บทที่ 246 หญิงสาวปริศนา
ตลอดสามวันถัดมา ซูอันมัวยุ่งอยู่กับการบริหารสำนักดอกบ๊วย ภายใต้ความช่วยเหลือจากสถาบันจันทร์กระจ่าง
ซือคุนรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของซูอัน แต่เขาเลือกที่จะไม่ทำอะไร และเมื่อไหร่ที่เข้าไปในมิติลับหยกจรัส ซูอันก็ต้องตายแน่นอนอยู่แล้ว ไม่มีเหตุผลใดที่เขาต้องจัดการกับซูอันในตอนนี้…
ในขณะเดียวกัน สถาบันจันทร์กระจ่างก็เริ่มการเฟ้นหาผู้ที่สมควรจะได้รับสิทธิ์ในการเข้ามิติลับหยกจรัส ซึ่งนักศึกษาและอาจารย์ที่เป็นผู้บ่มเพาะระดับห้าทั้งหมดจะได้รับสิทธิ์เข้าไปโดยไม่จำเป็นต้องผ่านการคัดเลือก ในขณะที่คนอื่น ๆ ต้องผ่านการแข่งขันที่เข้มข้นเพื่อพิสูจน์คุณสมบัติของตนเอง
ในมิติลับเต็มไปด้วยอันตราย ผู้ใดที่อ่อนแอไม่สามารถปกป้องตนเองในมิติลับได้มีโอกาสตายอย่างเปล่าประโยชน์
ท้ายที่สุดของการคัดเลือก ผู้บ่มเพาะที่อ่อนแอที่สุดที่ได้รับเลือกให้เข้าสู่มิติลับนั้นเป็นผู้บ่มเพาะที่มีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับสามของการบ่มเพาะ
โลกแห่งการบ่มเพาะนั้นความแข็งแกร่งมีความสำคัญที่สุดอย่างแท้จริง เช่นเดียวกับที่เจียงลั่วฝูพูดถึงว่าโอกาสถูกสงวนไว้สำหรับผู้ที่พิสูจน์ตัวเองว่ามีคุณสมบัติเท่านั้น การคัดเลือกช่วยให้มั่นใจได้ว่าผู้ที่สามารถเข้าไปในมิติลับเป็นผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด และโอกาสต่าง ๆ ที่จะได้รับในมิติลับก็ยิ่งทำให้ความเหลื่อมล้ำระหว่างผู้แข็งแกร่งกับผู้อ่อนแอกว้างขึ้น ดังนั้นผู้อ่อนแอย่อมไม่สามารถตามรอยเท้าของผู้แข็งแกร่งได้
คงเหมือนกับโลกที่เขาจากมา การล้าหลังคนอื่นเพียงก้าวเดียว ทำให้ล้าหลังคนที่นำหน้าไปตลอดชีวิต…
เป็นอีกครั้งที่ ซูอันรู้สึกยินดีกับความสัมพันธ์ที่เขามีต่อบรรดาหญิงสาว เขาได้สิทธิ์ในการเข้ามิติลับโดยไม่ต้องผ่านการคัดเลือกเลย วะฮ่าฮ่า!
เช้าของวันที่สาม นักศึกษาที่ได้รับการคัดเลือกพากันเดินขึ้นไปบนภูเขาด้านหลังของ สถาบันจันทร์กระจ่าง ซึ่งเป็นสถานที่ที่ปกติเป็นเขตหวงห้ามไม่ว่ากับนักศึกษาหรือแม้แต่อาจารย์ก็ตาม
เหตุผลหลักที่ราชสำนักสามารถผูกขาดมิติลับได้ก็เพราะว่าสถาบันการศึกษาใหญ่ ๆ ส่วนใหญ่ตั้งขึ้นในบริเวณใกล้เคียงกับมิติลับ มีแม้กระทั่งบางแห่งที่มีมิติลับตั้งอยู่ในบริเวณสถาบันการศึกษาเลยก็มี เช่น สถาบันจันทร์กระจ่าง
มิติลับมีอยู่ในโลกนี้มาตั้งแต่โบราณแล้ว และพลังงานชี่รอบ ๆ พวกมันก็มีแนวโน้มที่จะหนาแน่นยิ่งขึ้นไปอีก การที่สถาบันจันทร์กระจ่างมีมิติลับในบริเวณของตัวเองเอื้อประโยชน์ต่อการบ่มเพาะของนักศึกษาเป็นอย่างมาก
ในป่าไผ่หลังสถาบันจันทร์กระจ่างมีกระท่อมฟางอยู่หลายหลัง ในกระท่อมฟางแต่ละหลังมีอาจารย์อาวุโสของสถาบันจันทร์กระจ่างประจำอยู่ ซึ่งดูเหมือนว่าการที่พวกเขาอยู่ที่นี่นั้นเป็นไปเพื่อปกป้องอะไรบางอย่าง
พื้นที่ตรงกลางป่ามีสิ่งก่อสร้างคล้ายประตูตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว ตรงกลางประตูประหลาดนี้มีแสงสีดำสลับน้ำเงินและขาวที่ดูบิดเบี้ยววกไปวนมาซึ่งดูคล้ายกับกระแสน้ำวนยังไงยังงั้น
“นี่คือทางเข้ามิติลับ ตามปกติแล้วประตูนี้มักจะดูไม่ต่างจากประตูที่เจ้าเห็นทั่วไป แต่เฉพาะไม่กี่วันนี้เท่านั้นที่เจ้าจะได้เห็นมันในลักษณะนี้ ตอนนี้พวกเจ้าต้องรออีกสักพักทางเข้าถึงจะเปิดอย่างเต็มที่” ฉู่ชูเหยียนเริ่มอธิบายให้ซูอันฟังว่าสิ่งต่าง ๆ ทำงานที่นี่ได้อย่างไร หลังจากสังเกตเห็นประกายระยิบระยับในดวงตาของเขา
“ดูเหมือนเจ้าจะรู้เรื่องเกี่ยวกับมันเยอะ เจ้าเคยเข้าไปในมิติลับนี้มาก่อนหรือเปล่า?” ซูอันถามนาง
ฉู่ชูเหยียนส่ายหัวและตอบว่า “มิติลับนี้เปิดเพียงครั้งเดียวทุกสองสามทศวรรษ ดังนั้นนี่เป็นครั้งแรกของข้าด้วย น่าเสียดายที่ฮวนเจาบาดเจ็บจึงพลาดโอกาสนี้ไป
อันที่จริงฉู่ฮวนเจามีสิทธิ์เข้ามิติลับนี้เช่นกัน แต่อาการบาดเจ็บที่นางได้รับจากงานประลองระหว่างตระกูลนั้นรุนแรงเกินไป ในสถานการณ์ปกติความสามารถในการต่อสู้ของนางนั้นยังอยู่ในระดับแค่พอใช้ ดังนั้นนับประสาอะไรกับสภาพที่นางได้รับบาดเจ็บอยู่ขณะนี้ ด้วยความเป็นห่วงนาง ฉู่จงเทียนและฉินหว่านหรูจึงตัดสินใจห้ามไม่ให้นางเข้าไปในมิติลับครั้งนี้…
ด้วยเหตุนี้ นางจึงโกรธเคืองอย่างมาก ในท้ายที่สุด นางขอร้องแกม บังคับให้ซูอันนำ ‘ของฝาก’ จากมิติลับกลับมาให้นางก่อนที่จะเผยรอยยิ้มออกมาในที่สุด…
“ข้ายังไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าถึงยืนยันที่จะเข้าไปในมิติลับหยกจรัส เจ้าน่าจะเคยได้ยินเกี่ยวกับอันตรายที่แฝงอยู่ในมิติลับแล้วไม่ใช่เหรอ?” ฉู่ชูเหยียนถามขึ้น
ซูอันยิ้มพลางตอบว่า “เจ้าเป็นห่วงข้างั้นเหรอ?”
ฉู่ชูเหยียนตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าแค่จะเตือนเจ้าไม่ให้ตายอย่างโง่เขลาในนั้น คงจะลำบากสำหรับตระกูลฉู่ของเราที่จะต้องหาลูกเขยคนใหม่!”
“วางใจเถอะ ข้าเป็นคนเกิดภายใต้ดาวนำโชค ข้าจะออกจากมิติลับได้ทั้งที่ตัวเป็น ๆ แน่นอน” ซูอันตอบอย่างหน้าด้าน
ฉู่ชูเหยียนหันศีรษะหนีไม่โต้ตอบอะไร
“ชูเหยียน สามีของเจ้าจะเข้าไปด้วยงั้นเหรอ? เจ้าต้องการให้ข้าช่วยดูแลเขาด้วยไหม?” เสียงหวานเย้ายวนดังขึ้น
ซูอันหันไปมองทางต้นเสียงทันทีและนั่นทำให้เขาได้เจอกับแตงโมขนาดใหญ่สองลูกของเพ่ยเหมียนหมาน ผู้เป็นเจ้าของแตงโมยักษ์ทั้งสองลูกเดินเข้ามาหาพวกเขาด้วยรอยยิ้มหยอกล้อ…
หน้าอกหน้าใจที่ล้นทะลักของนาง ทำให้ผู้ชายทั้งหลายที่อยู่ในบริเวณใกล้าเคียงเลือดกำเดาแทบพุ่งไปตาม ๆ กัน!
“ไม่จำเป็น ทำไมเขาจะต้องรับความคุ้มครองจากคนนอกตระกูล? นอกจากนี้ เขายังจะเข้ามิติลับในฐานะอาจารย์อีกด้วย คงไม่ดีแน่ถ้าให้นักศึกษาเป็นฝ่ายคุ้มครองเขา” ฉู่ชูเหยียนตอบกลับ
“โอ้? ในที่สุดเจ้าก็ยอมรับว่าข้าเป็นอาจารย์แล้วใช่มั้ย? มา! มา! เรียกข้าว่าอาจารย์ซูให้ฟังหน่อยซิ…” ซูอันเอ่ยขึ้นทันที
ฉู่ชูเหยียนแทบสำลัก นางไม่สามารถทนความหน้าด้านของซูอันได้อีก นางเมินใส่เขาและเดินจากไป
“เจ้ารู้สึกยังไงที่มีภรรยาแสนสวยที่ได้แต่มองแต่สัมผัสไม่ได้?” เพ่ยเหมียนหมานเดินไปข้าง ๆ ซูอันและถามหยอกล้อ
“ทำไมเจ้าไม่ให้ข้าแตะต้องเจ้าแทนล่ะ ข้าจะได้ตอบคำถามของเจ้าได้?” ซูอันตอบกลับ
“ที่สาธารณะแบบนี้เจ้ายังพยายามนอกใจภรรยาของเจ้าอีก เจ้าช่างเป็นผู้ชายที่น่ากลัวจริงๆ~” เพ่ยเหมียนหมานหัวเราะคิกคักเบาๆ
เมื่อเห็นความสนิทสนมระหว่างพวกเขา ฉู่ชูเหยียนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เหมียนหมาน เจ้าไปทำอะไรอยู่ตรงนั้น?”
แม้นางจะไม่คิดว่าตัวเองชอบซูอัน แต่เขาก็ยังเป็นสามีในนามของนาง นางจะปล่อยให้เขาทำเจ้าชู้กับผู้หญิงคนอื่นต่อหน้าต่อตาได้อย่างไร?
“ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละ~” เพ่ยเหมียนหมานตอบกลับฉู่ชูเหยียน พร้อมกับขยิบตาให้ซูอันและกล่าวว่า “ภรรยาของเจ้าเริ่มหึงซะแล้วล่ะ นี่เป็นสัญญาณการเริ่มต้นที่ดี อย่าลืมว่าเจ้าต้องช่วยข้าค้นหาสมุดบัญชีให้ข้าตามที่เราตกลงกันไว้!”
นางหัวเราะคิกคักอย่างเย้ายวนแล้วจากไปหาฉู่ชูเหยียน ทิ้งให้ผู้ชายในบริเวณใกล้เคียงรู้สึกใจเต้นรัว พวกเขาพากันมองไปทางซูอันอย่างขุ่นเคือง
ผู้ชายคนนี้มีดีอะไร ทำไมมันถึงสามารถเอาชนะใจผู้หญิงสวย ๆ ทีละหลาย ๆ คนได้?
ซือคุนเองก็เฝ้าดูอยู่เช่นกัน เขาขมวดคิ้วความกังวล “ไม่คิดเลยจริง ๆ ว่า เพ่ยเหมียนหมานจะรู้สึกดีกับไอ้เวรนั่นด้วย นางจะขัดขวางแผนการของเราหรือไม่?”
ซือเล่อจื่อส่ายหัวและตอบว่า “ข้าไม่คิดอย่างนั้น แต่เพื่อความปลอดภัย เราควรหาคนมาล่อนางออกไปก่อนจะลงมือกับมัน”
ซือคุนพยักหน้าเห็นด้วย “น่าเสียดายที่เจ้าเข้าไปในมิติลับกับเราไม่ได้ ไม่อย่างนั้นการจะฆ่ามัน คงง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก”
ซือเล่อจื่อมองไปที่อาจารย์ที่คอยปกป้องประตูทางเข้าของมิติลับและกล่าวว่า “เจียงลั่วฝูจะมายืนเฝ้ากับอาจารย์เหล่านี้ในขณะที่ประตูทำงานอยู่เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาตเข้าสู่มิติลับ ข้าคงแอบเข้าไปด้วยไม่ได้ แต่ยังไงซะจำนวนคนที่เราเตรียมไว้นั้นมากเกินพอที่จะฆ่าซูอันได้เป็นสิบคน ข้าคิดว่าคงไม่มีอะไรผิดพลาด”
“โชคดีที่เราส่งเสวี่ยเอ๋อร์เข้ามาในสถาบันจันทร์กระจ่างด้วย หลังจากเข้าไปด้านในมิติลับ ข้าเชื่อว่านางจะมีประโยชน์มากแน่นอน” ซือคุนตอบพร้อมพยักหน้า
“เคล็ดวิชาที่เสวี่ยเอ๋อร์บ่มเพาะนั้นไม่เหมือนใคร น่าแปลกที่ไม่มีใครในสถาบันจันทร์กระจ่างรู้สึกถึงมันได้เลย ดูเหมือนว่าจะเป็นความสามารถพิเศษของตระกูลของนาง ไว้วันหลังเราค่อยถามนางเรื่องนี้สักหน่อย” ซือเล่อจื่อมองไปทางร่างสมส่วนที่ยืนอยู่ท่ามกลางนักศึกษาด้วยรอยยิ้มที่พึงพอใจ เขามั่นใจในการเตรียมการของเขาเช่นกัน
ผู้คนรวมตัวกันในที่โล่งนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ พวกเขาทั้งหมดมีสีหน้าตื่นเต้น พวกเขาต่างตั้งหน้าตั้งตารอที่จะเข้าไปในมิติลับและไขว่คว้าโอกาสทุกประเภทด้านใน หากทุกอย่างเป็นไปตามที่พวกเขาต้องการ การที่พวกเขาจะได้กลายเป็นผู้บ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่ก็ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป…
ซูอัน สังเกตว่ามีใบหน้าที่คุ้นเคยอยู่บ้างท่ามกลางฝูงชน เช่น ไป๋ซู่ซู่ ลู่เต๋อ เซี่ยซิว อู๋ฉิง เจิ้งตาน และจี้เสี่ยวซี ส่วนที่เหลือนอกจากนั้นแน่นอนว่ามีนักศึกษาอีกหลายคนที่เขาไม่รู้จัก ซึ่งเขาคิดว่าน่าจะเป็นนักศึกษาจากชั้นนภาหรือชั้นปฐพี
เมื่อเห็นเจิ้งตานท่ามกลางฝูงชน ซูอันก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าทำไมในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานางถึงไม่ใช้กับดักน้ำผึ้งของนางกับเขาอีก ข่าวการเสียชีวิตของเหมยเชาฟงได้แพร่กระจายไปในวงกว้างแล้ว ดังนั้นควรเป็นโอกาสที่นางจะโจมตีเพื่ออ้างสิทธิ์ในธุรกิจของสำนักดอกบ๊วย หรือที่นางอยู่เฉย ๆ เพราะคิดว่าตั๋วหนี้ 7,500,000 ตำลึงเงินกลายเป็นเศษกระดาษไปแล้ว?
จี้เสี่ยวซียังคงดูน่ารักเหมือนเดิม น่าเสียดายที่นางยังคงมีพิษของพ่อนางปกคลุมไปทั่วตัว ข้าไม่แม้แต่จะสัมผัสมือของนางได้
ขณะมองผู้คนโดยรอบ ซูอันได้มองเห็นร่างผอมเพรียวในชุดสีเขียวอ่อน แม้จะปกปิดใบหน้าไว้ด้วยผ้าคลุมโปร่งแสง แต่โครงร่างจาง ๆ ของใบหน้านั้นทำให้เขาแทบไม่มีข้อสงสัยเลยว่านางเป็นผู้หญิงที่สวยคนหนึ่ง