บทที่ 228 แดนเทพตงอู๋ ซุนเฉวียน

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 228 แดนเทพตงอู๋ ซุนเฉวียน

พุทธะอาภรณ์ขาวเข้าสู่โลกเมฆาแดง เขาไม่ได้ไปเขาเพียรบำเพ็ญเซียนทันที แต่กลับเดินเตร่ในโลกมนุษย์

ในเมื่อเขาไม่รีบร้อน เช่นนั้นหานเจวี๋ยก็ไม่รีบร้อนเช่นกัน

อย่างไรเสีย ก็สามารถสังหารเขาได้ภายในเสี้ยววินาที

หานเจวี๋ยฝึกฝนต่อ

พุทธะอาภรณ์ขาวเริ่มส่งเสริมวิถีบำเพ็ญตบะจริงๆ

เพียงแต่ว่า…

ที่เจ้าหมอนี่ส่งเสริมไม่ใช่วิถีพุทธแต่เป็นมรรควิถี

ช่วงเวลาว่างจากการบำเพ็ญตบะ หานเจวี๋ยอาศัยป้ายคำสั่งมรรคาสวรรค์มองดูพฤติการณ์ของเขา จนรู้สึกหมดคำพูดอย่างช่วยไม่ได้

คนทรยศนี่!

โค่นล้มราชวงศ์ชิงกอบกู้ราชวงศ์หมิงอย่างลับๆ หรือ

หายเจวี๋ยรู้สึกว่ามันน่าขันยิ่งนัก

‘หรือเขาไม่อยากตามบรรพชนพุทธภควัตกลับไป ดังนั้นจึงถ่วงเวลาเอาไว้? ถึงอย่างไรเขาก็เป็นไส้ศึกของนิกายฉ่านสำนักเต๋า’

หานเจวี๋ยเข้าใจในฉับพลัน เช่นนี้ก็สามารถเข้าใจได้ทะลุปรุโปร่งแล้ว

พุทธะอาภรณ์ขาวไม่กลัวจะถูกบรรพชนพุทธมรรคาคำนวณพบหรือ

หานเจวี๋ยคิดไม่ออก ทำได้เพียงคอยสังเกตต่อไป

ชั่วแวบเดียว

ภาพเหตุการณ์ยี่สิบปีก็ผ่านพ้นไป

มรรควิถีของนิกายฉ่านเริ่มแพร่หลายในโลกเมฆาแดง เขตต่างๆ มีสำนักของนิกายฉ่านปรากฏขึ้นจำนวนไม่น้อย แม้จะยังไม่ก่อให้เกิดผลกระทบในแดนบำเพ็ญพรต แต่หานเจวี๋ยอาศัยป้ายคำสั่งมรรคาสวรรค์จนสามารถมองเห็นการวางหมากของพุทธะอาภรณ์ขาวแล้ว

หานเจวี๋ยกลับไม่ใส่ใจ เดิมทีโลกแห่งการบำเพ็ญตบะก็เปลี่ยนแปลงร้อยแปดพันเก้า มีสำนักของนิกายฉ่านเพิ่มขึ้นมาหนึ่งสำนักแล้วอย่างไร

เพียงแค่ไม่ส่งผลกระทบต่อเขาก็พอแล้ว

วันนี้ พุทธะอาภรณ์ขาวมาถึงด้านหน้าเขาเพียรบำเพ็ญเซียน อยากจะเยี่ยมเยียนคนที่อยู่บนเขา

น่าเสียดาย ไม่ว่าเขาจะตะโกนอย่างไรก็ไม่มีคนตอบรับ

พุทธะอาภรณ์ขาวขมวดคิ้ว

ศิษย์สำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์คนหนึ่งที่คุกเข่าอยู่หน้าแผ่นศิลาเอ่ยปากกล่าวว่า “อย่าตะโกนเลย เขาลูกนี้คือเขาเซียน เจ้าอยากขึ้นก็ขึ้นเลยได้อย่างไร”

ศิษย์คนอื่นๆ ที่คุกเข่าอยู่ก็พากันพูดยั่วเย้าและเหน็บแนม

พุทธะอาภรณ์ขาวส่ายหน้าหลุดยิ้ม มนุษย์ธรรมดากลุ่มหนึ่งช่างน่าขันยิ่งนัก

เขาหายแวบมายังใต้ต้นฝูซังทันที

ผู้คนที่อยู่ใต้ต้นไม้พลันลืมตาขึ้น

หลงเฮ่าลุกพรวดขึ้นมา กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เจ้าคิดจะทำอะไร”

ไก่คุกรัตติกาล ราชามังกรสามหัว ถูหลิงเอ๋อร์ โจวหมิงเยวี่ย สวินฉางอัน ฉู่ซื่อเหรินและอีกาทองสองตัวพากันลืมตาขึ้นมา

พุทธะอาภรณ์ขาวกวาดสายตามองไปหนึ่งรอบ สีหน้าดูตื่นตะลึง

“อีกาทอง…โสมวิญญาณบรรพกาล…บรรพชนพุทธภควัต…กลิ่นอายจักรพรรดิสวรรค์…อีกทั้งเทพปีศาจท่านนั้น…”

พุทธะอาภรณ์ขาวตื่นตระหนกตกใจเป็นอย่างมาก

‘นี่มันสถานที่บ้าบออะไรกันเนี่ย

เหตุใดผู้มีดวงชะตาแต่กำเนิดถึงมารวมตัวกันมากมายเช่นนี้’

โสมวิญญาณบรรพกาลเขารู้จัก แต่ก่อนยังคบค้าสมาคมกันมาก่อน

กลิ่นอายจักรพรรดิสวรรค์บนตัวหลงเฮ่าเข้มข้นเกินไป หน้าตาก็คล้ายจักรพรรดิสวรรค์

พุทธะอาภรณ์ขาวจิตใจหนักอึ้ง

มิน่าเล่าบรรพชนพุทธมรรคาสวรรค์ถึงมอบไม้เท้าพุทธตถาคตให้เขา

“พุทธะอาภรณ์ขาว เจ้ามาด้วยเหตุใด” สวินฉางอันเอ่ยถามหนักแน่น น้ำเสียงเคร่งขรึม

ในสำนักพุทธ เขาเป็นแค่สัตว์เลี้ยง แม้กระทั่งสามารถพูดได้ว่าเป็นข้าทาส แต่ก่อนต้องแหงนหน้ามองพุทธะอาภรณ์ขาว

พุทธะอาภรณ์ขาวยิ้มกล่าว “ข้ามารับบรรพชนพุทธกลับไป”

บรรพชนพุทธ?

สวินฉางอันตกใจจนหน้าเปลี่ยนสีอย่างสิ้นเชิง

คนอื่นๆ ก็ถูกเกทับเช่นกัน

บรรพชนพุทธคือผู้ใด

พวกเขานึกถึงหานเจวี๋ยทันที

หานเจวี๋ยก็ดูลึกลับในสายตาศิษย์และศิษย์หลานอย่างพวกเขามาโดยตลอด

“อาจารย์คือบรรพชนพุทธหรือ เป็นไปได้อย่างไร…”

สวินฉางอันตกใจเข้าแล้ว หากหานเจวี๋ยคือบรรพชนพุทธ นั่นก็ไม่เท่ากับว่าเขาถูกสำนักพุทธหยอกล้อมาโดยตลอดหรือ

ขณะนั้นเอง พุทธะอาภรณ์ขาวมองไปทางฉู่ซื่อเหรินแล้วยิ้มถาม “บรรพชนพุทธ กลับไปหรือไม่”

ควับ…

สายตาของผู้คนทั้งหลายล้วนไปตกอยู่บนตัวฉู่ซื่อเหริน

โจวหมิงเยวี่ยยิ่งมีสีหน้าประหลาดใจขึ้นไปอีก

อาจารย์ของข้าคือบรรพชนพุทธ?

ฉู่ซื่อเหรินนิ่งอึ้ง “ข้าจะเป็นบรรพชนพุทธได้อย่างไร เจ้าอย่าได้ใส่ร้ายข้า!”

หรือว่าพระพุทธองค์ที่เขาพบเจอในความฝันองค์นั้นก็คือบรรพชนพุทธ

“เขาไม่อาจไปกับเจ้าได้ เจ้าไปเสียเถิด” เสียงของหานเจวี๋ยลอยออกมาจากถ้ำเทวา

พุทธะอาภรณ์ขาวอดหันไปมองทางถ้ำเทวาฟ้าประทานไม่ได้ ทว่าพลังจิตของเขาไม่อาจสอดส่องเข้าไปในถ้ำเทวา

อาณาเขตเต๋าสามารถปิดกั้นการสอดแนมของพลังจิตระดับเทพลงมา!

ที่พุทธะอาภรณ์ขาวสามารถเข้ามาได้ เป็นเพราะเดิมทีหานเจวี๋ยไม่ได้เปิดค่ายกลป้องกันของอาณาเขตเต๋า เนื่องจากเหล่าศิษย์มักจะออกไปข้างนอกอยู่เสมอ

“ท่านเป็นใคร คงไม่ใช่เซียนบนโลกมนุษย์ทั่วไปหรอกนะ”

พุทธะอาภรณ์ขาวถามด้วยรอยยิ้ม ในใจเต็มไปด้วยความสงสัย

เสียงของหานเจวี๋ยลอยออกมา “หากไม่ใช่เพราะว่าเจ้าไม่ได้จริงใจต่อสำนักพุทธจริงๆ ข้าไม่ปล่อยเจ้าเข้ามาในโลกมนุษย์หรอก แม้กระทั่งยังสามารถสังหารเจ้าได้ด้วย”

เมื่อคำพูดนี้ดังขึ้น สีหน้าของพุทธะอาภรณ์ขาวก็เปลี่ยนไปอย่างมาก

วาจานี้หมายความว่าอย่างไร

พุทธะอาภรณ์ขาวแสร้งทำเป็นไม่สะทกสะท้าน กล่าวด้วยรอยยิ้ม “อมิตาพุทธ เหตุใดข้าจะไม่จริงใจต่อสำนักพุทธเล่า”

“เจ้าอยากให้ข้าเปิดโปงจริงๆ หรือ จำไว้ให้ดี เหนือคนยังมียอดคน เหนือฟ้ายังมีฟ้า”

ขณะนี้พุทธะอาภรณ์ขาวไม่อาจสงบลงได้อีก ไม่กล้าซักถามสิ่งใดต่อ

เขาถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ท่านเป็นใครกันแน่”

“แดนเทพตงอู๋ ซุนเฉวียน”

พุทธะอาภรณ์ขาวขมวดคิ้วแน่น

แดนเทพตงอู๋คือที่ใดกัน

สามารถเรียกตนเองว่าแดนเทพได้ จะต้องยิ่งใหญ่มาก!

“หลังจากชั่วเวลาสามอึดใจ หากเจ้าไม่จากไปก็อย่าได้ออกไปอีกเลย” เสียงของหานเจวี๋ยดังตามมา

จิตของพุทธะอาภรณ์ขาวรับรู้ได้ถึงอันตราย เขาตกใจจนรีบหายไปจากที่เดิม

คนอื่นๆ ต่างมองหน้าสบตากัน

โจวหมิงเยวี่ยซุบซิบด้วยความประหลาดใจ “อาจารย์ไม่ได้ชื่อ…”

ไก่คุกรัตติกาลถลึงตาใส่เขาทีหนึ่งและด่าว่า “หุบปาก! เจ้าจะเข้าใจอะไร! นายท่านทำเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่จำเป็น”

โจวหมิงเยวี่ยเข้าใจในทันใด

……

ณ สุดขอบฟ้า

พุทธะอาภรณ์ขาวปรากฏตัวในป่า เขาหอบหายใจเป็นการใหญ่

“ความรู้สึกเมื่อครู่นี้…ฝ่ายตรงข้ามเป็นจักรพรรดิเซียน?”

พุทธะอาภรณ์ขาวเหงื่อเย็นเยียบไหลทั่วร่าง ยามที่จิตกระบี่หวนคืนของหานเจวี๋ยเพ่งเล็งเขาอยู่นั้น เขาก็รับรู้ได้ถึงกลิ่นอายแห่งความตาย

“ซุนเฉวียน แดนเทพตงอู๋…บรรดาสวรรค์หมื่นโลกาช่างเป็นเสือซุ่มมังกรซ่อนจริงๆ”

พุทธะอาภรณ์ขาวทอดถอนใจกล่าว เขาไม่ได้เกิดความเกลียดชังในตัวหานเจวี๋ย เห็นได้ชัดว่าหานเจวี๋ยไม่อยากสร้างปัญหาจึงไม่ได้ลงมือ

ตัวเขาเองก็ไม่อยากเชิญบรรพชนพุทธภควัตกลับไป ก็แค่ทำเอาหน้าเท่านั้น

ตอนนี้ก็ดีแล้ว ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชิญ แต่เชิญไม่ได้ต่างหาก

พุทธะอาภรณ์ขาวเกิดความสนใจในตัวซุนเฉวียน

ที่แท้วังสวรรค์ผูกมิตรกับกลุ่มอิทธิพลมากน้อยเพียงใดกันแน่

‘ช่างเถิด หลบฝึกฝนอยู่ที่นี่แล้วกัน สำเร็จจักรพรรดิเซียนก่อนค่อยว่ากัน โชคดีที่จักรพรรดิสวรรค์รู้สถานะของข้า’

พุทธะอาภรณ์ขาวคิดเงียบๆ จากนั้นก็เดินไปทิศทางบางแห่ง

……

[พุทธะอาภรณ์ขาวเกิดความประทับใจในตัวท่าน ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 2 ดาว]

เมื่อหานเจวี๋ยมองเห็นอักขระแถวหนึ่งตรงหน้า เครื่องหมายคำถามตัวใหญ่ๆ ก็ผุดขึ้นในสมอง

‘ช้าก่อน!

ที่แท้ก็เป็นทหารร่วมรบหรอกหรือ

มิน่าเล่าจอมเทพอู่เต๋อถึงปล่อยให้พุทธะอาภรณ์ขาวเข้ามา

วังสวรรค์กับนิกายฉ่านเจริญสันถวไมตรีกันหรืออย่างไร’

หานเจวี๋ยอยากนำป้ายคำสั่งมรรคาสวรรค์ออกมาถาม แต่กลัวว่าหากรู้มากเกินไปจะไม่ส่งผลดีต่อตัวเอง

“ไม่ผิด นิกายฉ่านสำนักเต๋าผูกมิตรกับข้า สถานะของพุทธะอาภรณ์ขาวข้ารู้มานานแล้ว แต่เรื่องนี้อย่าได้แพร่งพรายออกไป และอย่าบอกไท่ไป๋ ส่วนพุทธะอาภรณ์ขาวก็ให้เขาอยู่ในโลกเมฆาแดงไป เขายังสามารถช่วยเหลือเจ้าได้”

เสียงของจักรพรรดิสวรรค์ดังเข้าหูหานเจวี๋ย เป็นอย่างที่หานเจวี๋ยคาดเดาเอาไว้

หานเจวี๋ยสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพยักหน้าลง

นับว่าเป็นการตอบรับจักรพรรดิสวรรค์แล้ว

‘จึ๊ๆ

เจ้าพ่อพวกนี้ก็รู้จักเล่นกันจริงๆ ปิดบังแม้กระทั่งคนสนิท วังสวรรค์มีไส้ศึกของกลุ่มอิทธิพลอื่น สำนักเต๋าก็มีไส้ศึกของวังสวรรค์หรือ’

อู้เต้าเจี้ยนถามด้วยความสงสัย “นายท่าน ฉู่ซื่อเหรินคือบรรพชนพุทธจริงๆ หรือเจ้าคะ”

นางจำได้ หานเจวี๋ยเคยบอกว่ามู่หรงฉี่ไม่ใช่ผู้ที่มีภูมิหลังอดีตชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

หานเจวี๋ยหลับตากล่าว “ที่ไม่ควรถามก็อย่าถาม ตั้งใจฝึกฝนเถิด หวังว่าจะมีสักวันที่เจ้าสามารถช่วยข้าต่อต้านผู้ที่มารุกรานได้”

อู้เต้าเจี้ยนได้ยินก็อดละอายใจไม่ได้ และไม่กล้าถามอะไรให้มากอีก

นับแต่นี้เป็นต้นไป พุทธะอาภรณ์ขาวท่องไปในโลกมนุษย์ต่อเนื่อง เผยแผ่วิถีแห่งนิกาย

หานเจวี๋ยยังคงจับตาดูอยู่ เพื่อไม่ให้พุทธะอาภรณ์ขาวสร้างเรื่อง

สามสิบปีต่อมา

หานเจวี๋ยรับรู้อะไรบางอย่างได้ เขาลืมตาในทันทีและนำป้ายคำสั่งมรรคาสวรรค์ออกมา

ป้ายมรรคาสวรรค์ร้อนผ่าวและสั่นสะท้านไม่หยุด

……………………………………….