อ๋องจี้นั้นดูทุกข์ใจมาก
ดวงตาเขาแดงก่ำ และนั่งเหม่ออยู่ในห้อง เหมือนกับเป็นกลายเป็นหินไปแล้ว ไม่กระดุกกระดิกเลย
หยู่เหวินเห้าเข้ามาดูสภาพเขา และรู้สึกว่าเขารักพระชายารองหลิวมาก
หยู่เหวินเห้าเดินเข้ามานั่ง “ท่านพี่ ทำใจดี!”
อ๋องจี้ถึงได้ค่อยๆ หันมามองเขา ดวงตาก็ค่อยๆ ไม่เหม่อลอยมาก และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงโศกเศร้า: “เจ้ามาแล้ว!”
“ใช่ เสด็จพ่อส่งข้ามาเยี่ยมท่าน” เขาไม่ได้บอกว่ามาตรวจสอบ
อ๋องจี้ก็พอจะเข้าใจ จึงนั่งยืดตัวตรง แล้วดึงสติกลับมา: “มีอะไรต้องการถาม เจ้าก็ถามเถอะ ดูแล้วเจ้าคงถามคนในจวนหวดแล้ว”
“นอกจากพี่สะใภ้ ข้าถามหมดแล้ว” หยู่เหวินเห้าพูด
อ๋องจี้เหมือนจะไม่มีอารมณ์ จึงพูดเสียงเรียบ: “นางป่วนมาตลอด ไม่สามารถช่วยงานใจจวนได้ ถามนางไปก็ไร้ประโยชน์?”
หยู่เหวินเห้าพยักหน้า “ได้ยินคนรับใช้ของพระชายารองบอกว่า ก่อนที่พระชายารองจะเกิดเรื่องนั้น นางได้รับจดหมายจากท่านพ่อ เขียนว่าไม่สามารถอดทนต่อความลำบากได้ อยากจะให้ท่านพี่ช่วยขอร้องฝ่าบาทให้”
อ๋องจี้พยักหน้า “มีเรื่องนี้ แต่ว่า ข้าไม่รับปาก โทษที่พ่อนางได้รับ เป็นสิ่งที่สมควร ข้าจึงไม่สามารถจะไปร้องขอฝ่าบาทได้ และก็สั่งนางห้ามพูดถึงเรื่องนี้อีก”
“ท่านพี่เคยตำหนินางหรือ?”
อ๋องจี้มีหน้าตาเศร้าใจ และก็ดูรำคาญ “บางทีข้าอาจจะพูดเกินไป ถึงได้ทำให้นางคิดสั้น”
“ท่านพี่คิดว่านางคิดสั้นหรือ?” หยู่เหวินเห้าถามขึ้น
อ๋องจี้มองหน้าเขา “ถ้าไม่คิดสั้น หรือนางถูกคนวางแผนฆ่างั้นหรือ?”
หยู่เหวินเห้าจึงพูดขึ้น: “กำลังสอบสวนอยู่”
อ๋องจี้ยกมือขึ้นมา “ลองตรวจดู”
“นอกจากเรื่องนี้ ไม่รู้ว่าพระชายารองยังมีเรื่องอื่นที่ทำให้ไม่สบายใจหรือไม่?” หยู่เหวินเห้าถาม
อ๋องจี้ยิ้มออกมาอย่างเยือกเย็น “เรื่องที่ไม่สบายใจหรือ?จะมีเรื่องอะไรได้อีก?นางตั้งท้องลูกข้า ถ้าหากว่านางคลอดออกมาเป็นลูกชาย นางก็จะได้ตำแหน่งสูงขึ้น นางยังจะมีเรื่องอะไรที่ไม่มีความสุขอีก?”
“ใช่ นางตั้งครรภ์อยู่ ดูแล้วน่าจะสามารถได้ตำแหน่ง แต่ทำไมต้องคิดสั้น?” หยู่เหวินเห้าถามกลับ
อ๋องจี้จ้องมองเขา “หรือข้ารู้ว่านางตั้งครรภ์ ดังนั้นจึงฆ่านาง?อ๋องฉี เจ้าคิดแบบนี้ใช่หรือไม่?”
“ท่านพี่ไม่มีทางทำแบบนั้น” หยู่เหวินเห้าพูดเสียงเบา “ท่านพี่มีเหลือเพียงลูกสาวสองคน รอคอยลูกชายมานาน ถ้าพระชายาตั้งครรภ์ คนที่ดีใจที่สุดก็ต้องเป็นท่าน”
อ๋องจี้พูดเสียงโมโหเล็กน้อย: “ในเมื่อเจ้ารู้ จะถามมากความไปเพื่ออะไร?”
“ท่านพี่ไม่ทำ แต่คนอื่นก็ยากที่จะบอกว่าไม่ทำ” หยู่เหวินเห้าพูดออกมาตรงๆ
“งั้นเจ้าก็ไปตรวจสอบดู ตรวจสอบจนกว่าจะรู้ว่าใครเป็นคนทำ รีบไปตอนนี้!” อ๋องจี้เอามือทุบโต๊ะอย่างแรง พร้อมกับสะบัดแขนเสื้อเดินออกไปทันที
หยู่เหวินเห้ามองตามหลังเขา เขาโมโหจริงๆ ดูโกรธมาก ความโกรธนี้ไม่มีทางเป็นเพราะว่าเขาถามมากความ
เขาโกรธเรื่องทั้งหมด
เขาโกรธที่เขาสูญเสียลูกไปหนึ่งคน และอาจจะเป็นลูกชายด้วย
พอถามอ๋องจี้เสร็จ หยู่เหวินเห้าก็ไปถามพระชายาจี้
เขารู้ว่าพระชายานั้นป่วยเป็นวัณโรค ดังนั้นก่อนที่หยู่เหวินเห้าจะมาจึงได้ขอผ้าปิดปากจากหยวนชิงหลิงสองสามอัน แล้วจึงเข้าไปถามพร้อมกันกับคนในกรมพระนคร
พระชายาจี้ไม่ได้ป่วยหนักมา เพียงแต่ไอแรงมาก
จนตัวเหลืองทั้งตัว บางทีอาจจะเป็นเพราะกินยาที่ไม่ดีต่อกระเพาะ นางจึงผอมมาก
นางร้องไห้ เพราะมีรอยบวมแดงที่ตา
นางไม่รอให้หยู่เหวินเห้าถาม ก็พลันพูดออกมา: “ตกลงว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้?นางถูกคนทำร้ายหรือนางปลิดชีวิตตัวเอง?นางไม่มีเหตุผลที่ต้องทำแบบนี้ นางตั้งครรภ์อยู่ด้วย นางแทบจะมองข้าไม่ได้แล้ว คงอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว นางไม่มีทางปลิดชีวิตตัวเอง ตกลงว่าใครเป็นคนทำร้ายนาง?”
หยู่เหวินเห้ามองดูน้ำตานางไหลออกมา ดูโศกเศร้ามาก และไม่ได้ใช้อารมณ์ เพียงแค่ถามเพื่อจะให้ความยุติธรรม: “พี่สะใภ้เห็นพระชายารองครั้งสุดท้ายตอนไหน?”
พระชายาจี้ยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตา “หลายวันก่อน นางเอาซุปมาให้ ตอนนั้นข้ายังไม่รู้ว่านางตั้งครรภ์ ดังนั้นคงไม่มีทางปล่อยให้นางเข้ามา นางเองก็เป็นคนซุ่มซ่ามมาก การตั้งครรภ์นั้นเป็นเรื่องใหญ่มาก นางกลับไม่รู้จักสำรวจ”
“อย่างนั้นพระชายารองรู้ว่าตัวเองตั้งครรภ์ตอนไหน?” หยู่เหวินเห้าถาม
“วันก่อน มีนางกำนัลมากราบทูลว่าร่างกายนางไม่ปกติ เอาแต่อาเจียน จึงได้เชิญหมอมาดูอาการ และตรวจชีพจร”
“ตอนนั้นนางถึงได้รู้หรือ?”
พระชายาอ๋องจี้ไปสองสามครั้ง พลางพยักหน้า: “ใช่ ตอนนั้นจึงมีคนมารายงาน ตอนนั้นข้าดีใจมาก ก็เลยมอบของให้นางไปหลายอย่าง และยังสั่งให้หมอให้ยาบำรุงนาด้วย”
หยู่เหวินเห้าหันไปมองหัวหน้าพลตระเวน เขาพยักหน้า: “ใช่ขอรับ ข้าน้อยได้ถามนางกำนัลแล้ว หลังจากที่พระชายารองรู้เรื่องพระชายาอ๋องจี้ก็ได้มอบของให้มากมาย ลองนับวันดูแล้วก็คือวันก่อน”
หยู่เหวินเห้าพูด: “อืม งั้นก็ไม่มีอะไรต้องถามแล้ว พี่สะใภ้นอนพักผ่อนเถอะ ข้าขอตัวก่อน”
“อ๋องฉู่กลับดีๆ ข้าคงไม่อาจไปส่งได้” พระชายาพูดขึ้นอย่างน่าสงสาร หยู่เหวินเห้าเดินออกมาไกลแล้ว ยังได้ยินเสียงไปของนาง
พอกลับมาที่กรมพระนคร หัวหน้าพลตระเวนก็เข้ามารายงาน: “ท่านอ๋อง ตอนที่ข้าน้อยตรวจสอบในจวนนั้น ได้ยินแม่นมของพระชายารองพูดพลางน้ำตาไหล พระชายารับปากว่าจะช่วยให้ใต้เท้าหลิวหนีไป ดังนั้น พระชายารองไม่มีทางเพราะเหตุนี้ปลิดชีวิตตัวเองแน่”
“แม่นมผู้นั้นพูดกับเจ้าหรือ?” หยู่เหวินเห้าถามขึ้น
“ไม่ใช่ขอรับ นางนั่งอยู่ตรงนั้นแล้วพูดกับนางกำนัลคนหนึ่ง พอข้าน้อยว่าจะถาม นางก็บอกว่าไม่รู้อะไรแล้ว ข้าน้อยไม่รู้ว่าท่านอ๋องจะตัดสินคดียังไง ข้าน้อยไม่กล้าพูด”
หยู่เหวินเห้ากดมือลงไป “พระชายาหลิวฆ่าตัวตาย”
หัวหน้าพลลาดตระเวนตกใจ “ปลิดชีพตัวเองหรือ?นางกำลังตั้งครรภ์ อีกอย่างพระชายาเองก็ได้รับปากนางว่าจะช่วยแล้ว ทำไมยังต้องทำแบบนั้นด้วย?อีกอย่างท่านอ๋องมีหลักฐานหรือไม่ว่านางคิดสั้น?”
ผู้ช่วยเจ้ากรมก็หันมามองเขา เขารู้ว่าท่านอ๋องตัดสินคดีนั้นไม่มีทางเป็นการเดา ที่พูดออกมาได้แสดงว่าต้องมีมูลเหตุ
หยู่เหวินเห้าจึงพูดขึ้น: “ได้ตรวจสอบในที่เกิดเหตุแล้ว ตรงบริเวณที่นางตกลงไปนั้น มีเพียงรอยเท้านางคนเดียว และคนที่ลงไปช่วยก็มาจากอีกฝั่งหนึ่ง อันนี้ข้อแรก ข้อสองนางตั้งครรภ์อยู่ แม่นมก็ต้องคอยจับตาดู นอกจากว่านางจะเดินออกไปเอง แล้วสั่งให้ทุกคนถอยออกไป ข้อนี้ หลักฐานมาจากปากของบ่าวรับใช้ ตอนนั้นนางไม่ยอมให้ใครตามไป ข้อสาม และไปพอดีกับที่พระชายายอมรับปากว่าจะช่วยเรื่องพ่อของนาง แต่ไม่ใช่อ๋องจี้ พ่อของพระชายารองหลิว ได้รับโทษสามปี วันนี้ถึงได้ส่งจดหมายมา แสดงว่าน่าจะป่วยหรือไม่ก็เกิดเรื่องขึ้น พระชายาหลิวเป็นคนกตัญญู……”
ประโยคต่อไปนั้น เขาไม่พูดออกมา ผู้ช่วยเจ้ากรมกับหัวหน้าพลลาดตระเวนก็พอจะเดาได้
การตั้งครรภ์ของนางตอนนั้น ถ้าหากนางคลอดออกมาเป็นลูกชาย ก็อาจจะส่งผลถึงตำแหน่งของพระชายาอ๋องจี้
พระชายาอ๋องจี้สามารถช่วยพ่อนางได้ และก็รับปากนาง แต่ว่า อันนี้แน่นอนว่าต้องมีข้อแลกเปลี่ยน
ผู้ช่วยเจ้ากรมครุ่นคิดสักพัก จึงพูดขึ้น: “เกรงว่าพระชายาจี้ไม่ได้ต้องการชีวิตนาง อาจจะแค่ต้องการให้นางแท้ง”
ผู้ช่วยเจ้ากรมพูด: “สำหรับหญิงสาวที่อยู่คนเดียวมาสิบปี การตั้งครรภ์นั้นเป็นหนทางเดียวที่ช่วยนางได้ ถ้าหากว่าไม่มีลูกแล้ว นางก็จะรู้ว่าต่อไปนางก็อาจจะไม่มีอีกแล้ว ถึงนางจะตั้งครรภ์อีกครั้ง ก็คงเป็นแบบนี้ทุกครั้ง ดังนั้น นางจึงเลือกตายดีกว่า”
หยู่เหวินเห้าพยักหน้าเบาๆ
“อ๋องจี้รู้เรื่องนี้หรือไม่” ผู้ช่วยเจ้ากรมหันไปถามหยู่เหวินเห้า
“รู้แล้วทำอย่างไรได้?ยังไงตอนนี้เขาก็ไม่สามารถละทิ้งพระชายาจี้” หยู่เหวินเห้าพูดเสียงเรียบ
ผู้ช่วยเจ้ากรมฝืนยิ้ม “งั้นก็ไม่มีประโยชน์แล้ว ถึงพระชายาจี้จะวาดฝันให้เขาขนาดไหน แต่สุดท้ายก็ไม่มีลูกชาย”