บทที่ 283 ข้าอยากช่วยพวกเขา แต่ไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไร
บทที่ 283 ข้าอยากช่วยพวกเขา แต่ไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไร
เสี่ยวเป่าได้รับของขวัญมากมายจากพี่ใหญ่ แต่ละอย่างล้วนเป็นของสวย ๆ งาม ๆ ที่นางชื่นชอบ เสี่ยวเป่ากอดมือพี่ใหญ่มาถูไถด้วยใบหน้านุ่มนิ่มราวกับแมวน้อยขี้อ้อน
“พี่ใหญ่ ท่านดีที่สุดเลย”
หนานกงฉีซิวเลิกคิ้วพลางยกยิ้มแผ่วเบาก่อนจะยกมือเรียวเคาะหัวเจ้าตัวน้อย
“ผู้ใดให้ของเจ้า เจ้าก็ว่าเขาดีที่สุดเหมือนกันใช่หรือไม่”
คำพูดนี้ของนาง ก่อนที่จะมาเอ่ยกับเขา ไม่รู้ว่าเจ้าตัวเล็กเอ่ยกับผู้ใดไปแล้วบ้าง
เสี่ยวเป่าหัวเราะเสียงเจื่อน แม้จะถูกเคาะหน้าผาก นางก็ไม่ปริปากบ่นเลยแม้แต่น้อย
“อาเฉินมานี่สิ”
หนานกงฉีเฉินเดินกอดอกเข้าไปหาผู้เป็นพี่ชาย ใบหน้าเย่อหยิ่งมองอีกฝ่ายราวกับจะถามว่า ‘พี่ใหญ่เรียกหาข้าด้วยเหตุใด’
“อันนี้ของเจ้า”
เขายื่นกล่องสี่เหลี่ยมให้น้องชาย
หนานกงฉีเฉินพึมพำเหมือนไม่อยากได้ “ข้าไม่ใช่เด็กแล้ว ไยท่านต้องให้ของขวัญข้าด้วย”
แต่พอรับกล่องมาแล้วก็เปิดดูอย่างอดใจไม่ได้
จากนั้นดวงตาของเด็กหนุ่มพลันเป็นประกายระยิบระยับจนลืมว่าต้องเก็บสีหน้า เขาหยิบสิ่งที่อยู่ในกล่องออกมาด้วยความปลื้มปริ่ม
มันคือกริชที่แสนวิจิตร รูปร่างงดงาม ฝังด้วยอัญมณีล้ำค่า ทันทีที่ดึงกริชออกจากฝัก ใบมีดคมกริบ ส่วนปลายแหลมคมปรากฏแก่สายตา
“งดงามมาก!”
จะมีสิ่งใดที่เหล่าเด็กหนุ่มชื่นชอบไปมากกว่าศาสตราวุธและการขี่ม้า กริชเล่มนี้ถูกใจเขาอย่างเห็นได้ชัด
เสี่ยวเป่าหัวเราะคิกคักอยู่ข้าง ๆ เมื่อครู่พี่หกยังทำท่าเย่อหยิ่งอยู่เลย ทว่าชั่วพริบตาต่อมากลับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเสียแล้ว
หนานกงฉีซิวเองก็กำลังมองน้องชายของตนพร้อมอมยิ้ม
หนานกงฉีเฉินลองกวัดแกว่งกริชอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรู้ตัวว่าตนเผลอทำสิ่งใดลงไป ใบหูพลันแดงก่ำ ยิ่งเห็นรอยยิ้มของพี่ชายและน้องสาว จากที่แดงแค่หูก็ลามไปทั้งใบหน้า
“ข้า… ข้าแค่เห็นว่ากริชเล่มนี้มันสวยดี!”
หาได้ชื่นชอบมันไม่!
หนานกงฉีเฉินแกล้งพูดห้วน ๆ เพื่อกลบเกลื่อน
“เอาเถิด พวกเจ้าไปเล่นเถอะ”
เสี่ยวเป่ากอดของขวัญที่พี่ใหญ่มอบให้ไว้แนบอก ทั้งยังบอกพวกเขาอีกว่านางเองก็มีของขวัญจะให้เช่นกัน
เพียงแต่ต้องรอให้ถึงวันข้ามปีเสียก่อนถึงจะมอบให้
ว่าแต่… เมื่อไหร่พี่สามจะกลับมา
ซึ่งพี่สามที่เสี่ยวเป่าเฝ้าคิดถึงก็รีบเร่งเดินทางกลับมาในคืนนั้น
การที่เขาเดินทางออกนอกเมืองหลวงในคราวนี้ เขาได้ทั้งประสบการณ์และได้เรียนรู้สิ่งใหม่ตั้งมากมาย แม้ในยามนี้ผู้ที่ยืนอยู่ในตำหนักฉินเจิ้งจะดูเหนื่อยล้าและประหม่าอยู่ไม่น้อย ทว่าแววตากลับสดใส
“กลับมาแล้วหรือ”
หนานกงฉีอวิ๋นส่งเสียงตอบรับ “เสด็จพ่อ ลูก…”
ยังไม่ทันได้พูดสิ่งใดมากไปกว่านั้น หนานกงสือเยวียนก็หยุดเขาไว้ก่อน “เจ้ากลับไปพักผ่อนเถิด เอาไว้ค่อยคุยพรุ่งนี้”
หนานกงฉีอวิ๋นพยักหน้า ในขณะที่ใบหน้าแดงก่ำ “พ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ”
เขาออกไปจนลับสายตาแล้ว ทว่าเจ้ากรมโยธากลับยังอยู่ที่เดิม และเริ่มกราบทูลเกี่ยวกับภัยพิบัติจากหิมะ
เช้าวันใหม่ เสี่ยวเป่าออกตามหาท่านพ่อทั้งที่ยังตื่นไม่เต็มตา แต่พอได้ยินเสียงพี่สามดังแว่วมากระทบหู เจ้าตัวน้อยพลันตาใสแจ๋ว หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง
“ฝูไห่กงกง เสี่ยวเป่าเข้าไปได้หรือไม่”
ดูเหมือนท่านพ่อกับพี่สามกำลังหารือเรื่องบางอย่างกันอยู่
“ย่อมได้อยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงน้อยเชิญเสด็จพ่ะย่ะค่ะ”
ฝูไห่คลี่ยิ้มอ่อนโยนระคนเอ็นดู
หลังจากได้รับอนุญาตแล้ว เสี่ยวเป่าก็วิ่งเข้าไปโดยไม่มีความเกรงใจใด ๆ ทันทีที่เห็นพี่สาม ดวงตานางก็ยิ่งเป็นประกายพร้อมรอยยิ้มที่กว้างขึ้น
หนานกงฉีอวิ๋นที่กำลังถูมืออย่างประหม่า ความกังวลพลันหายไปทันทีที่เห็นหน้าน้องสาว ไร้วี่แววของความวิตกกังวลที่เคยมี
ปอยผมบนศีรษะที่เคยลุกตั้งก็ค่อย ๆ ล้มลงมา
หนานกงสือเยวียนอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเส้นผมบนศีรษะของบุตรชาย
หนานกงฉีอวิ๋นกล่าวรายงานต่อ คราวนี้เสียงดังฟังชัดขึ้นเยอะเลยทีเดียว
หนานกงสือเยวียน “…”
แค่ได้เห็นหน้าเสี่ยวเป่า เจ้าก็มีความมั่นใจขึ้นแล้วอย่างนั้นหรือ ข้าไม่ได้จะกินหัวเจ้าเสียหน่อย!
แต่เขาก็เป็นผู้ใหญ่พอที่จะยอมรับว่าตนน่ากลัวจริง ๆ เพียงแต่เหตุการณ์ในคราวนี้มันกระทบกระเทือนจิตใจเขานิดหน่อย
บุตรชายผู้นี้เหมาะกับการทำงานเงียบ ๆ คนเดียว ใช้เวลาอยู่กับตนเองเป็นส่วนใหญ่
การที่หนานกงฉีอวิ๋นมีนิสัยเช่นนี้ หนานกงสือเยวียนไม่คิดจะบังคับให้เขาแก้ไขมัน อย่างไรเสียเขาก็ยังมีบุตรชายคนอื่นอยู่ เจ้าสามชอบสิ่งใดก็ให้เขาทำในสิ่งที่ชอบไปเถิด
เมื่อรายงานจบ หนานกงฉีอวิ๋นก็มอบฎีกาให้เสด็จพ่อ ก่อนจะหันพาเสี่ยวเป่าวิ่งหนีออกไปด้วยความเร็วสูง
หนานกงสือเยวียนมองตามแผ่นหลังเจ้าสามที่ลักพาตัวบุตรสาวของเขาไปหน้าตาเฉย
กล้ามาก!
“พี่สาม ไยพวกเราต้องรีบออกมาด้วย”
นางยังไม่ได้ทักทายท่านพ่อเลย
เสี่ยวเป่าที่จู่ ๆ ก็ถูกพาตัวออกมายังคงสับสน
ท่ามกลางหิมะขาวโพลน หนานกงฉีอวิ๋นจ้องมือของตนที่กำลังจับมือเสี่ยวเป่าไว้แน่นด้วยสายตาว่างเปล่า เส้นผมบนศีรษะพลันลุกซู่ทันที
เขาทรุดตัวลงนั่งกอดเข่าเงียบ ๆ พลางมองตำหนักฉินเจิ้งด้วยสายตาสิ้นหวัง
แย่แล้ว แย่แน่ ๆ เขาประหม่าจนเผลอพาน้องสาววิ่งออกมา เสด็จพ่อ… เสด็จพ่อคงไม่ลงโทษเขาหรอกนะ
ฮือ!!!
เสี่ยวเป่านั่งลงข้างเขาแล้วยื่นหน้าเข้าไปมองพี่สามใกล้ ๆ ด้วยสายตาสับสน “พี่สามเป็นอันใดไป”
หนานกงฉีอวิ๋น : ข้าต้องตายแน่ ๆ
เขาค่อย ๆ เงยหน้ามองเสี่ยวเป่า “น้องหญิง เจ้ารีบกลับไปทักทายเสด็จพ่อดีหรือไม่”
ชายหนุ่มยังพยายามคิดหาวิธีที่พอจะแก้ไขความผิดพลาดในคราวนี้
เสี่ยวเป่าได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ “ทำไมเล่า ไหน ๆ พวกเราก็ออกมาแล้ว พี่สาม เราไปดูตุ๊กตาดินเผากันเถอะ เสี่ยวเป่าค่อยมาหาท่านพ่อทีหลังก็ได้”
หนานกงฉีอวิ๋นสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก้มหน้าจับมือน้องสาว แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงหดหู่
“เอาเช่นนั้นก็ได้”
เสี่ยวเป่าถามอย่างสงสัยปนกังวล “พี่สามเป็นอันใด หรือว่าท่านไม่สบาย”
“พี่สามก้มลงมาให้เสี่ยวเป่าแตะหน้าผากดูหน่อยเพคะ”
“ข้าสบายดี”
“หรือว่าท่านพักผ่อนไม่เพียงพอ?”
“พักผ่อนพอแล้ว”
“เช่นนั้นท่านก็หิว ยังไม่ได้กินข้าวเช้าหรือ เราไปหาของกินที่ห้องเครื่องกันเถิดเพคะ”
เสี่ยวเป่าคาดเดาไปเรื่อย และนางก็ไม่รอช้า รีบลากพี่สามไปที่ห้องเครื่องเพื่อตามหาของกิน ถุงผ้าใบเล็กที่นางพกติดตัวเสมอพลันเต็มไปด้วยขนมมากมาย ส่วนมือเล็ก ๆ ทั้งสองข้างก็ไม่ว่างเว้น
หนานกงฉีอวิ๋นยกซาลาเปาในมือขึ้นมากัดด้วยท่าทางเหม่อลอย
“พี่สาม?”
หนานกงฉีอวิ๋นลูบหัวนางพลางเอ่ยเสียงแผ่ว “ข้าไปมาคราวนี้ ได้เห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็นมามากมาย”
หนานกงฉีอวิ๋นผู้เติบโตในพระราชวังและไม่เคยออกจากเมืองหลวงมาก่อน ไม่เคยรู้เลยว่าในใต้หล้านี้จะมีคนยากจนข้นแค้นถึงเพียงนั้น
เมื่อก่อนเขาคิดว่าตนเองไม่มีเสด็จแม่คอยโอบอุ้ม ได้แต่เฝ้าอิจฉาเหล่าพี่น้อง นับว่าเป็นชีวิตที่แสนลำเค็ญแล้ว
ทว่าพอเขาได้พบกับผู้คนมากมายที่ต้องหิวและหนาวตาย บ้านดี ๆ สักหลังก็ยังไม่มีให้ซุกหัวนอน เขาพลันตระหนักได้ว่าตนนั้นโชคดีเพียงใด
“ผู้คนส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในบ้านที่มุงด้วยฟาง พอถึงหน้าหนาว บ้านของพวกเขาก็ไม่อาจต้านทานลมหนาวได้ ซ้ำในยามที่หิมะตกหนัก ผู้คนมากมายก็ไม่มีเสื้อผ้าดี ๆ ใส่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการใช้ถ่านจุดไฟคลายความหนาวเหน็บ ฤดูหนาวสำหรับคนเหล่านั้นถือเป็นบททดสอบแห่งชีวิต บททดสอบระหว่างความเป็นและความตาย”
ในขณะที่พูด สายตาเขาก็ทอดมองไปนอกเมืองหลวง ในมือมีซาลาเปาร้อน ๆ กลิ่นหอมกรุ่น ทว่ากลับดูไร้รสชาติ
“ข้าอยากช่วยพวกเขา แต่ไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไร”
ในยามที่ต้องเผชิญหน้ากับความเป็นความตาย หนานกงฉีอวิ๋นถึงได้รู้ว่าตัวเขานั้นช่างอ่อนแอและไร้ประโยชน์มากเพียงใด