ตอนที่ 489 โลกกลม ตอนที่ 490 อายุปานนี้

ข้าอาศัยทำนาให้ร่ำรวยมหาศาล

ตอนที่ 489 โลกกลม

ซ่งอิงรู้ว่าซ่งสวินรู้จักประพฤติตน แม้ว่าตนมีอาภรณ์ดีๆ หลายชุดก็จะไม่เลือกนำออกมาสวมใส่ในเวลานี้

นางเป็นคนครอบครัวเดียวกับซ่งสวิน ในเมื่อเป็นบุตรจากครอบครัวเดียวกัน อาภรณ์ที่สวมใส่ก็ย่อมต้องมีคุณลักษณะและราคาเช่นเดียวกันจึงจะถูก หากต่างกันมากเกินไปจะกลายเป็นแปลกประหลาดเอาได้

ทั้งสามคนนั่งรถลาออกเดินทางไป

บ้านตระกูลลู่ตั้งอยู่ทำเลที่อยู่ผู้ร่ำรวยชนชั้นสูงที่สุดในตัวอำเภอหลี่และผ่านเส้นทางการค้า ส่วนใหญ่เป็นรถม้าแทบทั้งหมด มีเพียงซ่งอิงทางด้านนี้เป็นรถลาจึงดูสะดุดตาอย่างยิ่ง

ยามที่เคลื่อนเข้าใกล้บ้านตระกูลลู่ ต้องผ่านหน้าประตูจวนฮั่วเสียก่อน

“ต้าเหริน นั่นมิใช่…” ฮั่วซื่อเซี่ยงตกตะลึง “นั่นคือฮั่วฮูหยินกระมังขอรับ”

ฮั่วเจ้ายวนเพิ่งกลับมาจากด้านนอก ตอนนี้กำลังจะพ้นเข้าประตู ครั้นหันไปมอง แววตาคู่นี้ปรากฎความดีใจขึ้นมาอย่างหักห้ามไม่ได้

เป็นลาของนางจริงๆ ด้วย

คนที่นั่งรถลาได้อย่างสง่างามปานนี้ คาดว่าก็มีเพียงนางเท่านั้นเช่นกัน

“ดูเหมือนกำลังมุ่งหน้าไปจวนลู่นะขอรับ” ฮั่วซื่อเซี่ยงกล่าวขึ้นอีกครั้ง

ฮั่วเจ้ายวนส่งเสียง ‘อืม’ เมื่อพ้นประตูเข้ามาและเดินไปได้สามสี่ฝีก้าว “สืบถามดูหน่อยว่าวันนี้ตระกูลลู่มีงานครื้นเครงอันใด หรือว่า…ต้องการซื้อของอะไร”

ฮั่วซื่อเซี่ยงรีบพยักหน้าทันควัน

จากนั้นไม่นานนักก็เขากลับเข้ามา “คนที่รับหน้าที่ซื้อหาสิ่งของเข้าจวนกล่าวว่าวันนี้คุณชายตระกูลลู่และคุณหนูจัดงานเลี้ยง เขิญสหายคนสนิทมาร่วมชมดอกเบญจมาศกันขอรับ”

ฮั่วเจ้ายวนครุ่นคิด เมื่อครู่รถลาคันนั้นมีดอกไม้สองกระถางถูกผ้าดำคลุมเอาไว้อยู่จริงๆ

เมื่อกล่าวเช่นนี้ นางก็คือแขกสินะ

ฟากนั้น ซ่งสวินยื่นบัตรเชิญ จากนั้นทั้งสามคนก็ได้รับการต้อนรับเดินพ้นประตูเข้าไป

เหล่าผู้คุ้มกันประจำบ้านตระกูลลู่น่าจะถูกย้ำเตือนเอาไว้แล้ว ดังนั้นยามที่มองเห็นพวกซ่งอิงทั้งสามคน ล้วนไม่เผยสีหน้าดูถูกเหยียดหยามใดๆ ทั้งสิ้น ถึงขั้นมีคนเดินเข้ามาหาแล้วช่วยนำลาตัวนี้ของซ่งอิงไปดูแลให้เป็นการเฉพาะอีกด้วย

เมื่อมองไปยังประตูอีกครั้งก็เต็มไปด้วยรถม้าที่ทยอยตามๆ กันมา

ตอนที่ซ่งอิงลงจากรถ มีอีกคนลงมาจากรถเช่นกันพอดี

เมื่อสบตากัน สีหน้าของคุณหนูผู้นั้นพลันซีดเผือดและเรือนร่างโอนเอนเล็กน้อย

หนิวต้าลี่ถลึงตาเขม็ง บนใบหน้าปรากฏสีเดงระเรื่อจากความโกรธเกรี้ยวขึ้นมา นางสบถฮึแล้วหันหน้าหนีไป

ซ่งอิงจำแม่นางผู้นั้นได้ นางก็คือหญิงผู้นั้นที่ตอนแรกนั่งรถลาของนางมาพร้อมกับหนิวต้าลี่…

“ไฉนพวกนางจึงอยู่ที่นี่” กระทั่งหลังจากพวกซ่งอิงทั้งสามคนเข้าไป แม่นางสวี่ก็เอ่ยเสียงกระซิบถามข้ารับใช้ของจวนลู่

“ท่านหมายถึงพี่น้องตระกูลซ่งหรือขอรับ นั่นเป็นแขกคนสำคัญที่คุณชายพวกเราเชิญมา ไม่ต่างกับท่าน ล้วนมาร่วมงานเลี้ยงชมดอกเบญจมาศทั้งนั้นขอรับ” ข้ารับใช้กล่าวอย่างหน้าตาเฉย

ที่มาในวันนี้ แน่นอนว่าเป็นแขกเหรื่อกันทั้งนั้น

“เป็นไปได้อย่างไรกัน คนผู้นั้น…นั่งรถลา ก็แค่สตรีชนบทคนหนึ่งกระมัง” คุณหนู่สวี่ไม่เข้าใจ

นางก็เคยนั่งรถลาคันนี้ในตอนนั้น! แม้ว่าสะอาดสะอ้าน แต่สัตว์เดรัจฉานประเภทนนี้เมื่อมาอยู่ตรงหน้า และไม่มีหลังคารถพร้อมผนังกั้นข้างที่ช่วยบดบัง นางเป็นอันต้องกังวลใจว่าสัตว์ตัวนั้นจะไม่รู้ความ เดินๆ อยู่ก็ถ่ายของเสียออกมา

ข้ารับใช้รับบัตรเชิญมาแล้ว ย่อมรู้เช่นกันว่าแม่นางผู้นี้นามอันใด จึงกล่าว “คุณชายท่านนั้นเป็นสหายคนสนิทร่วมชั้นเรียนของนายน้อยพวกเราขอรับ”

คุณหนู่สวี่ได้ยินดังกล่าวพลันรู้สึกสับสนในใจเล็กน้อย

วันนี้จำเป็นต้องให้คุณหนูตระกูลลู่เชื้อเชิญนางจึงออกจากบ้านได้ มิเช่นนั้นตอนนี้คงยังต้องถูกบิดามารดากังขังอยู่ในบ้านเพื่อสำนึกผิดอยู่อีก

แต่นานขนาดนี้แล้ว นางกลับยังไม่ลืมเรื่องปีศาจวัวตนนั้น…

ยิ่งไปกว่านั้น คิดไม่ถึงว่าวันนี้เพิ่งออกจากบ้านมาได้ก็เจอเข้ากับปีศาจวัวตนนั้นเข้าแล้ว…

คุณหนูสวี่อยากจะกลับหลังหันเดินจากไป แต่ก็กลัวว่าจะสร้างความไม่พอใจให้กับตระกูลลู่ นางขบคิดอยู่นานพอตัว ก่อนจะทำได้เพียงกลั้นใจฝืนเดินเข้าไป เมื่อไปถึงลานบ้านก็ค้นพบว่ามีสหายคนสนิทสามสี่คนมาถึงกันแล้ว

มีคนอยู่เป็นเพื่อนก็ค่อยโล่งใจขึ้นหน่อย เพียงแต่แววตาคู่นี้กลับยังคงอดมองไปทางด้านซ่งอิงไม่ได้

“พี่สวี่ ท่านประหลาดใจในฐานะตัวตนของสตรีผู้นั้นเช่นกันใช่หรือไม่” มีคนที่อยู่ข้างๆ อดเอ่ยถามขึ้นมาไม่ได้ “วันนี้ที่มาเยือนล้วนเป็นแม่นางหญิงสาวที่ยังไม่ได้ออกเรือน แต่กลับเป็นนางที่เป็นหญิงซึ่งแต่งงานแล้ว แล้วยังคลุมผ้าปิดบังใบหน้าอีกด้วย นี่ช่างประหลาดจริงๆ ไม่รู้เช่นกันว่าน้องสาวตระกูลลู่คิดอย่างไรจึงเชิญคนเช่นนี้มา จะพูดคุยไปกับพวกเราได้หรือ”

ตอนที่ 490 อายุปานนี้

คุณหนูสวี่มองหนิวต้าลี่ที่อยู่ข้างกายซ่งอิง ครุ่นคิดชั่วครู่แล้วกล่าว “เพียงแต่ได้ยินว่านางแซ่ซ่ง เป็นน้องสาวของคุณชายลู่สหายร่วมห้องเรียน”

“แท้จริงแล้วเป็นเช่นนี้นี่เอง ข้าก็ว่า ไฉนตระกูลลู่จึงมีสหายที่อัปลักษณ์เช่นนี้ แท้จริงแล้วเป็นน้องสาวของสหายร่วมห้องเรียนนี่เอง เช่นนั้นคาดว่าก็คงไม่เคยเห็นงานเลี้ยงลักษณะเช่นนี้มาก่อน จึงหน้าด้านมาร่วมสนุกสนานด้วย” คุณหนูกัวที่อยู่ข้างๆ ป้องปากพลางส่งเสียงหัวเราะ “ดูเสื้อผ้าที่นางสวมสิ ไม่เข้าท่าเลยสักนิด น่าเกลียดสุดๆ เลยจริงๆ”

คุณหนูสวี่อ้าปาก แต่ท้ายที่สุดก็เลือกกลืนคำพูดลงไปอีกครั้ง

อาภรณ์ที่แม่นางซ่งสวมใส่อยู่นี้เป็นเพียงผ้าแพรอย่างธรรมดาทั่วไป ไม่เหมือนพวกนาง ที่สวมอยู่ล้วนเป็นผ้าแพรที่ดูดีมีรสนิยมอย่างที่สุด

แล้วยังมีกิ๊บที่ติดบนศีรษะแม่นางซ่งผู้นั้นอีก ดูธรรมดาไปหน่อยจริงๆ

ซ่งอิงนั่งอยู่บริเวณหนึ่งโดยไม่พูดไม่จามาโดยตลอด เพียงแค่กวาดตามองรอบสารทิศ ไม่นานนักคุณหนูลู่ผู้นั้นก็มาเยือน

คุณหนูลู่ผู้นี้เป็นบุตรต่างมารดากับลู่ข่าย เป็นผู้ที่เกิดจากอนุภรรยาแต่กลับได้บันทึกชื่อใต้นามมารดาหลวง อายุน้อยกว่าลู่ข่ายเล็กน้อย มารดาผู้ให้กำเนิดเสียชีวิตไปเนิ่นนานแล้ว ดังนั้นมีความสัมพันธ์ที่ยอดเยี่ยมกับมารดาผู้เป็นภรรยาหลวง ยิ่งไปกว่านั้นก็เชื่อฟังคำพูดของลู่ข่ายอย่างยิ่ง

นางอายุประมาณสิบห้าสิบหกปีเห็นจะได้ ดวงตาดุจเมล็ดซิ่ง ดูมีชีวิตชีวา บนใบหน้าเผยความอวบอิ่มอ่อนเยาว์เช่นทารก มองดูร่าเริ่งอย่างยิ่ง เป็นเด็กสาวที่น่ารักน่าเอ็นดูมากคนหนึ่ง

ครั้นนางปรากฏตัวออกมาก็ปรี่มาหาซ่งอิงทันที กลีบปากเล็กๆ อ้าขึ้นเอ่ยปากทันทีที่มาถึง “ท่านก็คือพี่ซ่งกระมัง พี่ชายข้าให้ข้าดูแลท่านให้ดีๆ เจ้าค่ะ!”

ซ่งอิงยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย “แม่นางลู่”

“ข้าอายุน้อยกว่าท่าน ท่านเรียกชื่อข้าก็เป็นอันใช้ได้แล้ว ข้านามว่าเล่อหลิง” ลู่เล่อหลิงกล่าวภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส

เมื่อพูดจบก็อดกวาดตามองซ่งอิงเล็กน้อยไม่ได้

เดิมทีนางมาเร็วหน่อยได้ แต่ก็เพราะพี่ชายนางเอาแต่กังวลใจ บอกกล่าวนางซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ตลอดว่าอย่าได้ไร้มารยาทต่อน้องสาวของคุณชายซ่งเชียว!

นางอดคิดในใจไม่ได้เลยว่า แม่นางซ่งผู้นี้เป็นเซียนสวรรค์คนหนึ่งหรือไร มิเช่นนั้นพี่ชายนางจะวิตกกังวลถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกันเล่า

ทั้งงานเลี้ยงมีเพียงแม่นางซ่งคนเดียวที่ทำมวยผมเช่นหญิงออกเรือนแล้ว ดังนั้นนางมองปราดเดียวก็มองออกได้

แต่คิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะมีผ้าคลุมหน้าผืนบางอีกด้วย ดวงตาคู่นั้นจะว่าไปก็งดงามดี แต่ส่วนใบหน้ามองไม่ออกสักเท่าไรจริงๆ

อีกทั้ง…

หน้าผากของพี่สาวคนนี้คล้ายว่ามีร่องรอยแผลเป็นอีกด้วย เห็นรอยแผลเป็นแต่ไม่ได้สำคัญเป็นพิเศษ แต่หากเข้าใกล้อีกหน่อยก็ยังมองออกได้

“พี่ซ่งอยู่ที่นี่ไม่ต้องเกรงใจไป หากมีความต้องการอันใดก็แค่บอกสาวใช้ที่อยู่ข้างๆ ได้เลย” ลู่เล่อหลิงยิ้มแล้วกล่าวอีกครั้ง “อีกเดี๋ยวบรรดาบุรุษก็มากันแล้ว เพียงแต่มีฉากกั้นลมกั้นกลางระหว่างพื้นที่ หากพี่ซ่งต้องการสื่อสารกับคุณชายซ่งก็เรียกหาสาวใช้ได้เลยเจ้าค่ะ”

ซ่งอิงพยักหน้า “รบกวนน้องลู่ด้วย”

ลู่เล่อหลิงคลี่ยิ้มกว้าง จากนั้นก็รีบไปต้อนรับขับสู้แขกเหรื่อคนอื่นๆ

ซ่งอิงยามนี้ถูกคนจับจ้องไม่น้อย อย่างไรเสียแม่นางลู่ผู้นี้เพิ่งโผล่หน้าออกมาก็ดูสนิทสนมกับนางเช่นนี้แล้ว เห็นได้ว่าพี่ชายของนางผู้นั้นสนิทสนมกับคุณชายลู่เพียงใด

บิดาของลู่เล่อหลิงเป็นถึงขุนนางในเมืองหลวง อีกทั้งวงศ์ตระกูลลู่อยู่ในอำเภอหลี่ก็นับว่าเป็นวงศ์ตระกูลที่มีหน้ามีตา มีรากฐานที่มั่นคง คนที่อยากประจบสอพลอมีจำนวนไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร

โดยเฉพาะลู่ข่ายผู้นั้น เป็นผู้มากด้วยพรสวรรค์ความสามารถและยังไม่ได้หมั้นหมาย อยู่ท่ามกลางสตรี มีผู้คนไม่น้อยหมายปองเขา

“ไม่ทราบว่าพี่ชายของแม่นางซ่งมีเกียรติคุณอันใดติดตัวหรือ” มีคนที่ใจกล้าเดินเข้ามาเอ่ยถาม

เชื่อมมิตรกับลู่ข่ายได้ ไม่แน่ว่าจะเป็นคนหนึ่งที่มากด้วยพรสรรค์และความสามารถเช่นกัน

“ไม่มีเกียรติคุณอันใด” ซ่งอิงกล่าวอย่างหน้าตาเฉย

อีกฝ่ายนิ่งอึ้งไป “แม่นางซ่งอายุปานนี้แล้ว เช่นนั้นพี่ชายท่านมิใช่ว่าอายุมากกว่าหน่อยหรอกหรือ แต่กลับยังสอบไม่ได้เกียรติคุณอันใดเลย?”

“…” อายุปานนี้แล้ว?

เมื่อพ้นปีใหม่ นางเพิ่งอายุสิบแปดปีเองกระมัง หากอยู่บนโลกยุคปัจจุบันก็ยังเป็นสาวน้อยวัยแรกแย้มด้วยซ้ำ…

แต่ทว่า แม่นางที่อยู่ ณ ที่นี้มองดูอายุน้อยๆ กันทั้งนั้นจริงๆ บางส่วนมองดูเพิ่งอายุสิบสี่สิบห้าเท่านั้น มีเพียงสามคนที่มองดูอายุพอประมาณกับนาง และคนเหล่านี้คาดว่าก็คงหมั้นหมายแต่เนิ่นๆ แล้วเช่นกัน