บทที่ 224 พระราชโองการจากเมืองหลวง
เหยาเอ้อหลางเงยหน้ามองอาจื้อแวบหนึ่ง แต่กลับไม่พูดอะไรมากนัก
เมื่อครู่อาซือและเถิงเอ๋อไม่เห็นจังหวะที่อาจื้อพูดกับหวังเทาก่อนที่จะเดินจากไป แต่เมื่อเอ้อหลางหันกลับไปมองแวบหนึ่ง ก็บังเอิญเห็นสีหน้าหวาดกลัวของหวังเทาหลังจากที่อาจื้อพูดจบพอดี
ไม่รู้ว่าอาจื้อพูดสิ่งใดกับเขาถึงทำให้เจ้าตัวตื่นกลัวจนมีสภาพเช่นนั้น
เด็กทั้งสี่คนกลับมาถึงบ้าน เมื่อเหยาซูและเจี่ยงฉีเห็นบาดแผลบนใบหน้าของเหยาเอ้อหลาง ก็พากันตื่นตกใจยกใหญ่
เหยาซูรีบไปหยิบยาดอง*[1] ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะเอ่ยถามพวกเด็ก ๆ ว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้น? วันนี้พวกเจ้าไปดูสัตว์เล็กมิใช่หรือ แล้วไปก่อเรื่องกันตั้งแต่เมื่อไหร่?”
*[1] ยาดอง คือยาทาแผลในสมัยโบราณ
เหยาเอ้อหลางตั้งใจปิดบังเรื่องนี้เพื่อปกป้องอาจื้อ เขากลัวว่าอาซือและเถิงเอ๋อจะหลุดปาก จึงรีบพูดแทรกว่า “ท่านอา วันนี้เราตั้งใจจะไปดูสัตว์เล็กกันจริง ๆ แต่ต่อมาคนขายสัตว์คนนั้นได้เก็บแผงลอยไปแล้ว อาจื้อและคนอื่น ๆ ก็เลยไปร้านหนังสือ ส่วนข้าก็ไปยิงธนูเล่นในทิศตะวันตกของเมือง… ผลสุดท้ายก็ดันไปเจอกับเด็กผู้ชายที่เคยมีเรื่องกับข้าเหล่านั้นระหว่างทาง ก็เลยทะเลาะกันฉากหนึ่ง”
ซึ่งมันก็สอดคล้องกับสิ่งที่เหยาเอ้อหลางทำมาโดยตลอด กระทั่งได้ยินเขาพูดเสริมว่า “ท่านอาอย่าบอกท่านแม่ของข้านะขอรับ! หากท่านแม่รู้เข้าข้าโดนตีแน่ ทั้งยังจะพาข้ากลับไปอีกด้วย…”
ท่าทางรีบพูดแทรกของเขา ทำให้เหยาซูเข้าใจผิดคิดว่าเอ้อหลางกลัวจะโดนมารดาพากลับหมู่บ้านตระกูลเหยา กอปกับใบหน้าที่ดูเป็นกังวลของอาซือและเถิงเอ๋อก็พอจะอธิบายได้
หญิงสาวยิ้มอย่างจนใจ จากนั้นก็ใช้ยาดองทาบริเวณบาดแผลบนใบหน้าของเอ้อหลางอย่างแผ่วเบาพร้อมกับสั่งสอนเด็ก ๆ ว่า “ถ้ารู้ว่าก่อเรื่องแล้วจะโดนพาตัวกลับไป ก็อย่าไปในที่ที่จะเกิดปัญหาสิ แล้วพวกเจ้าที่เหลือ ไหนตกลงกันแล้วว่าจะไปด้วยกัน? เหตุใดถึงให้ญาติผู้พี่ไปทิศตะวันตกของเมืองเพียงลำพังล่ะ?”
เด็ก ๆ ต่างให้สัญญาว่าคราวต่อไปไม่กล้าอีกแล้ว
ครั้นเจี่ยงฉีได้ยินว่ามีแค่เหยาเอ้อหลางเท่านั้นที่ลงไปทะเลาะวิวาท อีกทั้งเนื้อตัวของอาซือและเถิงเอ๋อยังคงสะอาดสะอ้าน จึงได้วางใจไม่น้อย
นางดึงตัวอาซือด้วยมือข้างเดียว ส่วนอีกข้างก็ดึงตัวเถิงเอ๋อเข้ามาหาตนเอง จากนั้นเอ่ยกำชับว่า “คราวต่อไปหากเห็นว่ามีคนมาหาเรื่องพี่ชายอีก ไม่ว่ายังไงก็ต้องหนีไปให้ไกล อย่าโง่เข้าไปใกล้เป็นอันขาด ถึงตอนนั้นก็ค่อยกลับบ้านมาเรียกผู้ใหญ่ เราจะได้ไปจัดการพวกเขา”
อาซือเฉลียวฉลาดที่สุด จึงเอ่ยปากตอบรับ “เอ้อเป่าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
เถิงเอ๋อก็พยักหน้าเช่นกัน
เพียงแต่เมื่อนึกถึงภาพที่อาซือถือก้อนหินปลายแหลมไว้ในมือวันนี้ ทั้งยังยืนขวางอยู่ด้านหน้าตนอย่างไม่เกรงกลัว จากนั้นก็เล่นงานเด็กผู้ชายที่มีความสูงกว่าตนหนึ่งศีรษะ ในยามที่ปกป้องเขา ความเจ็บปวดที่อบอุ่นและแปลกประหลาดบางอย่างได้เกิดขึ้นภายในใจของเถิงเอ๋อ
เด็กชายครุ่นคิด ต่อไปตนจะต้องกินข้าวให้มากขึ้น จะได้มีรูปร่างที่สูงใหญ่ ร่างกายแข็งแรง เช่นนี้ถึงจะยืนอยู่หน้าอาซือและปกป้องนางได้
เขานั่งรถกลับบ้านในช่วงบ่าย ตกค่ำเถิงเอ๋อก็ไข้ขึ้น
เขารู้สึกปวดเมื่อยตามร่างกาย แม้แต่แรงจะยกนิ้วก็ไม่มี
ในห้วงความฝันได้ปรากฏภาพที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางวัน แต่ใบหน้าของหวังเทาและคนอื่นนั้นเลือนรางไม่ชัดเจน เขาเห็นแค่คราบน้ำตาที่เปื้อนอยู่บนใบหน้าของอาซือ และเห็นดวงตาที่แสนโหดร้ายของอาจื้อ
อาซือทรุดตัวลงนั่งร้องไห้อยู่บนพื้น ส่วนอาจื้อได้ถือมีดสั้นอันแวววาวยามต้องแสงและคมกริบที่เห็นเมื่อตอนกลางวันเล่มนั้นอยู่ในมือ จากนั้นก็จ้องเขม็งมาทางเขา และตะโกนเสียงดังว่า “ทำไมถึงไม่ดูแลอาซือให้ดี? ทำไมถึงทำให้นางหวาดกลัว? ทำไมถึงทำให้นางได้รับบาดเจ็บ?”
เถิงเอ๋อรู้สึกหวาดกลัวมากทีเดียว เขารู้สึกถึงลมหายใจที่หอบถี่ขึ้น มือและเท้าเริ่มสั่นระริกจนไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของตัวเอง
เขาพูดว่า “พี่อาจื้อ ข้าไม่ได้ตั้งใจ… ต่อไปข้าจะปกป้องน้องสาวอย่างดี ข้าไม่ได้ตั้งใจ…”
อาจื้อชี้มีดไปทางเขาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ทันใดนั้นเถิงเอ๋อก็ร้องตะโกนจนสะดุ้งตื่นในที่สุด
แต่ก่อนที่จะตื่นจากฝันร้าย ภาพที่เขาเห็นคือใบหน้าที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นของอาซือ
“เถิงเอ๋อ เถิงเอ๋อ ไม่ต้องกลัว! แม่อยู่นี้ ชู่…เจ้าแค่ฝันร้าย พอตื่นก็ไม่มีอะไรแล้ว”
แสงไฟจากตะเกียงน้ำมันได้สาดแสงสีส้มเรืองรองไปทั่วบ้าน แม้ว่าจะค่อนข้างสลัว แต่กลับทำให้เถิงเอ๋อเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและความกังวลของผู้เป็นแม่ได้อย่างชัดเจน
เขาหนาวสะท้านไปทั้งตัว เมื่อฝ่ามือสัมผัสกับความอุ่นที่แผ่ขยาย เถิงเอ๋อจึงอดจับมือของเจี่ยงฉีแน่นขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นก็ขานเรียนด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ท่านแม่”
เจี่ยงฉีกุมมือของเถิงเอ๋อด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็ค่อย ๆ ปัดเส้นผมที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่ออย่างแผ่วเบา ก่อนจะเอ่ยถามอย่างอ่อนโยนว่า “เถิงเอ๋อตื่นแล้วหรือ? เจ้าไข้ขึ้นตลอดทั้งคืน ตอนนี้รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง?”
เถิงเอ๋อเหงื่อออกเปียกโชกไปทั้งตัว ในคอก็ทั้งแห้งทั้งระคายเคือง จึงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเบาว่า “ท่านแม่ ข้าหนาว”
เจี่ยงฉีรีบหันกลับไป ตะโกนเรียกสาวใช้ให้ยกเตาอั้งโล่เข้ามาเพิ่ม แล้วค่อยกดผ้าห่มที่คลุมตัวของเถิงเอ๋อไว้ไม่ให้มีลมลอดผ่านอย่างพิถีพิถัน ก่อนพูดกับเขาว่า “เจ้าเหงื่อออกเยอะมาก แต่ก็อย่าให้ลมผ่านได้ อีกเดี๋ยวยาต้มเสร็จก็กินและนอนเสีย พรุ่งนี้คงจะดีขึ้น”
เถิงเอ๋อพยักหน้าอย่างว่าง่าย
เจี่ยงฉีรู้ว่าเขาสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะกระหายอย่างแน่นอน นางจึงรินน้ำร้อนที่เตรียมไว้ข้างเตียงก่อนหน้านั้นใส่แก้วให้เขา ประคองเถิงเอ๋อลุกขึ้นนั่งและให้เขาดื่มน้ำ
น้ำสะอาดรสชาติหวานติดปลายลิ้นที่มีอุณหภูมิอุ่นพอเหมาะได้ไหลลงไป นำพาอุณหภูมิที่ทำให้รู้สึกสบายผ่านลำคอและหน้าท้อง สิ่งแวดล้อมที่แสนคุ้นเคยและความอบอุ่นจากผู้เป็นแม่ทำให้เถิงเอ๋อรู้สึกปลอดภัยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อดื่มน้ำหมดแล้วก็นำแก้วส่งคืนให้เจี่ยงฉี และทิ้งตัวนอนลงไป
ร่างทั้งร่างของเขาขดอยู่ใต้ผ้าห่ม แต่ก็ยังมิวายขานเรียกอีกหนึ่งครั้ง “ท่านแม่”
เจี่ยงฉีลูบหน้าผากของเถิงเอ๋อ พูดอย่างอ่อนโยนว่า “แม่อยู่นี่ เป็นอะไรไป หือ? เรื่องในความฝันทำให้เจ้ากลัวหรือ?”
เถิงเอ๋อกัดริมฝีปากเบา ๆ ดวงตาแดงก่ำ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยเสียงที่แหบแห้ง “ท่านแม่ เมื่อไหร่ข้าจะโตขอรับ?”
ครั้นเจี่ยงฉีเห็นท่าทางอ่อนแอเช่นนี้ของลูกชาย จึงอดปวดใจไม่ได้ จมูกเริ่มแสบเล็กน้อย แต่กลับฝืนยิ้มและถามเขากลับ “เถิงเอ๋อจะรีบโตไปทำไมเล่า? รอเจ้าโต ก็คงไม่ได้อยู่กับแม่แล้ว ตอนนี้มันไม่ดีหรือ?”
เถิงเอ๋อมองเจี่ยงฉี เขาตัดใจจากมารดาไม่ได้ แต่ก็อยากโตไว ๆ ใบหน้าจึงได้แสดงความรู้สึกที่กำลังขัดแย้งกัน
เจี่ยงฉีจึงเปลี่ยนคำถาม “เมื่อครู่แม่ได้ยินเจ้าขานเรียกพี่อาจื้อตลอดเลย เถิงเอ๋อบอกแม่ได้หรือไม่ว่าเจ้าฝันร้ายอะไร?”
ครั้นเจี่ยงเถิงนึกถึงสีหน้าที่เย็นยะเยือกเมื่อยามที่อาจื้อมองตนในความฝัน ก็ยิ่งไม่กล้าบอกความจริงกับผู้เป็นแม่ ทำได้แค่เล่าเรื่องราวด้วยเสียงต่ำว่า “ข้า ข้าฝันเห็นพี่อาจื้อและเอ้อเป่าถูกรังแก ข้า ข้าไม่กล้าช่วยพวกเขา… ข้าอ่อนแอเกินไป ก็เลยรู้สึกผิดกับพวกเขา”
เจี่ยงฉีมองใบหน้าของเถิงเอ๋อที่แทบจะไม่มีเลือดฝาดด้วยสายตาอ่อนโยน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “เพราะเหตุผลนี้ เถิงเอ๋อก็เลยอยากโตเร็ว ๆ ใช่หรือไม่? อยากปกป้องสหายของตัวเองใช่ไหม?”
เถิงเอ๋อพยักหน้า “เถิงเอ๋ออยากปกป้องท่านแม่ด้วย”
เขาเกลียดที่ตัวเองหวาดกลัวเมื่ออยู่ต่อหน้าหวังเทาและคนเหล่านั้น ละอายแก่ใจเกินกว่าจะได้รับการปกป้องจากอาซือที่ตัวเล็กกว่าตน และยิ่งรู้สึกผิดต่อพี่อาจื้อที่คอยปกป้องตนตลอด แต่ตนกลับเห็นเขาเป็นศัตรูตัวฉกาจที่แสนน่ากลัวอย่างที่เขาคิดไว้ในความฝัน
เขาจึงอยากโตขึ้น อยากแข็งแรง อยากยืนอยู่ด้านหน้าของทุกคน ไม่ได้อยากให้เพื่อน ๆ และท่านแม่มาคอยปกป้องเขาตลอดเวลา
น้ำเสียงของเขายังแฝงไปด้วยความอ่อนแอจากความเจ็บป่วยที่แสนทรมาน “ท่านแม่ไม่มีที่พึ่งอื่น มีแค่เถิงเอ๋อ ดังนั้นเถิงเอ๋อต้องแข็งแรง”
เจี่ยงฉีได้ยินดังนั้นในใจก็ยิ่งรู้สึกลำบากใจ
เถิงเอ๋อป่วยออด ๆ แอด ๆ มาตั้งแต่เด็ก หมอทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินห้าขวบ
ตอนนี้นางเลี้ยงดูอย่างล้มลุกคลุกคลานมาจนเติบใหญ่เพียงนี้ ครั้นเห็นเขาเพียงต้องลมก็ปวดหัวแล้ว เจี่ยงฉีก็ยิ่งปวดใจ
แต่เด็กที่อ่อนแอคนหนึ่ง ในใจกลับคิดอยากปกป้องนาง จะไม่ให้เจี่ยงฉีซาบซึ้งใจได้อย่างไร?
หญิงสาวจึงทำได้แค่พูดปลอบโยนเขา “เถิงเอ๋ออย่าร้อนใจไปเลย เจ้าจะโตขึ้นแน่นอน เมื่อเจ้าโตขึ้น แม่ก็มีที่พึ่งแล้ว”
เถิงเอ๋อตอบ “อื้อ” หนึ่งครั้ง
สาวใช้ยกยาที่ต้มเสร็จแล้วมาด้านหน้า เจี่ยงฉีลองวัดอุณหูมิ จากนั้นก็ให้เถิงเอ๋อดื่มมันอย่างช้า ๆ
ยานั้นมีลักษณะเป็นของเหลวสีดำราวกับหมึกดำ แค่ได้กลิ่นก็รู้สึกขมคอจนอยากจะอาเจียน แต่เถิงเอ๋อกลับไม่ได้ขมวดคิ้วเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังดื่มมันจนหมดด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึกใด ๆ
เมื่อดื่มยาหมดแล้ว เขาก็ล้มตัวลงนอนอย่างว่าง่าย ก่อนจะพูดกับเจี่ยงฉีว่า “ท่านแม่ วันข้างหน้าข้าจะไปฝึกชกมวยกับพี่เอ้อหลาง ไปวิ่งกับพี่อาจื้อ ถึงตอนนั้นข้าจะเป็นเหมือนพวกเขา กำยำและแข็งแรง”
เช้าวันต่อมา เจี่ยงฉีได้ฝากสาวใช้ไปบอกข่าวว่าเถิงเอ๋อไข้ขึ้นเมื่อคืน กลางวันคงออกไปไม่ได้
หลังจากที่เหยาซูออกมาส่งคนส่งข่าวได้ไม่นาน ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายเป็นระลอกอยู่บนถนนกำลังตรงมายังลานเล็กแห่งนี้
บ้านที่หลินเหราเลือกอยู่ค่อนข้างห่างไกลออกไป น้อยนักที่จะได้ยินเสียงโวยวายบนถนนเช่นนี้ เหยาซูไม่เข้าใจจึงมองไปยังทิศทางของเสียง
กระทั่งเห็นเจิ้งอันนำอยู่หน้าสุด ตามมาด้วยชายหนุ่มที่ดูแข็งแรงจากจวนตรวจการสองสามคนด้านหลังเขา บางคนเหยาซูก็เคยเจอ บางคนเหยาซูก็ไม่เคยเจอ แต่ทั้งหมดล้วนเดินมาหานางด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
เจิ้งอันเห็นนางอยู่ไกล ๆ จึงได้ตะโกนเสียงเสียงดัง “น้องอาซู น้องอาซู!”
ครั้นเหยาซูเห็นเขาฉีกยิ้มกว้างจนแทบจะถึงใบหูด้านหลัง และเดินเข้ามาด้วยความกระตือรือร้น จึงอดยิ้มและพูดไม่ได้ว่า “พี่ใหญ่เจิ้ง ท่านอย่ารีบนักสิ ข้าไม่หนีไม่ไหนหรอก ดีใจแบบนี้ จะต้องมีข่าวดีอะไรแน่ใช่หรือไม่?”
อาจื้อและอาซือที่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวนี้ก็พากันเดินออกมาจากในลานบ้าน จากนั้นก็ยืนประกบซ้ายและขวาของเหยาซู
ใบหน้าของเจิ้งอันยังคงยิ้มไม่หุบ เขาวิ่งมาตรงหน้าของเหยาซู และพูดด้วยเสียงเหนื่อยหอบว่า ข่าวดีมากเชียวละ! น้องอาซู มีพระราชโองการจากเมืองหลวง! “
ข่าวที่เจิ้งอันคาบมาบอกทำให้เหยาซูตกตะลึงมากทีเดียว
“พระราชโองการ?”
…………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เอ็นดูเถิงเอ๋อมากเลยค่ะ อยากโตไว ๆ อยากแข็งแกร่งขึ้น เพื่อจะได้ปกป้องคนที่รัก
พระราชโองการในเรื่องอะไรกันนะ ให้อาเหราไปเมืองหลวงเหรอ?
ไหหม่า(海馬)