บทที่ 263 ทักษะด้านการแสดงที่ยอดเยี่ยม

Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว

บทที่ 263 ทักษะด้านการแสดงที่ยอดเยี่ยม

บทที่ 263 ทักษะด้านการแสดงที่ยอดเยี่ยม

[ไม่ได้ฟังโย่วโย่วร้องเพลงมาตั้งนาน เพราะมาก ๆ เลย ถ้าเธอไม่ร้องเพลงอีกคงน่าเสียดายมากจริง ๆ]

[แต่ถ้าไม่แสดงละคร ก็น่าเสียดายใบหน้าแบบนี้นะ]

[หวังว่าในปีหน้าโย่วโย่วจะกลายเป็นดารายุคใหม่ที่ทั้งร้องเพลงและแสดงละครได้นะ]

เมื่อเพลงจบลง ทั้งสองคนก็ถอยออกมายืนรอจนกระทั่งทุกคนแสดงจนเสร็จและมายืนอยู่ด้วยกันที่กลางเวที

ลำดับรูปแบบการยืนมีการเตรียมการมาก่อนแล้ว

พิธีกรของรายการที่ชื่อเหวยเหวยรับผิดชอบดูแลฮันเจ๋อหยางและอวิ๋นเหมี่ยว พิธีกรที่ชื่อชาชารับผิดชอบดูแลซูโย่วอี๋และป๋ายลิ่น ตำแหน่งพิธีกรที่เหลืออยู่อีกสองคนก็ไล่ลำดับตามกันลงมา

เหวยเหวยและชาชาโด่งดังเป็นอย่างมากในวงการบันเทิง พวกเขาสนิทกับดาราจำนวนมาก พอพิธีกรเป็นที่รู้จัก ก็ทำให้สถานที่จัดงานเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา

ผู้ชมจำนวนมากต่างพากันส่งเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข

“ทุกท่านคงจะคุ้นหน้าคุ้นตากับนักแสดงจากละครรักในฝันกันดีอยู่แล้ว ต่อไปฉันมีคำถามที่อยากถามทุกท่าน คนที่ขี้เกียจมากที่สุดอันดับหนึ่งในหมู่นักแสดงคือใครกันคะ?”

หลาย ๆ คนมองหน้ากัน ทุกสายตามองมาที่ซูโย่วอี๋

?

ใบหน้าของเหวยเหวยดูสงสัย “เอ๋? ทำไมกันนะ?”

ฮันเจ๋อหยางคิดอยู่ครู่หนึ่ง “คิดไม่ออกครับ แต่รู้สึกว่า… ขี้เกียจมาก”

“ตอนไหนกัน?” ซูโย่วอี๋เถียงขึ้นมา “เห็นชัด ๆ ว่าพอพี่ถ่ายละครเสร็จก็เอาแต่เล่นเกม จะพูดยังไง ฉันก็ยังดีกว่าพี่อยู่หน่อยนึงนะ”

พิธีกรมองพวกเขาอย่างขบขัน “โอ้ ทะเลาะกันซะแล้ว ต่างฝ่ายต่างเริ่มโจมตีกันแล้วนะครับ?”

อวิ๋นเหมี่ยวยืนอยู่เงียบ ๆ อีกฝั่งหนึ่ง “ฉันเองก็รู้สึกว่าเป็นโย่วอี๋นะ ทุกครั้งที่ฉันมองกลับไป ก็จะเห็นเธอนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่บนเก้าอี้ ปกติแล้วเธอก็ไม่ค่อยไปเดินเล่นหรือทำอะไรอย่างอื่นกับพวกเราเลย”

ในที่สุดคำถามนี้ก็ได้ข้อสรุปว่าซูโย่วอี๋ได้รับตำแหน่งผู้ที่ขี้เกียจที่สุดไป

“คำถามต่อไป ในกลุ่มนักแสดง คนที่ขยันมากที่สุดคือใคร?”

คำพูดพึ่งจบไป เสิ้งเซี่ยก็แย้งพูดขึ้นมา “เหมี่ยวเหมี่ยวค่ะ”

พวกผู้หญิงพากันมองไปยังอวิ๋นเหมี่ยว “เธอมักจะมาถึงกองถ่ายเป็นคนแรกและกลับเป็นคนสุดท้ายเสมอ ถ้ารู้สึกว่าส่วนไหนที่ตัวเองยังแสดงได้ไม่ดี ก็จะรีบเข้าไปถามผู้กำกับด้วยตัวเอง ฉันจำได้ว่ามีฉากหนึ่งเหมี่ยวเหมี่ยวรู้สึกไม่ค่อยพอใจ สรุปถ่ายกันไปตั้งสิบกว่ารอบจึงสามารถผ่านมาได้”

พิธีกรพูดชื่นชมขึ้นมา

อวิ๋นเหมี่ยวเขินอายเล็กน้อย “ไม่นะคะ ทุกคนขยันกันมาก ๆ อีกอย่างในกลุ่มนักแสดงก็มีนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมและซูโย่วอี๋ที่เป็นนักแสดงที่มีความสามารถอยู่ด้วย ทุก ๆ วันฉันรู้สึกกดดันมากค่ะ จะไม่ขยันก็คงจะไม่ได้”

พิธีกรนำคำพูดเหล่านี้กลับมาสรุปและถามคำถามต่อไป

“พวกคุณชอบนักแสดงคนไหนในกลุ่มนักแสดงมากที่สุด? ทุก ๆ คนจะต้องมีคำตอบมาให้นะคะ”

ซูโย่วอี๋และฮันเจ๋อหยางสบตากัน ส่วนนักแสดงนำที่เหลือไม่ได้พูดอะไรออกมา

จนเหวยเหวยกล่าวด้วยน้ำเสียงลำบากใจ “ไม่มีใครอยากตอบเหรอครับ? หรือพวกคุณจะเป็นเพื่อนกันแบบปลอม ๆ งั้นเหรอ”

คนล่างเวทีพากันหัวเราะ จนคนส่วนใหญ่เริ่มตะโกนขึ้นมา “เทพธิดาซูและนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมฮัน”

พวกเขาตะโกนเพิ่มขึ้นทีละคน ๆ

กลายเป็นการร้องตะโกนเสียงดัง

พิธีกรรับรู้ถึงสถานการณ์ในตอนนี้ “ไม่รู้ว่าสายตาของท่านผู้ชมนั้นเฉียบคมขนาดไหน ให้โย่วอี๋และเจ๋อหยางมาพูดก่อนดีไหมครับ?”

ซูโย่วอี๋หยิบไมโครโฟนขึ้นมา

ฮันเจ๋อหยางมีท่าทีที่มั่นใจเหมือนรู้คำตอบของเธออยู่แล้ว

แต่…

“ฉันชอบอวิ๋นเหมี่ยวมากที่สุด”

ทันทีที่คำพูดนั้นออกไป ผู้คนทั้งด้านบนและด้านล่างของเวทีต่างพากันนิ่งเงียบ

แม้แต่อวิ๋นเหมี่ยวก็มองไปยังซูโย่วอี๋อย่างไม่แน่ใจ นี่มันอะไรกัน?

เหวยเหวยผู้มีประสบการณ์ด้านการเป็นพิธีกรมาหลายปี “เอ๋? ดูไปแล้วน่าจะไม่เหมือนกับที่คุณผู้ชมคิดเอาไว้นะครับ รบกวนช่วยอธิบายเพิ่มเติมได้ไหมครับ?”

“ก็เหมือนกับที่เสิ้งเซี่ยพูดไปเมื่อครู่นี้ค่ะ อวิ๋นเหมี่ยวเป็นนักแสดงที่ขยันมาก ๆ อีกทั้งยังมีทักษะด้านการแสดงที่ยอดเยี่ยม ฉันชื่นชมคนแบบนี้จากใจจริง ๆ ค่ะ”

คนตีสองหน้าจะจัดการทุกอย่างได้อย่างง่ายดาย

ผู้คนต่างพากันประหลาดใจ

ซูโย่วอี๋บอกว่าชอบอวิ๋นเหมี่ยว แต่คำพูดกลับดูห่างเหิน คำอธิบายก็ดูเป็นทางการมาก

และในละครรักในฝัน เห็นได้ชัดว่าทักษะด้านการแสดงของซูโย่วอี๋นั้นนำหน้าอวิ๋นเหมี่ยวไปแล้ว

คนที่มีทักษะด้านการแสดงที่ดีบอกว่ามีทักษะการแสดงได้ไม่ดีเท่าที่อีกฝ่ายแสดง…

อวิ๋นเหมี่ยวมีท่าทีตกใจ “ฉันยังคิดว่าโย่วอี๋จะบอกว่าชอบคุณฮันเสียอีก”

“ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในกองถ่าย โย่วอี๋และคุณฮันก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก จนทุก ๆ คนต่างก็เห็นด้วยกันหมด แม้แต่ผู้กำกับสวีก็ยังบอกเลยว่าพวกเขาสนิทสนมกันเหมือนกับเป็นพี่น้องแท้ ๆ กันเลยแหละค่ะ”

เป็นการบอกนัย ๆ ว่าพวกเขาสองคนมีความสัมพันธ์มากกว่าเพื่อนธรรมดาทั่ว ๆ ไป

ฮันเจ๋อหยางเลิกคิ้วขึ้น น่าเสียดายนะ ก็พวกเราเป็นพี่น้องกันนี่

พิธีกรรีบพูดต่อ “มีความสัมพันธ์แบบรัก ๆ เกลียด ๆ ต่อกันงั้นเหรอ?”

“อืม จะพูดอย่างนั้นก็ได้ค่ะ”

เมื่อถามถึงฮันเจ๋อหยาง เขาก็เลือกซูโย่วอี๋อย่างไม่ลังเล

“แม้ว่าซูโย่วอี๋จะไม่ได้เลือกผม แต่ผมก็ยังคงเลือกเธอจากหัวใจเลยครับ”

“ทำไมกันคะ?”

ฮันเจ๋อหยางพูดทีเล่นทีจริง “ก็เธอเป็นน้องสาวแท้ ๆ ของผมนี่ ใครจะไม่ชอบน้องสาวแท้ ๆ ของตัวเองกัน? ถ้าต้องพูดถึงเหตุผลจริง ๆ ก็ต้องขอขอบคุณประธานลู่ที่ส่งแม่ครัวมาให้ มาช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิตของผมกับผู้กำกับสวีเลยแหละ”

เรื่องที่ลู่เฉินส่งแม่ครัวไปให้แฟนสาวของเขานั้นเป็นเรื่องพาดหัวข่าวบันเทิง จึงทำให้ทุกคนไม่แปลกใจ

พิธีกรจึงใช้โอกาสนี้เปลี่ยนไปยังหัวข้อความรักของซูโย่วอี๋กับลู่เฉิน

“แล้วประธานลู่เคยทำเรื่องที่ทำให้คุณรู้สึกซาบซึ้งมาก่อนบ้างไหมครับ?”

ซูโย่วอี๋คิดทบทวน “เยอะมากเลยค่ะ ฉันจำได้ว่าตอนที่ไปถึงกองละครแล้วฉันยังไม่ค่อยคุ้นชิน ฉันโทรไปหาแล้วบอกว่าคิดถึงเขา หลังจากนั้นกลางดึกในคืนนั้นเขาก็นั่งเครื่องบินมาหา มาอยู่ประมาณสี่ชั่วโมง พอเช้าก็รีบขึ้นเครื่องกลับปักกิ่ง”

[ว้าว หวานมาก ๆ เลย]

[ความอ่อนโยนของประธานผู้เอาแต่ใจ ฉันอิจฉาแล้วนะ]

[คนที่อยากพบคุณ ต่อให้ต้องปีนเขาหรือลงน้ำก็จะทำเพื่อไปพบคุณ แต่ถ้าบอกว่าไม่มีเวลาก็แปลว่าเขาไม่ได้ชอบคุณ]

[จะมีใครยุ่งได้เท่ากับประธานลู่อีก? คำพูดแก้ตัวที่ว่าไม่มีเวลานี่ไม่อยากฟังจริง ๆ]

[สาว ๆ มาตรฐานของพวกเราจะต้องใกล้เคียงกับประธานลู่ เข้าใจไหม?”

[มีแค่ฉันใช่ไหมที่สงสัยว่าเวลาสี่ชั่วโมงนั้นพวกเขาใช้มันทำอะไร (อิอิ)]

[คนปกติเข้ามา คนคลั่งรักออกโรงเอง]

[ฉันต้องคอยติดตามพวกเขาอีกแล้ว]

ใบหน้าของอวิ๋นเหมี่ยวแข็งทื่อไปครู่หนึ่ง

ดีที่ช่วงเวลาของการพูดคุยจบลงไปอย่างรวดเร็ว ต่อมาก็เข้าสู่การเล่นเกม… รู้ใจฉันและเธอ

ทีมงานจัดแบ่งช่องว่างของอุปกรณ์ประกอบฉาก โดยมีอวิ๋นเหมี่ยว เสิ้งเซี่ย และพระรองคนที่สามอยู่ด้วยกัน ส่วนฮันเจ๋อหยางและซูโย่วอี๋ยืนอยู่ด้วยกัน ป๋ายลิ่นยืนแยกตัวอยู่คนเดียว แล้วสุดท้ายก็เข้าร่วมกลุ่มกับเสิ่นฮันอีกด้วย

พวกเขาพูดคุยกันเรื่องกติกา

เห็นได้ชัดว่าทั้งสองกลุ่มนั้นแตกต่างกันมาก

เกมรู้ใจฉันและเธอมีจุดสำคัญอยู่ที่การทดสอบว่าเหล่านักแสดงนั้นรู้ใจคนอื่นมากแค่ไหน

ซึ่งมันไม่ยากมาก แค่กฎสามข้อง่าย ๆ อย่างผลไม้ที่ชอบมากที่สุด อาหารที่เกลียดมากที่สุด สีที่ชอบมากที่สุด

ทุก ๆ คนจะต้องแยกกันไปเขียนความชอบของคนทั้งห้าคนที่เหลืออยู่

เหล่านักแสดงเริ่มกังวล

ซูโย่วอี๋รู้เกี่ยวกับฮันเจ๋อหยางอยู่นิด ๆ หน่อย ๆ แต่สำหรับอวิ๋นเหมี่ยวหรือคนอื่น ๆ เธอแทบไม่รู้อะไรเลย

แต่อย่างไรเสียก็คงต้องใช้สัมผัสที่หกของผู้หญิงตอบคำถามนี้ไป

ผลที่ได้คือผิดทั้งหมด

เหวยเหวยถือกระดานคำตอบของเธอ “โย่วอี๋ คุณนี่เลี่ยงคำตอบที่ถูกต้องได้อย่างสมบูรณ์แบบจริง ๆ”

ซูโย่วอี๋เองก็รู้สึกเกร็ง ๆ “ฉันอาจจะจำมั่วไปน่ะค่ะ”

อวิ๋นเหมี่ยวและเสิ้งเซี่ยต่างก็เขียนคำตอบถูกไปแล้วสองข้อ

ส่วนฮันเจ๋อหยางนั้นได้คะแนนมากที่สุด เขาเขียนคำตอบทั้งหมดแค่สามคำตอบ “กล้วย ต้มฟักซี่โครงหมู สีฟ้า”

“อ่า คำตอบทั้งสามข้อนี้ที่คุณเขียนมาคือของคน ๆ เดียวกันใช่มั้ยคะ?”

“อืม ซูโย่วอี๋กินรสเปรี้ยวไม่ได้ และไม่ชอบอะไรก็ตามที่ต้องปอกเปลือก ดังนั้นจึงชอบกินผลไม้ที่กินง่าย ๆ อย่างกล้วย ไม่ชอบกินต้มฟักซี่โครงหมู ชอบสีที่เหมือนกับท้องฟ้าและทะเล นั่นก็คือสีฟ้า”

ซูโย่วอี๋รีบยกนิ้วโป้งให้เขา

สุดยอด

จำได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ

ฮันเจ๋อหยางพอใจในการแสดงออกของน้องสาวตัวเองมาก

[ไอหยา ท่าทางของพวกเขาทั้งสองคนดูหวานกันมากเลย]

[ทุกวันฉันได้แต่ลังเลว่าจะเป็นแฟนคลับใครดี]

[ใจเย็นนะ ดูไปแล้วน่าจะเป็นแค่พี่ชายกับน้องสาวจริง ๆ ไม่ได้หวานแบบชายหนุ่มหญิงสาวเลยสักนิด]

[นักแสดงนำชายยอดเยี่ยมใส่ใจในความงามที่ไม่มีใครเทียบได้]

[มีคนพูดไว้ว่านักแสดงนำชายยอดเยี่ยมฮันดูเปล่งประกายมากต่อหน้าซูโย่วอี๋]

หลังจากนั้นก็เล่นเกมไปอีกหลายเกม การถ่ายทำรายการวาไรตี้จบลงตอนเวลาประมาณหกโมงกว่า

ทุก ๆ คนเลยกลับไปยังห้องแต่งตัวก่อน

“เหนื่อยจัง ในที่สุดก็จบเสียที” เสิ้งเซี่ยจับแขนของอวิ๋นเหมี่ยวและพูดขึ้น

การสัมภาษณ์ในครั้งนี้เป็นไปตามที่เธอคิดไว้ ภาพของเธอนั้นมีน้อยมาก ๆ

แม้ว่าเสิ้งเซี่ยจะพยายามแย่งพูด แต่พิธีกรก็ยังไม่หันมาสนใจเธอมากนัก

ทันทีที่มาถึงห้องแต่งตัว ผู้ชายคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนโซฟา เมื่อได้ยินเสียงเขาก็ยืนขึ้น “เสร็จแล้วเหรอ?”

เมื่อกวาดสายตาไปเห็นซูโย่วอี๋ ดวงตาของเขาเปล่งประกายขึ้นมา “คุณซู ตั้งแต่ครั้งที่แล้ว เราก็ไม่เจอกันนานเลยนะครับ”

เธอดูสวยขึ้นเรื่อย ๆ

ซูโย่วอี๋ไม่ได้พูดอะไร ฮันเจ๋อหยางเดินนำขึ้นมาหนึ่งก้าวเพื่อบังให้เธอไปอยู่ด้านหลัง และเข้าไปใกล้ ๆ หูของซวี่เฟิง “ทางที่ดีผมว่าคุณอยู่ห่าง ๆ เธอไว้ดีกว่านะ เราต่างก็เป็นผู้ชายด้วยกัน ทุกคนเขาดูความคิดในใจของคุณออกหมด ทางที่ดีอย่าเปิดโอกาสให้ผมต้องหักขาคุณเลยนะ”

ซวี่เฟิงเบิกตากว้างด้วยความโกรธ “คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน ทำตัวยุ่งวุ่นวายเรื่องคนอื่นแบบนี้ ผมจะบอกคุณให้นะ ผมไม่ใช่คนที่คุณจะเข้ามายุ่งได้ด้วยง่าย ๆ หรอกนะ”

ฮันเจ๋อหยางหัวเราะออกมาอย่างดูถูก

นั่นทำให้อวิ๋นเหมี่ยวหน้าเสีย

เธอจึงรีบเข้ามารั้งซวี่เฟิงเอาไว้ “คุณฮัน ถ้าหากว่าเขาทำให้คุณขุ่นเคืองใจ ฉันขอโทษแทนเขาด้วยนะคะ แต่ซวี่เฟิงเขาเป็นคนตรงไปตรงมา หลาย ๆ เรื่องเขาไม่ได้ตั้งใจหรอกค่ะ”

“จะใช่หรือไม่ใช่ คุณรู้ดีอยู่แก่ใจ”

อวิ๋นเหมี่ยวถูกฮันเจ๋อหยางมองจนคิ้วกระตุก จนน้ำเสียงของเธอดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ “ฉันไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดเรื่องอะไร”

แต่ทันใดนั้น ผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์มาเชิญทุกคนไปรับประทานอาหารเย็น อวิ๋นเหมี่ยวรีบผลักซวี่เฟิงให้ออกไป

รอจนกระทั่งไม่มีคนแล้วจึงพูดขึ้น “คุณมาทำอะไร?”

ซวี่เฟิงจ้องไปที่เธอ “มารับคุณหลังเลิกงานไง”

“คุณคิดว่าฉันไม่รู้จริง ๆ เหรอ? คุณอยากมาดูซูโย่วอี๋ใช่ไหม? ตกลงเธอใส่ยาอะไรให้คุณกันแน่ คุณถึงอยากได้เธอมากขนาดนี้?”

ซูโย่วอี๋มีลู่เฉินและฮันเจ๋อหยางคอยปกป้องอยู่ เขาจึงไม่มีโอกาสเข้าไปแทรกเลย

ซวี่เฟิงดูหมกมุ่นมาก “คุณจะไปเข้าใจอะไร? ผมไม่อยากรออีกแล้ว ต้องเป็นคืนนี้ คุณเอาเธอมาส่งให้ผมบนรถด้วยล่ะ”

อวิ๋นเหมี่ยวไม่อยากจะเชื่อ “คุณบ้าไปแล้วเหรอ? คืนนี้คนไปกินข้าวตั้งเยอะ ฉันจะพาเธอไปได้ไง?”

“อีกอย่าง ฉันขอพูดอีกครั้งนะ ความสัมพันธ์ของฉันกับเธอไม่ดีเท่าไหร่ ตอนที่ยังตื่นและมีสติอยู่ เธอไม่มีทางไปกับฉันแน่”

ซวี่เฟิงไม่สนใจที่เธอพูดอะไรนัก เขาทำใจปล่อยซูโย่วอี๋ไปไม่ได้ วันนี้ได้เจอกันแล้ว เขาก็ยิ่งรู้สึกต้องการจนแทบอดกลั้นไว้ไม่อยู่แม้แต่น้อย

เขาหยิบถุงบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อ “มีโอกาสก็ลงมือเลย ทำให้เธอเมาและพาเธอมา รถจอดอยู่ที่ c222”

อวิ๋นเหมี่ยวรีบคว้าสิ่งที่อยู่ในมือของเขามากุมไว้แน่น ด้วยความกลัวว่าคนอื่นจะเห็นเข้า จึงรีบยัดเข้าไปในกระเป๋าถือ “ซวี่เฟิง พวกเราหาโอกาสครั้งใหม่ก็ได้”

แต่ซวี่เฟิงเอามือทั้งสองข้างล้วงกระเป๋า “รอคุณเหรอ? รอจนฟ้าหายพื้นดินยุบ โอกาสก็คงมาไม่ถึง รีบคว้าโอกาสไว้ดีกว่า คุณแค่จำเอาไว้ก็พอ เอาตัวเธอมา ดึกดื่นแค่ไหนผมจะรอคุณ”

พูดจบเขาก็เดินไปหายไปตามทางเดิน

ไม่นานเสิ้งเซี่ยก็เดินเข้ามาแล้วเห็นอวิ๋นเหมี่ยวยืนอยู่คนเดียว “เหมี่ยวเหมี่ยว แฟนคุณล่ะ? ไม่ไปกินข้าวด้วยกันเหรอ?”

อวิ๋นเหมี่ยวรู้สึกประหม่าเล็กน้อย “เขามีธุระน่ะ เลยกลับไปก่อน”

“งั้นพวกเราก็รีบไปกันเถอะ”