้างขึ้นโดยใช้หลักการเส้นโค้งของมงกุฎดวงตะวัน[1] ซึ่งข้าอ่านเจอจากตำราที่อ่านเล่นตอนกินข้าว ในนั้นกล่าวถึงหลักการสร้างเส้นโค้งจากวงกลมหลายๆ วงเอาไว้ด้วย ข้าต้องสิ้นเปลืองความคิดจิตใจไปมากมายกว่าจะสร้างขึ้นมาได้ และเพื่อให้ช่างฝีมือสร้างมันได้ ข้ายังต้องรวบรวมอุปกรณ์จำพวกตุ้มถ่วงและเครื่องมือหน่วยวัดต่างๆ ให้พวกเขาโดยเฉพาะ สุดท้ายจึงสร้างนาฬิกาได้ตามแบบร่างของข้า โดยใช้เครื่องมือที่ข้านำมาให้
ข้าหาคนที่เหมาะสมมาร่วมมือกันสร้างของแบบร่างเหล่านี้ขึ้นมาโดยใช้นามหอกลไกสวรรค์ ซึ่งจะแบ่งผลกำไรหนึ่งส่วนให้เป็นค่าตอบแทน ส่วนผู้ที่ออกหน้าคือหานอู๋จี้ เขาคือสหายร่วมอาชีพของเฉินเจิ่น เขาหนีออกมาจากนครเฉิงตูเมื่อยามแคว้นสู่ล่มสลาย และเพราะต้ายงรักษาพื้นที่อย่างแน่นหนาเกินไปจึงต้องระเห็จมาที่หนานฉู่คิดทำงานหาเลี้ยงชีพ ทว่าเขาที่เชี่ยวชาญเพียงการสังหารและวางแผนชั่วช้า ทั้งยังเป็นพวกปากหวานก้นเปรี้ยวจึงไม่อาจหาเลี้ยงชีพได้เลย ไร้เงินไร้ทองจนแทบจะตายอยู่รอมร่อ
ตอนนั้นเฉินเจิ่นที่ได้รับคำสั่งให้ไปหาเด็กๆ ที่เหมาะสมมาจากทั่วทุกสารทิศเพื่อมาฝึกฝนเป็นกองกำลังของข้าช่วยเขาไว้พอดี ข้าคิดว่าคนคนนี้มีจิตใจเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว ไม่เอาตัวรอดโดยการเป็นมือสังหารหรือเป็นโจรปล้มสะดม ดังนั้นจึงให้เขารับผิดชอบเป็นผู้จัดการหอกลไกสวรรค์ที่ไม่มีอยู่จริง ให้เขาทำตามกลยุทธ์ของข้าและร่วมงานกับผู้อื่นลับๆ
แรกเริ่มยังต้องให้เขาหาผู้ร่วมงานด้วยตนเองก่อน ต่อมาเมื่อผลงานใหม่ๆ เป็นที่ประจักษ์แจ้งเขาก็จัดงานประมูลลับเล็กๆ ขึ้นมาโดยเชิญพ่อค้าผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมมาร่วมประมูล ผู้ชนะการประมูลจะได้แบบร่างและวัสดุไป ขอเพียงรักษาความลับให้ดีก็จะนำไปประดิษฐ์เองได้
ด้วยเหตุนี้ชื่อของหอกลไกสวรรค์จึงโด่งดังอยู่ในหนานฉู่ลับๆ ไม่มีใครกล้าเอ่ยชื่อนี้ออกมาดังๆ เพราะจะทำให้เสียโอกาสในการประมูลและเสียโอกาสในการหาเงินไปด้วย ดังนั้นเทียบเชิญของหอกลไกสวรรค์ไม่เพียงจะกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจ ทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของความน่าเชื่อถืออีกด้วย เพราะหากมีชื่อเสียงไม่ดี ต่อให้มีอำนาจเพียงใดก็จะไม่ได้รับเทียบเชิญจากหอกลไกสวรรค์
ตอนแรกข้าทำเพื่อหาเงิน ต่อมาข้ากลับคิดว่ามันน่าสนใจยิ่ง ข้าได้รับข้อมูลลับต่างๆ ผ่านทางหอกลไกสวรรค์มากมายเพราะหลายคนยินดีนำความลับมาแลกเปลี่ยนกับกระดาษแบบร่างของข้า ข้าจึงต้องบอกให้หานอู๋จี้เพิ่มความระมัดระวังขึ้นด้วย ห้ามพลาดพลั้งเป็นอันขาด และอย่าปล่อยให้ผู้อื่นสะกดรอยได้เด็ดขาด หานอู๋จี้ทำงานได้ดีมาก กองกำลังในมือข้าจึงค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้นทีละน้อย เมื่อเวลาเหมาะสมข้าก็ส่งคนไปให้หานอู๋จี้ใช้งานยี่สิบคน หอกลไกสวรรค์จึงเป็นหนึ่งในองค์กรลับที่มีชื่อเสียงที่สุดในหนานฉู่ไปเช่นนี้เอง
[1] หลักการเส้นโค้งของมงกุฎดวงตะวัน หรือ ไซคลอยด์ (cycloid) คือเส้นโค้งชนิดหนึ่ง นิยามจากรอยเคลื่อนที่ของจุดจุดหนึ่งบนเส้นรอบรูปวงกลม (ล้อกลม) ซึ่งรูปวงกลมนั้นกลิ้งไปตามเส้นตรง ทำให้เกิดเส้นโค้งนูนเป็นลอนเป็นราย
ตอนต่อไป