บทที่ 254 คนนับร้อยคุกเข่าคารวะ

มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง

มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 254 คนนับร้อยคุกเข่าคารวะ

เวลานี้ ภายในสนามกีฬาแห่งนี้ ได้พังทลายลงอย่างหนักแล้ว ลมภายนอกพัดผ่านช่องรูเข้ามาด้านใน แต่ทุกคนในสถานที่แห่งนี้ ก็ยังไม่มีใครที่กล้าเคลื่อนไหว

เหยาเผิงสนิทสนมคุ้นเคยกับมู่เซิ่งมากที่สุด และมีปฏิกิริยาที่รวดเร็วที่สุด เขารีบวิ่งลงมาจากแท่นที่นั่งของผู้ชมอย่างทุลักทุเลทันที “คุณมู่ พลังความสามารถของท่านยิ่งใหญ่ไร้เทียมทานอย่างแท้จริง การที่ฉันสามารถอยู่ติดตามข้างกายท่านนั้น ถือเป็นเกียรติที่ได้สะสมมาหลายชั่วอายุคนเลย”

เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดดังกล่าวแล้ว ก็อดที่จะตะลึงไม่ได้ แอบพูดกันว่าเหยาเผิงเป็นคนเจ้าเล่ห์ ยอดฝีมือที่เชิญมาในครั้งนี้ ไม่นึกว่าจะเป็นเจ้านายของเขาเอง

แต่ในเวลานี้ พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะคิดอะไรได้ทันการณ์แล้ว จึงได้ทยอยแสดงความเคารพอย่างนอบน้อม ต่อมู่เซิ่ง:

“คุณมู่เป็นยอดฝีมือที่ยิ่งใหญ่ไร้เทียมทานอย่างแท้จริง ตระกูลจูของฉัน ยินยอมพร้อมใจที่จะติดตามและปฏิบัติตามคำสั่งของคุณมู่ตลอดไป”

“คุณมู่ เพียงแค่ท่านเอ่ยคำเดียว ไม่ว่าจะบุกน้ำหรือลุยไฟ ฉันท่านเยี่ยนห้าจะไม่ชักช้าหวาดหวั่นอย่างแน่นอน! ”

ทุกคนต่างก็ทยอยคุกเข่าลงโดยพร้อมเพรียงกัน และพูดกล่าวในสิ่งที่แตกต่างกันไป แต่ก็จะมีหัวข้อเรื่องที่เหมือนกัน นั่นก็คือคุณมู่เก่งกาจไร้เทียมทาน คำพูดของเขา ทุกคนไม่กล้าที่จะไม่ปฏิบัติตาม!

หลังจากที่ทุกคนตะโกนพูดกันเสร็จแล้ว ก็คุกเข่าอย่างสงบนิ่ง เพื่อรอคำตอบจากมู่เซิ่ง

อาศัยพลังความสามารถของตนเอง ในการสังหารหลินยิงโส่ว มู่เซิ่งแสดงให้เห็นว่าเขามีความสามารถดังกล่าว ทำให้พวกเขาทุกคนต่างยอมรับและเคารพในตัวเขา

มู่เซิ่งยืนอยู่บนสังเวียน ชุดคลุมยาวปลิวพัดพึบพั่บ เขามองไปยังผู้ยิ่งใหญ่มีอิทธิพลแต่ละคนที่กำลังคุกเข่าอยู่ด้านหน้าของเขา คนนับร้อยที่กำลังคุกเข่าอยู่นี้ ช่างเป็นภาพที่งดงามยิ่งใหญ่เหนือจะบรรยาย

นอกจากนี้ ทุกคนก็ยังคงคุกเข่าบนพื้นอยู่อย่างนั้น หากมู่เซิ่งไม่เอ่ยปาก แม้แต่ถอนหายใจพวกเขาก็ยังไม่กล้าเลย

“ลุกขึ้นเถอะ” ผ่านไปชั่วครู่ มู่เซิ่งก็เอ่ยปากขึ้น

“ขอบคุณคุณมู่มาก” ผู้ยิ่งใหญ่มีอิทธิพลเอ่ยปากขึ้น หลังจากที่กล่าวขอบคุณแล้ว พวกเขาจึงกล้าที่จะลุกยืนขึ้น แม้ว่ามู่เซิ่งจะยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสงบนิ่ง แต่ก็ไม่มีใครกล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมอง ต่างก็ก้มหน้าลง และครุ่นคิดไปต่าง ๆ นา ๆ

“ที่ฉันมาในครั้งนี้ ก็เพื่อเข้าร่วมการประลองยุทธ์ โดยการประลองยุทธ์ในครั้งนี้ ถือว่าฉันเป็นฝ่ายชนะแล้วใช่ไหม? ” มู่เซิ่งสอบถามขึ้น

“แน่นอนว่าคุณมู่เป็นฝ่ายชนะแล้ว”

ตอนนี้ ใครยังจะกล้าโต้แย้งคำพูดของมู่เซิ่งล่ะ

“อย่างนั้นโครงการในต่างประเทศที่ตระกูลต้วนชนะประมูลนั้น ก็กลับคืนมาเป็นของบริษัทเหวินเฟิงแล้วใช่ไหม? ” มู่เซิ่งถามขึ้นอีกครั้ง

เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าวแล้ว ต้วนหนานหมิงก็มีสีหน้าที่ย่ำแย่ลงมาก ครั้งนี้ เขาถึงขั้นขาดทุนทั้งขึ้นทั้งล่อง แต่เขาก็ทำได้เพียงพยักหน้า และพูดว่า: “ถูกต้อง ต่อไปโครงการทั้งหมดนั้น ต่างก็เป็นของบริษัทเหวินเฟิงแล้ว”

ขณะที่พูดคำนี้ออกมา ก็มีเลือดไหลออกมาจากหัวใจของต้วนหนานหมิงด้วยเช่นกัน

ผู้คนอื่น ๆ ต่างก็เจ็บปวดใจอย่างมาก เพราะในโครงการดังกล่าว ก็มีโครงการของบริษัทพวกเขารวมอยู่ด้วย

เหยาเผิงเป็นคนที่ตื่นเต้นดีใจที่สุดในบรรดาผู้คนทั้งหมดนี้แล้ว

หลายปีก่อนหน้านี้เขาก็ได้ติดตามคุณมู่แล้ว ตอนแรกก็ยังรู้สึกผิดหวังเสียใจอยู่บ้าง เพราะบริษัทใหญ่ที่ตนเองได้ก่อตั้งขึ้นมานั้น กลับต้องจำยอมมอบให้กับคนอื่นไป แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า จะได้รับผลกำไรตอบแทนอย่างงามเลยทีเดียว

ปรมาจารย์ฟางที่นั่งอยู่ด้านล่าง เวลานี้ ก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไรมากอีกแล้ว

ในใจของเขานอกจากจะตกตะลึงแล้ว ก็คือยิ่งตกตะลึงหนักขึ้นไปอีก

แม่งสิ เดิมทีคนที่นั่งอยู่ด้านข้างของฉัน ไม่นึกว่าจะเป็นนักเสวียน ก่อนหน้านี้ฉันยังเคยได้พูดคุยกับนักเสวียนด้วย หากพูดแบบนี้ออกไป จะมีคนเชื่อบ้างไหม? หากรู้ตั้งแต่แรกก็คงจะพูดคุยกับเขามากหน่อยแล้ว ไม่แน่ว่าตอนนี้อาจจะสามารถเป็นคนรับใช้ข้างกายของเขาได้บ้าง

แทบจะเวลาเดียวกัน เหมียวหยุนจื่อก็ได้คลานลงมาจากคานหาม แขนของเขาใช้การไม่ได้แล้ว แต่ก็ยังสามารถเดินได้ ดังนั้นจึงเดินก้าวเข้าไปที่เบื้องหน้าของมู่เซิ่งอย่างรวดเร็ว

“คุณมู่ ก่อนหน้านี้ฉันมีตาแต่หามีแววไม่ จึงได้ล่วงเกินคุณไปอย่างมาก คุณเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่มีจิตใจกว้างขวาง ถือเสียว่าฉันเป็นเพียงแค่ผายลมก็แล้วกันเถอะ? ” เหมียวหยุนจื่อคุกเข่าลงให้กับมู่เซิ่งดังพั่บ พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ตื่นตระหนก

ใบหน้าของเขาในตอนนี้ ปวดแสบปวดร้อนอย่างที่สุด

ตั้งแต่ที่พบเจอกับมู่เซิ่ง เขาก็ดูถูกเหยียดหยามมู่เซิ่งครั้งแล้วครั้งเล่า หลังเกิดเรื่องจมน้ำแล้ว ก็ยังจงใจเยาะเย้ยถากถางมู่เซิ่ง ให้เขานั่งอยู่ด้านล่าง เพื่อดูตนเองเอาชนะการประลองยุทธ์ก็พอแล้ว ในตอนนั้นมู่เซิ่งไม่ได้โต้แย้งเขา เหมียวหยุนจื่อก็นึกว่าเขาหวาดกลัว ไม่กล้าพูดอะไร ตอนนี้ดูเหมือนว่า มู่เซิ่งก็แค่ไม่อยากสนใจในตัวเขาเองก็เท่านั้น

เมื่อนึกถึงว่าตนเองเคยทำตัวเยาะเย้ยถากถางต่อหน้าของนักเสวียนคนหนึ่งแล้ว เหมียวหยุนจื่อก็ทนไม่ได้อยากที่จะฉีกปากของตนเองให้ขาดสะบั้นเดี๋ยวนี้เลย

ถ้าหากไม่ใช่เพราะปากที่ย่ำแย่ของเขานี้ เส้นสายความสัมพันธ์ของเขากับเหยาเผิงนั้น บางทีอาจจะสามารถเชื่อมความสัมพันธ์กับมู่เซิ่งบ้างก็เป็นไปได้

เหมียวหยุนจื่อทั้งตกใจและหวาดกลัว จึงรีบคุกเข่าลงกับพื้นและพูดอ้อนวอนว่า: “คุณมู่ ขอให้คุณไว้ชีวิตฉันเถอะ ต่อไปนี้ ฉันก็จะเป็นสุนัขรับใช้ตัวหนึ่งของคุณ”

ตอนนี้ ในใจของเขาเหลือเพียงแค่ความคิดที่จะมีชีวิตรอดอยู่ต่อไปเท่านั้น

“จะเป็นสุนับรับใช้ฉันเหรอ? นายยังไม่คู่ควร” มู่เซิ่งพูดขึ้น

นี่คือคำดูถูกเหยียดหยามที่รุนแรง แต่เหมียวหยุนจื่อก็ไม่กล้าที่จะโต้แย้ง เขากัดฟัน แล้วก็แสดงท่าทางราวกับว่าได้ตัดสินใจอะไรขึ้นโดยพลัน จากนั้นก็ยกมือซ้ายขึ้น แล้วทุบตีลงไปที่ต้นขาของตนเองอย่างรุนแรง

แกร็กกก!

ขาของเขา หักและเสียรูป แม้แต่กระดูกภายในก็แตกละเอียดไปหมดแล้ว

“คุณมู่ ขอร้องให้คุณไว้ชีวิตฉันด้วยเถอะ” เหมียวหยุนจื่อเจ็บปวดจนใบหน้าขาวซีด และพูดขึ้นอย่างอดทน

มู่เซิ่งมองดูเล็กน้อย และพูดขึ้นว่า: “ถือว่าให้เกียรติเห็นแก่หน้าของเหยาเผิง ฉันจะไว้ชีวิตนายหนึ่งครั้ง แต่จะไม่มีครั้งหน้าอีกเด็ดขาด ไสหัวไปเถอะ! ”

“ขอบคุณคุณมู่ ขอบคุณคุณมู่”

หลังจากที่เหมียวหยุนจื่อคำนับศีรษะลงไปที่พื้นแล้วสามครั้ง ก็ได้ลากขาที่หัก เดินกระเผลกออกไปจากสนามกีฬา

ตั้งแต่ต้นจนจบ ก็ไม่มีใครกล้าที่จะออกมาพูดอะไรเลยสักคำ

“คุณมู่ แล้ว เรื่องของตระกูลต้วนล่ะ? ” เหยาเผิงที่อยู่ด้านข้างได้สอบถามขึ้นอย่างระมัดระวัง

ถ้าพูดกันตามปกติแล้ว การที่ตระกูลต้วนมาประกาศศักดาความยิ่งใหญ่ที่นี่ และถือครองโครงการในต่างประเทศไปจำนวนมากนั้น หลังจากที่ล้มเหลวในครั้งนี้ บริษัทในเมืองเยียนจิงส่วนใหญ่ก็คงจะไม่ปล่อยตระกูลต้วนไปแน่ แต่เวลานี้มู่เซิ่งอยู่ที่นี่ พวกเขาต่างก็จะรับฟังคำสั่งของมู่เซิ่งทั้งหมด

“ตระกูลต้วน? ฉันไม่สนใจ พวกนายจัดการกันเองแล้วกัน” ที่มู่เซิ่งมาในครั้งนี้ ก็เพื่อผลกำไรการค้าเครื่องประดับในต่างประเทศ ดังนั้นเรื่องอื่น เขาจึงไม่สนใจเลย หลังจากที่ส่ายมือไปมาแล้ว ก็หันหลังและเดินจากไป

เหยาเผิงรีบคุกเข่าลง และพูดว่า: “รับทราบ คุณมู่”

……

ในคืนวันนั้น ผู้ยิ่งใหญ่มีอิทธิพลหลายสิบคนในเมืองเยียนจิง ก็ได้เลี้ยงสังสรรค์ให้กับเหยาเผิง ส่วนมู่เซิ่งมีธุระที่ต้องไปจัดการ ดังนั้นพวกเขาหวังว่าจะสามารถอาศัยเหยาเผิงเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์กับมู่เซิ่งได้ และยังมีกลุ่มคนจำนวนมากที่รออยู่หน้าประตู แม้แต่สิทธิในการร่วมทานอาหารก็ยังไม่มีเลย

ต้องจำยอม เพราะนี่คือความสามารถของนักเสวียน ในตระกูลหนึ่ง หากว่ามีนักเสวียนหนึ่งคน ถ้าอย่างนั้นสถานะตระกูลของเขา ก็จะสามารถเลื่อนขั้นไปสู่ตระกูลอิทธิพลได้ในทันที กลายเป็นตระกูลอิทธิพลลำดับที่ห้าแห่งเมืองเยียนจิง

ช่วงกลางคืน คนจำนวนไม่น้อยต่างก็ทยอยมอบของขวัญให้กับเหยาเผิง บัตรธนาคารทีละใบทีละใบ อย่างน้อยน่าจะเกินร้อยล้านแล้ว การแข่งขันเลือกตั้งเจ้าบ้าน หากว่านำพวกบัตรธนาคารเหล่านี้ไปแจกจ่ายจริง ๆ ล่ะก็ คงจะสามารถเอาชนะคะแนนเสียงได้เกินครึ่ง

“สมุนไพรเหล่านี้ ฉันตั้งใจสรรหาให้คุณมู่โดยเฉพาะ น้ำใจเล็กน้อยนี้ ขอให้ประธานเหยารับไว้เถอะ” เจ้าบ้านตระกูลจูถือกล่องไม้ใบหนึ่ง และเอ่ยปากพูดขึ้น

“ฉันขอบคุณแทนคุณมู่ก็แล้วกัน” ประธานเหยาพยักหน้า และพูดว่า: “คุณมู่ไม่ได้เอ่ยปากอะไร แต่ก็เป็นสิ่งที่เขาสื่อออกมา หวังว่าเรื่องราวในวันนี้จะต้องปกปิดเป็นความลับ พวกคุณเข้าใจแล้วใช่ไหม? ”

“รับทราบ เป็นความต้องการของคุณมู่ ฉันจะต้องปฏิบัติตามอย่างแน่นอน”

ทุกคนพยักหน้าหงึก ๆ ราวกับเป็นลูกเจี๊ยบที่กำลังจกกินเมล็ดข้าวอย่างไรอย่างนั้น

มู่เซิ่งมีพลังความแข็งแกร่งระดับนี้ จะต้องเข้าสู่การเป็นนักเสวียนมานานแล้ว แต่พวกเขาไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนเลย ในเมืองเยียนจิง นอกจากตระกูลใหญ่ทั้งสี่แล้ว ก็ยังมีนักเสวียนดำรงอยู่อีก ซึ่งคงเป็นทางคุณมู่เองที่ไม่ต้องการเปิดเผยพลังความสามารถของตนเอง

คุณมู่เองก็ยังไม่ต้องการเปิดเผย ถ้าหากพวกเขาพูดโพล่งออกไป อย่างนั้นก็คงจะเป็นการรนหาที่ตายแล้วไม่ใช่เหรอ?

เหยาเผิงพยักหน้าอย่างยิ้มแย้ม และพูดต่อว่า: “ใช่แล้ว คุณมู่ยังชอบอ่านหนังสือบู๊โบราณด้วย ถ้าหากพวกคุณต้องการที่จะมอบของขวัญ ก็สามารถที่จะคิดพิจารณาไปทางด้านนี้ ใช่เลย ยังมี……”