ตอนที่ 369 มาถึงพื้นที่ของตระกูลซือ

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 369 มาถึงพื้นที่ของตระกูลซือ

ซือเหลิ่งเย่ว์เดินเหม่อลอยอยู่บนเส้นทางหยิน สำหรับผีร้ายที่ไม่ลืมหูลืมตาคิดร้าย อยากให้นางอยู่ที่นี่ ถูกสายตาของฉินหลิวซีจ้องมองจนต้องล่าถอยไป

“หากเจ้าเหม่อลอยอยู่ในเส้นทางหยินคนเดียว เจ้าก็คงต้องติดอยู่ที่นี่ออกไปไม่ได้แล้ว” ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเนือย “อย่าคิดมากเลย ความจริงเป็นอย่างไร พวกเราค่อยสืบก็รู้แล้ว”

ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ยขอโทษ เพียงข่าวนี้มากะทันหันเกินไป หากเป็นความจริง เช่นนั้นร้อยปีที่ผ่านมา เพื่อทำลายคำสาปนี้ อาจจะหาวิธีผิดมาโดยตลอด”

ฉินหลิวซีพยักหน้าเห็นด้วย “สามารถมองในมุมที่ดีได้ มีทิศทางใหม่ บางทีอาจหาที่มาที่แท้จริงของคำสาปได้ การแก้คำสาปก็จะง่ายขึ้น ไม่แน่ว่าคำสาปนี้อาจหยุดลงที่ยุคสมัยของเจ้าก็เป็นได้”

ซือเหลิ่งเย่ว์ยินดีขึ้นมา จับมือของนางเอาไว้อย่างระมัดระวัง เอ่ย “ซีซี เจ้าช่างเป็นคนที่มีค่าของข้าจริงๆ ไม่สิ เจ้าเป็นคนที่มาค่าของตระกูลซือของเรา”

หากไม่ได้รู้จักนาง ไหนเลยจะได้ยินข่าวเช่นนี้ ไหนเลยจะมีความหวังเรื่องการแก้คำสาป

คำทำนายของเทพธิดาซือชิ่งแห่งตระกูลนั้นถูกต้อง ในที่สุดก็มีคนถอนคำสาปของตระกูลข้า บนตัวของนางมีดอกบัวแห่งไฟนรก

ซือเหลิ่งเย่ว์คิดมาถึงตรงนี้ ใบหน้าที่เดิมเย็นชาดุจน้ำแข็ง มีความอบอุ่นเพิ่มขึ้นมา

ที่ตั้งของพื้นที่ของตระกูลซือมีความน่าสนใจอยู่บ้าง มันตั้งอยู่ระหว่างชายแดนชิงโจวและหนิงโจว ยอดเขายอดหนึ่งที่เรียกว่ายอดเขาอิ้นโหลว ที่เชิงเขามีหมู่บ้านหนึ่งชื่อว่าอู่ไจ้ หมู่บ้านนี้มีคนรับใช้ที่ซื่อสัตย์ของตระกูลซืออาศัยอยู่เป็นเวลาร้อยปี หนึ่งในหัวหน้าหมู่บ้านยังเป็นผู้ติดตามข้างกายของเทพธิดาซือชิ่งในตอนนั้น ยามนี้อายุได้เก้าสิบเจ็ดแล้ว

เมื่อยามที่เหล่าฉินหลิวซีมาถึง ฟ้าใกล้สางแล้ว ทว่ามีคนมารอรับอยู่หน้าหมู่บ้านอู่ไจ้อยู่ก่อนแล้ว มองเห็นซือเหลิ่งเย่ว์จึงคุกเข่าลงไป

“อูซังคารวะท่านผู้นำตระกูล”

ใช่แล้ว ผู้นำตระกูล ต่อให้ตอนนี้ซือเหลิ่งเย่ว์จะอายุเพียงสิบหกปีก็ตาม ทว่าเป็นทายาทเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลซือ เป็นผู้นำตระกูล

“ลุกขึ้นเถิด” ซือเหลิ่งเย่ว์ยกมือขึ้นมา โน้มตัวลงไปเล็กน้อย แนะนำฉินหลิวซี “ผู้นี้คืออาจารย์ปู้ฉิวแห่งอารามชิงผิงเมืองหลี”

อูซังเงยหน้ามองฉินหลิวซีเล็กน้อย อดที่จะซาบซึ้งขึ้นมาไม่ได้ ยกมือขึ้นประสาน “คารวะท่านอาจารย์ปู้ฉิว”

“ไม่ต้องมากพิธี”

ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ยกับฉินหลิวซี “นี่คือซุนอูลี่หัวหน้าหมู่บ้านรุ่นที่ห้า บ่าวรับใช้ข้างกายข้าที่ชื่ออาถูก็คือน้องสาวของเขา” นางเอ่ยจบ ก็หันไปถามอูซัง “ท่านพ่อมาแล้วหรือ”

“ท่านเขยถูมาได้สองวันแล้วขอรับ” อูซังเอ่ยตอบอย่างนอบน้อม “เดิมทีท่านปู่ไท่เฉิงก็อยากมาต้อนรับท่านและท่านอาจารย์ด้วยตัวเองขอรับ ทว่าสองวันมานี้สุขภาพร่างกายไม่ดีนัก และไม่รู้ว่าท่านจะมาถึงเวลาใด จึงต้องส่งข้ามารอที่หน้าหมู่บ้านแทน ท่านผู้นำตระกูลมิสู้เข้าไปล้างหน้าล้างตาพักผ่อนก่อนขอรับ”

อูซังไม่ได้รู้สึกตกใจที่ทั้งสองปรากฏตัวด้วยมือเปล่าและเท้าที่สะอาดสะอ้าน เห็นได้ชัดว่ารู้ล่วงหน้าแล้วว่าซือเหลิ่งเย่ว์จะเชิญผู้มีวิชามาช่วยตระกูลซือล้างคำสาป

อีกทั้ง ในเมื่อเขาเป็นบ่าวรับใช้ผู้ซื่อสัตย์รุ่นหลังของตระกูลซือ แน่นอนรู้จักคนเหล่านี้ที่อยู่บนโลกนี้ มีความสามารถเหนือจากคนธรรมดาทั่วไป อย่างไรตระกูลซือเดิมก็เป็นเผ่าพ่อมดที่มีฝีมือ

อูซังเดินนำอยู่ด้านหน้า พาทั้งสองเข้าไปในหมู่บ้าน

เวลานี้ท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้นแล้ว ในหมู่บ้านมีคนเดินไปมา อูซังเอ่ยขึ้นเพียงท่านผู้นำตระกูลมาถึงแล้ว ทุกคนพลันคุกเข่าสองข้างทางพร้อมเอ่ยว่าท่านผู้นำตระกูล

ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเบากับซือเหลิ่งเย่ว์ “การวางท่าของเจ้า ใช้ได้นี่”

เพียงมองภายนอก ผู้คนในหมู่บ้านนี้เคารพและซื่อสัตย์ต่อซือเหลิ่งเย่ว์มาก ไม่มีการดูหมิ่นต่อนางที่ไร้ทายาทหรือมีความคิดอื่นใด

แน่นอน นี่เป็นการมองจากมุมมุมหนึ่งเท่านั้น ทุกคนจะเป็นเช่นนี้หรือไม่ ยังต้องเก็บความคิดเห็นเอาไว้ก่อน

ผู้คนเดินออกมาคุกเข่าให้กับซือเหลิ่งเย่ว์มากขึ้นเรื่อยๆ

ซือเหลิ่งเย่ว์เหมือนจะคุ้นชินไปนานแล้ว ไม่แม้แต่ปรายตามอง เดินตรงเข้าไปในเรือนหรูหราที่สุดแห่งหนึ่งในหมู่บ้าน

แม้ท้องฟ้าจะยังไม่สว่างทั้งหมด แต่ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการมองเห็นของฉินหลิวซี แม้แต่ภาพแกะสลักจิตรกรรมฝาผนังบนคาน นางก็ยังมองเห็นได้อย่างชัดเจน และเสาและสิ่งปลูกสร้างที่เข้าสู่สายตา ล้วนถูกสลักด้วยตัวอักษรพ่อมดที่ลักษณะคล้ายจย่ากู่เหวิน[1] อีกทั้งยังคล้ายสตรีกำลังสะบัดแขนเสื้อเต้นรำ

ซือเหลิ่งเย่ว์สังเกตเห็นสายตาของนาง เอ่ย “นี่คือสัญลักษณ์ถูเถิง[2]ของเผ่าพ่อมดขาวของเรา ย่อมาเป็นตัวอักษรพ่อมด ในหมู่บ้านแห่งนี้ บ้านทุกหลังต่างก็มีสัญลักษณ์ถูเถิงแบบนี้ นับว่าเป็นภาพมงคลและความเชื่อ”

“ดูออกแล้ว”

แม้ว่าจะเป็นเวลากว่าห้าสิบปีแล้วที่ไม่มีคนในตระกูลซือเรียนเวทมนตร์คาถา แต่สิ่งเหล่านี้ก็มีประวัติศาสตร์มากว่าร้อยปี ยังคงนับถือเผ่าพ่อมดเป็นความเชื่อและสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ

และเพราะความเชื่อนี้ คอยปกป้องคุ้มครองเชื้อสายตระกูลซือ เพียงความเชื่อขาดสิ้น เชื้อสายที่มีพลังพ่อมดเองก็จะหมดสิ้นลงไปด้วย พ่อมดตระกูลซือ ก็คงจะหายสาบสูญไปกับประวัติศาสตร์แล้ว

“เย่ว์เอ๋อร์” ซือถูวิ่งออกมา มองเห็นบุตรีที่รัก กระบอกตาพลันแดงระเรื่อ เอ่ย “ไยจึงเพิ่งมาเล่า ข้านึกว่าเกิดเรื่องอะไรระหว่างทางแล้ว”

ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ยอย่างจนปัญหา “ข้าบอกแล้วมิใช่หรือ ซีซีจะพาข้าเดินทางมาในเส้นทางไม่ปกติ ถึงอย่างแน่นอน”

ซือถูเช็ดน้ำตา มองไปยังฉินหลิวซี เดินเข้ามาจับมือของนาง เอ่ย “ซีซี ข้าเองก็จะเรียกเจ้าแบบที่เย่ว์เอ๋อร์เรียก เจ้าต้องช่วยเย่ว์เอ๋อร์แก้คำสาปเลือดบ้านี่ให้ได้นะ”

“ข้าจะทำให้เต็มที่” ฉินหลิวซีแม้จะมั่นใจ ทว่าไม่เคยให้คำมั่นสัญญา

ซือถูยังอยากเอ่ยบางอย่าง ซือเหลิ่งเย่ว์ก็เอ่ยขึ้น “ท่านพ่อ พวกเราต้องล้างหน้าล้างตาสักหน่อย ยังต้องกินข้าวเช้า”

“อ้อๆ เด็กๆ รีบมาปรนนิบัติท่านผู้นำตระกูล”

บ่าวรับใช้ที่คุกเข่าอยู่ด้านข้างตั้งนานแล้วรีบลุกขึ้น ล้อมเข้ามา พาทั้งสองแยกออกไปในห้อง

ฉินหลิวซีล้างหน้าล้างตามาแล้ว เห็นว่าซือเหลิ่งเย่ว์ยังไม่เสร็จจึงนั่งขัดสมาธิ นั่งทำสมาธิอยู่ชั่วครู่ ก็ถูกตามว่าซือเหลิ่งเย่ว์กำลังรอกินอาหารเช้าพร้อมนาง

ยามนี้ฟ้าสว่างเต็มที่แล้ว

ทั้งสองกินข้าวเข้า เพิ่งวางตะเกียบลง บ่าวรับใช้ก็บอกว่าหัวหน้าเผ่ามาคารวะ

ซือเหลิ่งเย่ว์ไม่ได้วางตัวยิ่งใหญ่ เดินออกไปต้อนรับ หัวหน้าเผ่าชราผู้นี้ กล่าวได้ว่าเป็นเพียงหนึ่งเดียวที่ได้เห็นการขึ้นลงของตระกูลซือตลอดร้อยปีที่ผ่านมา

เขายังเคยเป็นผู้ติดตามข้างกายของเทพธิดาซือชิ่ง ปกป้องตระกูลซือมาทั้งชีวิต และปกป้องผู้นำตระกูลทุกคน

และซือเหลิ่งเย่ว์ คงเป็นผู้นำตระกูลคนสุดท้ายที่เขาคอยปกป้องแล้ว เพราะเขาแก่มากแล้ว

เส้นผมสีขาวไปทั่วทั้งศีรษะ ร่างกายผ่ายผอมโรยรา มือค้ำไม้เท้าที่สลักสัญลักษณ์ถูเถิงแม่มด ทว่ายังมีสองคนคอยประคอง มือนั้นสั่นระริก แต่เมื่อมองเห็นซือเหลิ่งเย่ว์ เขาก็ดีใจและยินดี ดวงตาแก่ชรามีประกายออกมา ร่างกายสั่นเทาจะคุกเข่าลง

“ท่านหัวหน้าเผ่าอาวุโส ท่านไม่ต้องโค้งให้ข้าแล้ว” ซือเหลิ่งเย่ว์ก้าวเข้ามาใกล้ ประคองมือชราของหัวหน้าเผ่า ไม่ให้เขาคุกเข่าลง

หัวหน้าเผ่าอาวุโสจับมือนางเอาไว้ เอ่ย “นายท่านน้อย พิธีไม่อาจเลี่ยงได้”

“หากคิดว่าข้าเป็นนาย เช่นนั้นก็ต้องฟังคำของข้า ข้าไม่ให้ท่านคุกเข่าก็ห้ามคุกเข่า” ซือเหลิ่งเย่ว์ทำท่าทางขึงขัง

หัวหน้าเผ่าอาวุโสหัวเราะออกมา ดวงตาเต็มไปด้วยความเอ็นดู หันมามองฉินหลิวซี ลมหายใจชะงักไปเล็กน้อย ก้าวเข้ามาเอ่ยถามอย่างตื่นเต้น “ผู้นี้ คือผู้สูงส่งที่มีดอกบัวแห่งไฟนรกผู้นั้นที่นายท่านน้อยบอกหรือ”

เขาคุกเข่าลงโดยไม่สนใจสิ่งใด เงยหน้าขึ้นมองฉินหลิวซี น้ำตาหลั่งริน เอ่ย “ร้อยปีแล้ว ตระกูลซือ ในที่สุดก็เจอผู้สูงส่งที่ท่านเทพธิดาบอกแล้ว”

[1] จย่ากู่เหวิน (甲骨文) เป็นอักษรยุคแรกๆ ของจีน เป็นตัวอักษรที่ถูกสลักลงในกระดูกสัตว์และกระดองเต่า ก่อนที่จะพัฒนาเรื่อยๆ มาจนถึงปัจจุบัน ลักษณะคล้ายอักษรภาพ

[2] สัญลักษณ์ถูเถิง เป็นสัญลักษณ์ในสังคมดั้งเดิมสมัยโบราณแสดงถึงความเชื่อและเสาหลักทางจิตวิญญาณของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง สัญลักษณ์เหล่านี้มักจะเป็นสัตว์ พืช หรือวัตถุธรรมชาติอื่น ๆ ที่เชื่อว่าเป็นเทพคุ้มครอง